กสทช.รับผิดเหตุขั้นตอนการทำบันทึกการตกลงลงล่าช้า เผยนโยบายแต่ละพื้นที่ต่างกัน ผบ.มทบ.ต้องการพบผู้ประกอบการทุกคนเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับการออกอากาศ
ขณะเดียวกันเป็นเรื่องดีที่ทหารเข้ามาช่วยตรวจสอบ
เพราะที่ผ่านมาบุคลากรไม่เพียงพอในการลงพื้นที่ ระบุเมื่อจัดระเบียบแล้วสามารถตรวจสอบสถานีได้ครอบคลุมมากขึ้น
ยังหวั่นคลื่นเถื่อนโผล่อีกหากหมดอำนาจ คสช.
หลังจากเมื่อวันที่ 9 ก.ค.57
ที่ผ่านมา คสช.ได้มีประกาศ
ฉบับที่79/2557เรื่องเงื่อนไขในการออกอากาศของสถานีวิทยุกระจายเสียงที่ได้
รับอนุญาตทดลองประกอบกิจการตามที่ได้มีประกาศ
คสช. ฉบับที่66
/2557เรื่องการออกอากาศของสถานีวิทยุกระจายเสียงที่ได้รับอนุญาตทดลองประกอบ
กิจการลงวันที่14มิ.ย.57
กำหนดให้สถานีวิทยุกระจายเสียงที่ได้รับอนุญาตทดลองประกอบกิจการออกอากาศต่อ
ไปได้ตามปกติเมื่อได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์วิธีการ
และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วนั้น
เพื่อให้การดำเนินการตามประกาศฉบับดังกล่าวเกิดความชัดเจนในการปฏิบัติและ
เพื่อให้การเผยแพร่
ข่าวสารไปสู่ประชาชนเป็นไปด้วยความถูกต้อง
ปราศจากการบิดเบือนหรือก่อให้ความแตกแยกอันจะส่งผลกระทบต่อการรักษาความสงบ
เรียบร้อย
ทางสำนักงาน
กสทช.เขต 3
ดูแล 6 จังหวัด ประกอบด้วย
ลำปาง พะเยา น่าน อุตรดิตถ์ เชียงราย และแพร่ ได้เริ่มดำเนินการจัดทำ MOU สำหรับผู้ประกอบการที่มีเอกสารหลักฐานครบถ้วนไปครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยมีผู้ประกอบการจาก 6
จังหวัดในพื้นที่รับผิดชอบมาลงนามทั้งหมด 47 สถานี และครั้งที่ 2 วันที่ 31 ก.ค.57 มีผู้มาลงนาม 60 สถานี
รวมเป็น 107 สถานี จากทั้งหมด 330
สถานี ซึ่งในส่วนของ จ.ลำปาง มีผู้ยื่นลงนามทั้งหมด 15 สถานี และได้ออกอากาศแล้ว 11 สถานี แต่ยังมีผู้ประกอบการท้วงติงว่า
การประกาศรายชื่อและการทำงานต่างๆของ กสทช.เขต 3
มีความล่าช้ามาก ไม่เหมือนกับเขตอื่นๆ ที่สามารถยื่นลงนามได้ทันที
และเมื่อลงนามแล้วเพียง 1-2 วันก็สามารถออกอากาศได้ แต่
กสทช.เขต 3 นั้นต้องรอนานเกือบ 1
สัปดาห์จึงจะประกาศรายชื่อ
ในเรื่องนี้
นายธีรัช เพ็ชรหิน ผอ.กสทช.เขต 3 เปิดเผยว่า
เป็นนโยบายของ ผบ.มทบ.32 ที่ต้องการพบปะผู้ประกอบการทุกคน
เพื่อให้ถือปฏิบัติตามแนวทางของ คสช. จึงนัดพบเป็นครั้งไป ซึ่งได้มีการนัดพบแล้ว 2 ครั้ง แต่หลังจากนี้จะไม่มีการนัดเป็นกลุ่มแล้ว
