พร้อมๆกับข่าวที่น่ายินดีของ
“ลานนาโพสต์” ก็ยังมีข่าวที่ท้าทาย
และถามถึงความกล้าหาญในทางจริยธรรมของหนังสือพิมพ์บางฉบับ
โดยเฉพาะสื่อบ้านนอกที่สำคัญผิดในบทบาทหน้าที่
ขาดจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม ความเข้าใจผิดนี้เอง ที่กลายมาเป็นการเรียกร้องอภิสิทธิ์ที่ไม่ควรมีควรได้
และทำให้คนในสังคมบางส่วนเข้าใจผิดในบทบาทหน้าที่ของอาชีพสื่อมวลชนไปด้วย
ท่ามกลางความหดหู่
และเศร้าใจในสภาลูก เมีย ที่สะท้อนถึงสังคมอุปถัมภ์ที่น่าชิงชังอย่างยิ่ง ยังมีเรื่องที่น่ายินดี
ในบทบาทหน้าที่สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) คุณมานิจ สุขสมจิตร ที่เสนอให้ตัดวิชาชีพสื่อมวลชนออกจาก
ระบบการสรรหาเพื่อเป็นวุฒิสมาชิก
นัยหนึ่งคือการยืนยันความเป็นอิสระของสื่อมวลชน
ที่ต้องปลอดจากการเมือง สามารถวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและผู้มีอำนาจได้อย่างตรงไปตรงมา
การที่สื่อบางคน
บางกลุ่ม ยังสำคัญตัวผิดว่าเป็น “ฐานันดร 4” เรียกรับผลประโยชน์จากผู้มีอำนาจ
นักการเมือง นักธุรกิจ ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ทั้งโดยตรงและตามน้ำ
หรือสำคัญว่าอาชีพนักข่าวจะได้อภิสิทธิ์ในเรื่องต่างๆ มากกว่าประชาชนโดยทั่วไป
นับเป็นความเลวร้ายชนิดหนึ่งในสังคมไทย
ในขณะเดียวกันมายาคติเรื่องชนชั้นสื่อมวลชนนั้น
ก็ทำให้คนบางประเภทยอมค้อมหัวให้
สื่อที่มีทั้งสื่อที่ทำข่าวเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางธุรกิจ
กับสื่อรุ่นใหญ่ที่เรียกกันว่า มีบารมี ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองต้องไปปรากฏตัวในงานวันเกิด
หรือจ่ายเงินกันเป็นรายเดือน เช่นกรณี ซีพีเอฟ
เรื่องซีพีเอฟ
ทำให้ผมได้เข้าใจเรื่องราวที่เกี่ยวพันกันต่อมาหลายเรื่อง
หนึ่งคือการที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์บางบริษัท
จะมีการจัดทำเอกสารภายใน บันทึกรายละเอียด ความสัมพันธ์ในเชิงผลประโยชน์กับนักข่าว
รวมทั้งการจ่ายเงินที่ไม่มีมูลค่าตอบแทน นอกจากสัญญาใจว่า
จะช่วยดูแลไม่ให้มีข่าวที่ส่งผลกระทบต่อภาพพจน์ของบริษัทเหล่านั้น
สองคือความไม่รับผิดชอบของ TCIJ ที่ตีหัวเพื่อน
แล้ววิ่งหนีเข้าบ้าน ไม่ยอมให้ข้อมูล เพื่อนำไปสู่การตรวจสอบข้อเท็จจริง
คณะกรรมการอิสระ
ซึ่งมีคุณสัก กอแสงเรือง เป็นประธาน ยังคงทำหน้าที่ต่อเนื่องอย่างเป็นอิสระ
จากคณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ถึงแม้ว่ายังสรุปผลการสอบสวนไม่ทัน
แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าคณะกรรมการชุดใหม่หรือเก่ายืนยันไม่เปลี่ยนแปลง คือจะมีการเปิดเผยรายชื่อ
และพฤติกรรมของผู้ถูกกล่าวหาทุกราย โดยไม่มีข้อยกเว้นว่า เป็นเพื่อน เป็นเจ้านาย
หรือมีความสนิทสนมกันเพียงใด ทั้งนี้การพิจารณาจะต้องทำให้รอบคอบ
รัดกุมที่สุดเพื่อความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
กรณีซีพีเอฟ
เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ยืนยันว่า กลไกการตรวจสอบกันเองขององค์กรวิชาชีพ
ยังคงเป็นหลักที่ใช้การได้
