กุลธิดา
สืบหล้า...เรื่อง
หลังจากถกเถียงกันมาอย่างยาวนานเรื่องนกปรอดหัวโขน
วันนี้มีความพยายามอีกครั้งจากกลุ่มผู้เลี้ยง แข่งขัน เพาะพันธุ์
นกกรงหัวจุกแห่งประเทศไทย ที่จะล็อบบีให้ทางราชการปลดนกปรอดหัวโขนออกจากบัญชีรายชื่อสัตว์ป่าคุ้มครอง
เพื่อเลี้ยง ซื้อขาย ขนย้ายได้สะดวก เพราะอ้างว่าสามารถเพาะพันธุ์ได้ โดยส่งเรื่องร้องเรียนไปยังศูนย์บริการประชาชน
ซึ่งปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีก็ได้รับเรื่องไว้ แล้วส่งต่อไปให้กรมอุทยานแห่งชาติ
สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เพื่อตรวจสอบ ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแล
กลุ่มดังกล่าวเรียกร้องขอให้มีการพิจารณาช่วยเหลือในเรื่องต่าง
ๆ ดังนี้
1.
ต้องการให้มีการอนุญาตขึ้นทะเบียนครอบครองสัตว์ป่า
2.
ระงับการจับกุมผู้เลี้ยงนกปรอดหัวโขน เพื่อการแข่งขันและเพาะพันธุ์
3.
ขอให้ปราบปรามจับกุมผู้ครอบครองนกปรอดหัวโขนที่มีลักษณะเพื่อการค้า
มีการชี้แจงจากนักดูนกคนหนึ่งจากบล็อกโอเคเนชั่นเป็นข้อ
ๆ ซึ่งน่าสนใจว่า
ข้อเรียกร้องข้อที่ 2 แม้
นกปรอดหัวโขนจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย
ทว่าก็อนุญาตให้มีการครอบครอง เพาะพันธุ์ และขยายพันธุ์ได้
เพียงแต่ต้องมาขออนุญาตให้ถูกต้องตามกฎระเบียบ
ขณะเดียวกัน
ลูกนกปรอดหัวโขนที่ได้จากการเพาะพันธุ์ของผู้ได้รับใบอนุญาตในการเพาะพันธุ์
เจ้าของสามารถนำไปขายได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
และผู้ซื้อสามารถนำลูกนกไปแจ้งขอรับใบอนุญาตให้มีไว้ในครอบครองได้ต่อไป
ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่จะเห็นด้วย
หากต้องการให้มีการระงับการจับกุมผู้เลี้ยงนกปรอดหัวโขนเพื่อการแข่งขันและ
การเพาะพันธุ์
โดยเหมารวมไปถึงนกป่าที่จับมาอย่างผิดกฎหมายด้วย
และอยากเสนอให้ผู้จัดการแข่งขันห้ามผู้เลี้ยงส่งนกที่ไม่มีใบอนุญาตเข้าร่วม
การแข่งขัน
เพื่อทำให้การแข่งขันเป็นไปอย่างถูกต้อง ปัญหานี้ก็จะได้รับการแก้ไขเอง
ข้อเรียกร้องข้อที่ 3 คนไทยจำนวนมากคงเห็นด้วยแน่นอน
หากจะมีการปราบปรามผู้ครอบครองนกปรอดหัวโขนเพื่อการค้า เพราะปัจจุบันการบังคับใช้กฎหมายยังไม่ทั่วถึงและไม่เข้มงวด
ทำให้การค้านกป่ากลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่ไม่สามารถแก้ไขได้ จนนกหลายชนิดมีจำนวนลดลงและเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติ
รวมถึงนกปรอดหัวโขนด้วย ทั้ง ๆ
ที่หลายประเทศให้ความสำคัญกับการต่อต้านการค้าสัตว์ป่าที่ผิดกฎหมาย
เพราะถือเป็นอาชญากรรมสำคัญระดับโลก
ธีรภัทร ประยูรสิทธิ
อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “สาเหตุที่การปราบปรามการค้าสัตว์ผิดกฎหมายเป็นศูนย์เปอร์เซ็นต์ไม่ได้
เนื่องจากมูลค่าการค้าของสัตว์เหล่านี้สูงมาก เช่น ซื้อมาตัวหนึ่ง 20-30 บาท เอามาขายตัวละ 300-500 บาท และมันมีคนชอบเสี่ยง
สิ่งที่เราทำได้ คือ เพิ่มความเข้มข้นในการปราบปราม จะหยุดไม่ได้”
เกี่ยวกับข้อเรียกร้องให้ปลดนกปรอดหัวโขนออกจากบัญชีรายชื่อสัตว์ป่าคุ้มครองนั้น
นายแพทย์รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์ ประธานชมรมอนุรักษ์นกและธรรมชาติล้านนา เชียงใหม่ ยืนยันว่า
เหตุผลเดียวในการปลดสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่งออกจากบัญชีรายชื่อสัตว์ป่าคุ้มครอง นั่นคือ
มันไม่ต้องการกฎหมายปกป้องอีกต่อไป
เพราะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อได้แน่ชัดว่า
ประชากรของมันเพิ่มขึ้นในธรรมชาติจนไม่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด
ทว่าจากการสำรวจประชากรนกในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา
ซึ่งชมรมอนุรักษ์นกและธรรมชาติล้านนา เชียงใหม่ ร่วมกับนักดูนกทั่วประเทศ พบว่า
ประชากรนกปรอดหัวโขนลดลงมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้
จากกราฟแสดงแนวโน้มประชากรนกปรอดหัวโขนในธรรมชาติของชมรมฯ
เปรียบเทียบระหว่างนกปรอดหัวโขนกับนกปรอดหัวสีเขม่า
ซึ่งมีนิเวศวิทยาและถิ่นอาศัยใกล้เคียงกันเห็นได้ชัดว่า แนวโน้มประชากรของนกปรอดหัวสีเขม่าค่อนข้างคงที่
หรือลดลงเพียงเล็กน้อย ในขณะที่ประชากรของนกปรอดหัวโขนดิ่งลงอย่างน่าใจหาย ดังนั้น
การลดลงของประชากรนกปรอดหัวโขนจึงไม่ใช่เหตุผลทางนิเวศ แต่เป็นแรงกดดันจากการล่า
ดักจับ และเลือกปฏิบัติต่างหาก
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 993 ประจำวันที่ 29 สิงหาคม - 4 กันยายน 2557)