นับเป็นความก้าวหน้าของการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ล่าสุด
ที่บรรจุถ้อยคำ “ประทุษวาจา” หรือ “วาทกรรมแห่งความเกลียดชัง”
หรือ Hate Speech เป็นข้อจำกัดการใช้เสรีภาพ
อีกข้อหนึ่ง นอกจากที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งเป็นต้นแบบในการร่างของกรรมาธิการ
รัฐธรรมนูญ
ที่บรรจุด้วยคำว่า ประทุษวาจา จึงเป็นคล้ายรัฐธรรมนูญตกหล่ม
รัฐธรรมนูญเดิม
จำกัดเสรีภาพในเรื่อง ความมั่นคงของรัฐ สิทธิ เสรีภาพ เกียรติยศ ชื่อเสียง
สิทธิในครอบครัว หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย
หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
ป้องกันหรือระงับความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชน
ในข้อจำกัดเดิมนั้น
คำว่าความมั่นคงของรัฐถูกตีความได้อย่างกว้างขวางมาก
เฉพาะที่เป็นปัญหาถกเถียงกันและนำไปสู่คดีความที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายจำนวนไม่น้อย
คือความผิดต่อความมั่นคง ความผิดต่อสถาบัน
ซึ่งผูกโยงไปถึงความผิดตาม
พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
ดังนั้น
เราจึงพบคดีความผิดฐานหมิ่นสถาบัน ในคดีหมิ่นประมาทและความผิดว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
เป็นคดีความที่หลายครั้งถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เพราะมีการตีความว่า
ความผิดต่อสถาบันเป็นความผิดในเรื่องความมั่นคงด้วย
ทั้งที่กฎหมายคอมพิวเตอร์ไม่ได้บัญญัติไว้
และหากพิจารณาเฉพาะกฎหมายอาญาว่าด้วยหมิ่นประมาท
ก็ถูกทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องเดียวกับการหมิ่นประมาทตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
ซึ่งกฎหมายคอมพิวเตอร์บัญญัติไว้เฉพาะการหมิ่นประมาทด้วยภาพเท่านั้น
หรือการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ
ซึ่งมีหลักในการวินิจฉัยต่างกับคดีหมิ่นประมาททั่วไป
อย่างไรก็ตามหากมีการฟ้องหมิ่นประมาททั้งกฎหมายอาญา และกฎหมายคอมพิวเตอร์
นั่นหมายถึงผู้ถูกฟ้อง จะต้องรับโทษหนักขึ้น และถือเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน
ยอมความไม่ได้
ข้อสังเกตเรื่องความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง
เมื่อเทียบกับคำว่า “ประทุษวาจา” “วาทกรรมแห่งความเกลียดชัง”
ก็คือการเปิดช่องทางให้มีการตีความอย่างกว้างขวาง
ซึ่งโดยความหมายของวาทกรรมแห่งความเกลียดชังนั้น ไม่อาจเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรได้
เนื่องจากยังมีความเข้าใจไม่ตรงกัน
และวันข้างหน้าก็อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือของคู่ขัดแย้งทางการเมืองได้
เช่นเดียวกับความผิดบางฐานที่กลายเป็นคดีความ ฟ้องกันไปฟ้องกันมาไม่รู้จบ
ในทัศนะของผมที่เคยได้ตอบงานวิจัยของ
ผศ.ดร.พิรงรอง รามสูตรณะนันท์ เห็นว่า การจัดการกับ Hate Speech ไม่อาจใช้กฎหมายมาเป็นหลักในการวินิจฉัยได้
เพราะจากสรุปความหมาย
คำว่าความเกลียดชังในงานวิจัย เขาอธิบายว่า
คือการใช้คำพูดหรือการแสดงออกทางความหมายใดๆที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อโจมตีกลุ่มบุคคลหรือปัจเจกบุคคล
โดยมุ่งไปที่ ฐานของอัตลักษณ์ซึ่งอาจจะติดตัวมาแต่ดั้งเดิม
หรือเกิดขึ้นภายหลังก็ได้ เช่น เชื้อชาติ ศาสนา สีผิว สถานที่เกิด/ที่อยู่อาศัยอุดมการณ์ทางการเมือง
อาชีพ หรือลักษณะอื่นที่สามารถทำให้ถูกแบ่งแยกได้
การแสดงความเกลียดชังที่ปรากฏอาจเป็นการเหยียดหยามศักดิ์ศรี
หรือลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ หรือยุยงส่งเสริมให้เกิดความเกลียดชัง
ตลอดจนการส่งเสริมให้เกิดความรุนแรงด้วยก็ได้
ความหมายของ
Hate
Speech แตกต่างจากการหมิ่นประมาทด้วยถ้อยคำ
ในประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง
แปลว่าการหมิ่นประมาทนั้น
ผลหรือความรู้สึกว่าถูกหมิ่นประมาทจะเกิดขึ้นทันที
และก่อให้เกิดสิทธิในการฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งหมิ่นประมาท และละเมิด
อันเป็นจุดเริ่มต้นในการนับอายุความฟ้องร้องคดี
แต่
Hate
Speech ไม่สามารถบอกได้ในขณะนั้นว่า เป็นวาทกรรมที่สร้างความเกลียดชัง
จนกระทั่งนำไปสู่ความรุนแรง หรือลุกขึ้นมาเข่นฆ่ากันหรือไม่ เช่น
การเปิดสถานีวิทยุยานเกราะก่อนยุค 6 ตุลา ให้ประชาชนฝ่ายที่ต่อต้านนักศึกษา
มาออกอากาศพูดว่า ผู้ที่อยู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นแกว เป็นญวน ไม่ใช่คนไทย
หรือในธรรมศาสตร์เป็นที่ซ่องสุมอาวุธและกำลัง
มีอุโมงค์ลับที่เชื่อมออกไปยังแม่น้ำเจ้าพระยา
จนกระทั่งในที่สุด
ทำให้กลุ่มชนจำนวนหนึ่งลุกฮือเข้าไปล้อมปราบนักศึกษา เข่นฆ่า
ทารุณกรรมด้วยวิธีต่างๆทั้งที่เป็นคนเผ่าพันธุ์เดียวกัน
ซึ่งคนที่มีความเป็นมนุษย์จะไมมีวันทำเช่นนี้
ฉะนั้น
หากจะนิยามให้ใกล้ความจริงมากที่สุด ก็ต้องบอกว่า Hate Speech
คือวาทกรรมที่สร้างและสั่งสมความเกลียดชัง
จนกระทั่งนำไปสู่ความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ
และคงต้องทบทวนกันอย่างละเอียดรอบด้านอีกครั้ง
แม้จะเห็นว่า
Hate
Speech คือความเลวร้ายชนิดใหม่ของสังคมไทย แต่ก็ไม่ควรให้ Hate
Speech
กลายเป็นเครื่องมือในการบิดเบือนและทำร้ายคนอีกฝ่ายหนึ่งอย่างไม่ชอบธรรม