ถ้ามีผู้ประกอบการมายื่นความประสงค์ตั้งแต่ 3-5
รายขึ้นไปก็จะนัดทำ MOU ได้เลย ซึ่งปัญหาที่ทำให้เกิดความล่าช้าคือ
เราจะต้องแจ้งขอนัดทางฝ่ายทหาร เพื่อจะไปร่วมลงนาม ทราบว่าผู้ประกอบการหลายคนเดือดร้อนบางคนต้องเดินทางมาสองครั้ง
ซึ่งเห็นใจคนที่เดินทางมาจากจังหวัดอื่นและอยู่ต่างอำเภอไกลๆ
ตอนนี้กำลังหาแนวทางแก้ไขเพื่อที่จะอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการมากที่สุด
สำหรับกรณีที่มีการการประกาศรายชื่อล่าช้านั้น
ในครั้งแรกเนื่องจากมีปัญหาเรื่องการสแกนข้อมูลส่งไปทางส่วนกลาง
จึงต้องนำกลับมาทำใหม่ทั้งหมด โดยที่ทั้ง 14
เขตทั่วประเทศส่งไปรวมอยู่ที่เดียวกันหมดทำให้เกิดความล่าช้า ในส่วนของ
จ.ลำปางที่ไม่ได้ประกาศรายชื่อในรอบแรก 3 สถานี
เนื่องจากผู้ประกอบการบันทึกที่ตั้งผิด
ไปเขียนที่อยู่สถานีเป็นที่อยู่ที่จดทะเบียน จึงต้องนำกลับมาแก้ไข ส่วนครั้งที่สองได้มีการตรวจเข้มขึ้น
แต่ก็ยังพบว่ามีปัญหาของ จ.ลำปาง 4 สถานี และเชียงราย 2 สถานี ซึ่งรอทางส่วนกลางส่งกลับมาว่าผิดพลาดตรงไหน
เมื่อสอบถามว่าเหตุใดที่ผ่านมา
กสทช.เขต ไม่เข้าไปดำเนินการกับสถานีวิทยุเถื่อน
นายธีรัช กล่าวว่า ยอมรับว่าในส่วนของเขตไม่ทราบฐานข้อมูลเลยว่าสถานีวิทยุได้รับอนุญาตในขั้นตอนไหน
ทาง กสทช.จะส่งฐานข้อมูลเฉพาะสถานีที่ได้รับอนุญาตแล้วมาให้ แต่สถานีที่นอกเหนือจากข้อมูลก็ต้องมาทำการตรวจสอบเอง
ซึ่งที่ จ.ลำปางพบอยู่ 46 สถานี ต้องใช้เวลานานเกือบปีจึงจะตรวจสอบได้ทั้งหมด
เพราะก่อนหน้าที่ยังไม่มีการจัดระเบียบมีสถานีที่ไม่ได้รับอนุญาตออกอากาศจำนวนมาก ซึ่งทางเขตไม่มีอำนาจที่จะเข้าไปจับกุมนอกจากทำการตรวจสอบ
และส่งเรื่องให้ทางส่วนกลางพิจารณา และขออำนวจมาจึงจะดำเนินการได้
“ภารกิจ
การกระจายเสียงถูกโจมตีค่อนข้างมาก ทำงานลำบาก
เมื่อมีการร้องเรียนเข้ามาก็ต้องตรวจสอบก่อนว่าสถานีนี้ได้รับอนุญาตหรือไม่
ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจึงจะขออำนาจจากเลขาสำนักงาน กสทช.เข้าทำการจับกุม
แต่ถ้าเป็นสถานีที่ได้รับอนุญาตแล้วก็ทำได้เพียงตักเตือนให้แก้ไข
เนื่องจากเราไม่มีอำนาจหรือกฎหมายที่จะมารองรับในการจับกุมดำเนินคดีในส่วน
นี้ ยิ่งถ้ามีสถานีมากก็ยิ่งควบคุมยาก
เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จ.ลำปางได้ถูกร้องเรียนจากวิทยุการบินถึง 12
