คำ พิพากษาศาลปกครองสูงสุด ที่สั่งให้
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินการเยียวยาแก้ไข ในคดีที่นางมะลิวรรณ
นาควิโรจน์ กับพวกรวม 318
คน ที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษโครงการเหมืองลิกไนต์แม่เมาะ
ยื่นฟ้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กฟผ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวม 11
ราย
ด้านหนึ่งนี่ก็เป็นสงครามแย่งชิงทรัพยากร
และการรุกรานจากคนต่างถิ่น ในนามของการพัฒนา
ซึ่งเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ด้านหนึ่งเป็นปรากฏการณ์ร่วม
ระหว่างหน่วยงานรัฐที่มักมีความคิด และทัศนคติว่าชาวบ้านเป็นพลเมืองชั้นสอง
ที่พวกเขาจะทำสิ่งใดก็ได้
แน่นอนว่า โครงการเหมืองลิกไนต์แม่เมาะ
ย่อมเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ และการพัฒนาแหล่งผลิตพลังงานที่นับวันจะสูญหายไปจากโลก
ไม่มีข้อสงสัยว่า กฟผ.ทำโครงการนี้เพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง
แต่ความใส่ใจต่อชีวิต สุขภาพอนามัยของชาวบ้านที่น้อยเกินไป
และความไม่คำนึงถึงชีวิตเพื่อนมนุษย์ ที่ต้องล้มตายลงไปราวใบไม้ร่วง อย่างน้อย 32 คน จากการรับสารพิษในโครงการเหมืองลิกไนต์
การให้ค่าของความเป็นมนุษย์ที่แตกต่างกัน ทำให้จนถึงวันนี้ กฟผ.ต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำ
แม้การปฎิบัติตามคำสั่งทั้ง 4 ข้อ
ของศาลจะมิอาจเรียกชีวิตที่สูญเสียไปกลับคืนมาได้ก็ตาม
ศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่ง
ประการหนึ่ง ให้ติดตั้งม่านน้ำ ความยาว 800
เมตร ระหว่างที่ทิ้งดินด้านตะวันออกกับบ้านหัวฝาย
และระหว่างที่ทิ้งดินด้านตะวันตกกับหมู่บ้านทางทิศใต้ เพื่อลดฝุ่นละอองในบรรยากาศ
สองให้จัดตั้งคณะทำงานระดับท้องถิ่นและผู้เชี่ยวชาญร่วมกันพิจารณาอพยพราษฎรที่ได้รับผลกระทบที่นำไปสู่อันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน
โดยให้อพยพออกนอกรัศมีผลกระทบ 5 กิโลเมตร
สาม ให้ฟื้นฟูขุมเหมือง
ให้ใกล้เคียงกับสภาพเดิมตามธรรมชาติด้วยการถมดินกลับในบ่อเหมืองให้มากที่สุดและปลูกป่าทดแทน
เฉพาะในส่วนที่ กฟผ.นำพื้นที่ที่ต้องฟื้นขุมเหมืองไปทำสวนพฤกษชาติและสนามกอล์ฟ
สี่ ให้นำพืชที่ปลูกในพื้นที่ชุ่มน้ำไปกำจัด
และปลูกเสริมทุก 18 เดือน
ขุดลอกเพื่อเปลี่ยนทิศทางการไหลของน้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำ
และห้า
ให้ทำการขนส่งเปลือกดินโดยใช้ระบบสายพานที่มีการติดตั้งระบบสเปรย์น้ำตามแนวสายพาน
และให้วางแผนจุดปล่อยดิน โดยให้ตำแหน่งที่ปล่อยดินไม่อยู่ในตำแหน่งต้นลมที่พัดผ่านไปยังชุมชนที่อยู่โดยรอบ
ให้กำหนดพื้นที่กันชน ระยะจุดปล่อยดินกับชุมชนเป็นระยะทางไม่น้อยกว่า 50 เมตร และควรจัดทำเป็นบังเกอร์
โดยให้จุดปล่อยดินอยู่ต่ำกว่าความสูงของบังเกอร์
ขณะที่การปล่อยดินจะต้องกำหนดเป็นตารางที่แน่นอน
โดยใช้ฤดูเป็นเกณฑ์ในการตัดสินตำแหน่งที่ต้องห่างจากชุมชนมากที่สุด
น่าสนใจท่าทีของนายประภาส วิชากูล
รองผู้ว่าฯกฟผ. ที่ยอมรับปฏิบัติตามคำสั่งศาล
แต่ขอให้ฝ่ายกฎหมายได้ตีความคำพิพากษาก่อนว่า จะปฎิบัติอย่างไร
ซึ่งว่ากันตามตัวอักษร คำสั่งศาลค่อนข้างชัดเจนในทุกข้อว่าให้ปฎิบัติอย่างไร ยกเว้นบางถ้อยคำ เช่น คำว่า “ควรจัดทำเป็นบังเกอร์”
เพื่อไม่ให้ดินพัดผ่านไปยังชุมชน อาจตีความได้ว่า เป็นเพียงข้อแนะนำของศาล เช่น
คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญในช่วงวิกฤติการเมือง ที่มีคนตีความว่า
เป็นเพียงข้อแนะนำไม่ใช่คำสั่ง ซึ่งว่าโดยหลักการ เมื่อศาลวินิจฉัยสำนวนแล้ว
จะต้องมีคำสั่งชัดเจนว่าให้ปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติอย่างไร
ประเด็นเรื่องการตีความ ที่อาจแปรเจตนาได้ว่า
ต้องการถ่วงเวลา และไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของศาลให้ครบถ้วน
ยังอาจโยงไปถึงคำสั่งข้อ 3 คล้ายกับว่า
กฟผ.จะไม่ยอมสูญเสียสนามกอล์ฟ
ที่เป็นสัญลักษณ์ของความศิวิไลซ์และการใช้กีฬาของคนชั้นสูงมาย้ำความแตกต่างในฐานะทางสังคมของคนทำงานแม่เมาะ
กับชาวบ้าน
กระแสความเคลื่อนไหวของแคดดี้ราว 200
คน ที่จะคัดค้านดูเหมือนเป็นการรักษาอาชีพของคนในท้องถิ่น เป็นเหตุผลที่รับฟังได้
แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องคิดว่า
การใช้เงื่อนไขม็อบแคดดี้ไปคัดง้างกับคำพิพากษาในนามของสถาบันสูงสุด
เป็นเรื่องที่ถูกต้อง สมควรหรือไม่
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ถือว่าถึงที่สุดแล้ว
แต่ดูเหมือนสงครามระหว่างชาวบ้าน กับ กฟผ.ยังไม่สิ้นสุด
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1016 ประจำวันที่ 13 - 19 กุมภาพันธ์ 2558)