เพราะเมื่อปรากฏกรณีที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อถือของสื่อมวลชนทั้งระบบครั้งนี้
คณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ และสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ก็ได้มีฉันทานุมัติในทันที
ให้มีการตั้งกรรมการสอบสวน โดยที่ไม่ต้องมีใครร้องขอ หลายกรณีก็กระทำเช่นนี้
ดังนั้น
อุปาทานที่ว่า การควบคุมกันเองล้มเหลวนั้น คงจำเป็นต้องอธิบายใหม่ว่า
เป็นเพียงการไปไม่ถึงจุดที่ประชาชนคาดหวัง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาขององค์กร ที่ไม่มีอำนาจตามกฎหมาย
โดยทั่วไป และเป็นหลักที่เราตั้งใจมาแต่แรกก่อตั้งสภา
นสพ.ในการปฏิเสธอำนาจในลักษณะควบคุม บังคับ
อย่างไรก็ตาม
การเพิ่มกลไกกฎหมายเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการกำกับ
ดูแลกันเองของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน โดยต้องไม่มีอำนาจรัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง ให้อำนาจกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจนเกินไป
รวมทั้งการออกแบบให้มีกลไกถ่วงดุลและตรวจสอบการใช้อำนาจ
สำคัญที่สุดคือการยืนยันความเป็นอิสระขององค์กรกำกับ
ก็เป็นเรื่องจำเป็นที่ปฏิเสธไม่ได้
คณะทำงานสื่อเพื่อการปฏิรูป
ซึ่งประกอบด้วยองค์กรวิชาชีพ 4 องค์กรหลัก ได้จัดทำข้อเสนอการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ
กสทช.และกลไกการกำกับดูแลกันเองของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน เสร็จเรียบร้อยแล้ว
เป็นข้อเสนอที่อธิบายถึงที่มา
หลักการ และวิธีปฏิบัติ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่สุดในกระบวนการปฏิรูปสื่อ
เพราะหลายคนมุ่งไปที่การเสนอแนวคิดเพื่อตอบรับกระแสสังคม
ที่วูบวาบตามสถานการณ์ เช่น
การที่เหมารวมสื่อทั้งหลาย ทั้งสื่ออาชีพ สื่อการเมือง สื่อสังคมออนไลน์
เป็นสื่อทั้งหมด และรวบรัดว่าสื่อเหล่านี้ไม่มีความรับผิดชอบ
จะต้องบังคับให้มีการจดทะเบียนและเพิกถอนทะเบียน เช่นเดียวกับหมอ ทนายความ วิศวกร
ในระหว่างที่ข้อเสนอยังต้องถกแถลงกันใน
สภาปฏิรูปแห่งชาติ ผู้ที่ถูกสื่อละเมิด โดยเฉพาะสื่อที่เป็นองค์กรสมาชิก สภา
นสพ.ทั่วประเทศ ยังสามารถส่งเรื่องร้องเรียนไปที่สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ
และสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย 538/1 ถนนสามเสน
แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพฯ10300 ในกรณีที่เป็นเรื่องจริยธรรม
แต่ถ้าเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายเกี่ยวกับเด็ก การกระทำความรุนแรงในครอบครัว
ทราบว่ากรรมการสภา นสพ.กำลังเจรจาให้ฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย
สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งมีตัวแทนอยู่ในทุกจังหวัด ดำเนินการทางคดีให้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
การที่ประชาชนผู้บริโภคข่าวสาร
ใช้สิทธิปกป้องตัวเองไม่ว่าในแง่จริยธรรมและกฎหมาย คือพลังสำคัญที่จะคัดแยก คนข่าวขยะ
ออกจากวงการสื่อมวลชน