ครั้งภายในหนึ่งเดือน ทำให้มองว่า
กสทช.เขตทำงานไม่ดี แต่ความจริงได้มีการแจ้งให้สถานีทราบแล้ว
ซึ่งก็ยังมีหลายแห่งที่ไม่ให้ความร่วมมือ ตนเองก็ยังหวั่นอยู่ว่า
หากผ่านพ้นการดูแลควบคุมของ คสช.ไปแล้ว คลื่นวิทยุเถื่อนจะกลับเข้ามาอีก”
ผอ.กสทช.เขต 3 กล่าว
ในส่วนของเรื่องการตรวจสอบสถานีวิทยุที่ออกอากาศนั้น
ผอ.กสทช.เขต 3 กล่าวว่า ต้องสรุปรายงานให้ผู้บังคับบัญชาและทหารทุกวัน ที่สำนักงานเขตจะสามารถตรวจสอบได้
ณ ที่ตั้ง 3 จังหวัดคือ ลำปาง พะเยา เชียงราย
หลังจะระเบียบแล้วทำให้การตรวจสอบง่ายขึ้น เนื่องจากมีสถานีระงับการออกอากาศไปจำนวนมาก
จึงทำให้รับคลื่นความถี่ได้ไกลขึ้น
นอกจากนั้นจะมีการออกตรวจสอบประจำเดือนหลังการออกอากาศ ซึ่งต้องไปลงพื้นที่จังหวัดน่าน
แพร่ อุตรดิตถ์ เพื่อสุ่มตรวจการออกอากาศ
แต่ขณะนี้ก็ยังไม่พบว่ามีสถานีที่ไม่ได้รับอนุญาตลักลอบออกอากาศแต่อย่างใด ในเรื่องการเฝ้าระวังนี้
กลุ่มที่ได้รับอนุญาตก็จะต้องปกป้องตัวเองด้วย หากพบว่ามีการลักลอบก็ให้แจ้งมาที่
กสทช.เขต จะได้แจ้งต่อให้ทหารในพื้นที่เข้าไปดำเนินการ ตอนนี้อยากให้มีการกำหนดระยะเวลาการทำ
MOU ที่แน่นอน เพราะหากมีภารกิจอื่นๆซ้อนเข้ามาเจ้าหน้าที่จะไม่เพียงพอในการทำงาน
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงการตรวจสอบการโฆษณาเกี่ยวกับอาหารและยาผ่านทางสถานีวิทยุว่าจะมีการตรวจสอบอย่างไร นายธีรัช กล่าวว่า ได้มีการทำ MOU
ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขมานานแล้วตั้งแต่ปี 2555 ในส่วนของสำนักงานเขตจะร่วมกับสาธารณสุขจังหวัดและภาคประชาชน
ได้มีการประชุมกลุ่มย่อยถึงแนวทางการปฏิบัติเมื่อปลายเดือนกรกฎาที่ผ่านมา ซึ่งที่
จ.ลำปางจะมีภาคประชาชนเฝ้าฟัง เก็บข้อมูล และรายงานไปที่ฝ่ายคุ้มครองผู้บริโภค
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดให้ตีความ หากพบว่าผิดก็จะสอบถามมายัง
กสทช.เขตว่าสถานีนี้ได้รับอนุญาตหรือไม่ กสทช.จะดูแลเรื่องการใช้ความถี่ การดูแลเครื่อง
การตั้งสถานี ส่วนเนื้อหาต่างๆ
ทางเขตไม่มีผู้เชี่ยวชาญที่จะฟันธงว่าผิดหรือถูก จึงได้ดำเนินการร่วมกัน
นอกจากนี้
เมื่อสอบถามไปยังเจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด
ได้ให้ข้อมูลว่า ทางสาธารณสุขได้มีการเฝ้าระวังการโฆษณาทางวิทยุอยู่ตลอด
โดยจะให้สาธารณสุขแต่ละอำเภอคอยฟังการโฆษณาทางสถานีวิทยุแต่ละคลื่นสลับกันไป
หากพบที่เข้าข่ายการกระทำผิดก็จะแจ้งไปยัง
กสทช.เพื่อให้ดำเนินการร่วมกันในการตรวจสอบ ซึ่งในกรณีที่มีผู้กระทำผิดชัดเจน เช่น
มีผู้จ้าง มีนายสถานี ก็สามารถดำเนินคดีได้ ในส่วนที่ผู้กระทำผิดไม่ชัดเจนคือ
มีการเช่าบ้านไว้ตั้งสถานีและถ่ายทอดออกอากาศจากทางอินเตอร์เน็ตหรือยิงสัญญาณดาวเทียมมา
ก็ไม่สามารถจับกุมได้ แต่ล่าสุดในการประชุมร่วมกับ กสทช. เมื่อวันที่ 10
ก.ค.ที่ผ่านมา เบื้องต้นได้สรุปว่าจะให้เครือข่ายภาคประชาชน
และทางกลุ่มเอ็นจีโอช่วยเฝ้าระวัง และแจ้งข้อมูลเข้ามา
ทางสาธารณสุขก็จะแจ้งประสานไปยัง กสทช.เพื่ออัดเสียง และถอดเทปมาพิจารณาตีความว่าเป็นโฆษณาที่ถูกหรือผิด
แต่ทั้งนี้ โทษของ พ.ร.บ.อาหารและยาไม่หนัก มีค่าปรับไม่เกิน 5,000 บาทเท่านั้น
ด้านนายเรืองยุทธ
นิตยานนท์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานลำปาง เปิดเผยว่าขณะนี้
มีผู้ประกอบการวิทยุชุมชนบางส่วนเริ่มทยอยยื่นเอกสารเพื่อขอใบอนุญาตก่อสร้างหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น
หรือปลูกต้นไม้ยืนต้นภายในเขตปลอดภัยในการเดินอากาศบริเวณใกล้เคียงสนามบิน
จากกรมการบินพลเรือน
ซึ่งต้องตรวจสอบการติดตั้งเสาส่งสัญญาณของสถานีวิทยุว่าอยู่ในตำแหน่ง
หรือจุดที่ตั้งพิกัดภูมิศาสตร์รบกวนคลื่นวิทยุการบินหรือไม่ โดยระเบียบ กสทช.
กำหนดให้ทุกสถานีต้องใบขออนุญาตก่อสร้างเสาอากาศกรณีที่อยู่ในเขตปลอดภัยในการเดินอากาศ
ท่าอากาศยานลำปางมีกำหนดโซนพื้นที่ ที่อยู่ในเขตต้องห้าม
และมีระเบียบที่เกี่ยวข้องโดย เสาส่งสัญญาณวิทยุ จะต้องไม่เกิน 30 เมตร
สถานีวิทยุชุมชนที่ยื่นเอกสารเข้ามาพบว่าสถานีใดที่อยู่ในเขตปลอดภัยในการเดินอากาศ
ต้องส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจพิกัดและเอกสารให้กรมการบินพลเรือน อนุมัติใช้เวลาประมาณ 30
วัน ส่วน สถานีที่อยู่นอกเขตฯ
ก็จะได้รับหนังสือรับรองว่าสถานีนั้นอยู่ในเขตที่ไม่มีต่อการรบกวนการเดินอากาศ
ซึ่งใช้เป็นเอกสารประกอบการขึ้นทะเบียนเพื่อขอใบอนุญาตตั้งสถานีวิทยุคมนาคม กับ
กสทช.ได้ ทันที "ขณะนี้ยังมีสถานีวิทยุท้องถิ่นเพียงไม่กี่แห่งยื่นเอกสารเข้ามา
ดังนั้นจึงอยากประชาสัมพันธ์ ให้ ทุกสถานีเร่งส่งเอกสารเข้ามา
เพื่อดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบ" ผู้อำนวยการท่าอากาศยานลำปางกล่าว
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 990 ประจำวันที่ 8 - 14 สิงหาคม 2557)