ในนามของการพัฒนา แม่เมาะ
ได้สร้างประวัติศาสตร์บาดแผลให้ชาวบ้าน ป่วยไข้ ล้มตายมานับหลายร้อยคน
ทั้งที่พิสูจน์ไม่ได้ และพิสูจน์ได้ด้วยคำพิพากษาของศาลปกครองไม่นานมานี้
โรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะ
จ่ายไฟฟ้าสำหรับภาคเหนือ 50%
ภาคกลาง 30% และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20%
ใช้ถ่านลิกไนต์เป็นเชื้อเพลิงปีละประมาณ 16 ล้านตัน
ชาวบ้านแม่เมาะในยุคที่สังคมยังไม่ได้ตื่นตัวเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมมากนัก
กลายเป็นผู้เสียสละโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
คนทั้งประเทศรู้จักแม่เมาะมากกว่าลำปาง
แม่เมาะคือความภาคภูมิใจของคนลำปาง
ในฐานะเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าให้คนครึ่งหนึ่งของภาคเหนือใช้
อีกครึ่งหนึ่งส่งให้ภาคกลางและอีสาน แต่ชาวบ้านแม่เมาะสั่งสมไว้ด้วยสารพิษ
ความคิดในการสร้างโรงไฟฟ้าจากถ่านหิน
ก็เพราะต้องการลดการพึ่งพาพลังงานจากป่าไม้
การเกิดขึ้นของโรงไฟฟ้าจึงมิใช่ความเลวร้าย แต่ความเลวร้ายคือการใช้ทรัพยากรท้องถิ่น
การรุกรานพื้นที่ชุมชน โดยไม่มีความรับผิดชอบต่อความเสียหายที่จะเกิดขึ้น
และการวางตั้งไว้ซึ่งโรงงานผลิตสารพิษ
ที่จะส่งผลต่อชุมชนและชาวบ้านไปชั่วลูกชั่วหลาน
ป่าเหียงก็ไม่แตกต่างกัน
ความพยายามที่จะเข้ามาสร้างโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานไอน้ำจากของเหลือใช้
หรือโรงไฟฟ้าขยะ ที่บริเวณบ้านป่าเหียง ของคนต่างถิ่น
โดยมีมายาคติคล้ายเป็นเรื่องความมั่นคง ที่ทหารต้องเสนอบทบาทเข้ามาเกี่ยวข้อง
คือการเปิดแนวรบครั้งใหม่ของชาวบ้านบางระจัน แห่งป่าเหียง
ที่จะต้องปกปักรักษาแผ่นดินเกิดของพวกเขาอย่างสุดกำลัง
แน่นอนว่าชาวบ้านอาจจะยังไม่ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วน
รอบด้าน หรือบางทีเขาอาจไม่ได้คิดว่า ด้วยระยะเวลาที่ผ่านไปนานหลายสิบปี
วิทยาการสมัยใหม่อาจมีวิธีการจัดการมลพิษทางอากาศ
ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าโรงไฟฟ้าแม่เมาะก็ได้
แต่ถึงอย่างไรก็เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของพวกเขาที่จะปกป้องชุมชน
และเช่นเดียวกับบทเรียนจากแม่เมาะ
การยอมให้มีสิ่งแปลกปลอมเกิดขึ้นในบ้านของเขา
ไม่ว่ามันจะอยู่ในระยะปลอดภัยในทางวิชาการหรือไม่ก็ตาม
แต่จะส่งผลไปยังลูกหลานของเขาในอนาคต จึงเป็นเรื่องที่ต้องทบทวน
ในด้านผู้ลงทุน
ก็ต้องมีแผนธุรกิจ และแผนประชาสัมพันธ์ควบคู่กันไป เพราะธุรกิจสร้างโรงไฟฟ้าจากขยะ
เป็นเรื่องที่อ่อนไหวต่อความรู้สึกของชาวบ้าน ความเข้าใจแบบชาวบ้านคือขยะ
ย่อมต้องมีสารพิษปะปนอยู่ และเมื่อเป็นโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการโดยเอกชน ก็ย่อมนำขยะจากแหล่งอื่นมาใช้เป็นพลังงานในการผลิตไฟฟ้าได้
นายสุวิทย์
ขัตติยวงศ์ รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ
ผู้ซึ่งยืนยันว่าการสร้างโรงไฟฟ้าขยะ ไม่มีในแผนแม่บทการจัดการขยะของจังหวัดลำปาง
ยืนยันว่าการป้อนขยะให้โรงไฟฟ้าจะต้องใช้ขยะไม่ต่ำกว่าวันละ 100 ตันขึ้นไป
ซึ่งการผลิตนั้น ขยะสด 300 ตัน จะผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 1
เมกะวัตต์ หากโรงไฟฟ้ามีขนาด 6.5 เมกะวัตต์
จะต้องใช้ขยะปริมาณ 1,800 กว่าตันต่อวัน
ลำปางทั้งจังหวัดมีปริมาณขยะมากสุดประมาณ 800 ตันต่อวันเท่านั้น
!!
นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในการต่อสู้ทางข่าวสาร
ข้อมูล ที่บริษัทผู้ลงทุนก็ต้องพยายามทำความเข้าใจกับชาวบ้าน
หรือผู้มีบทบาทเกี่ยวข้องตั้งแต่ระดับทหารในพื้นที่ ฝ่ายปกครองไล่ลงมาจากผู้ว่าราชการจังหวัด
จนถึงผู้บริหารท้องถิ่น
ซึ่งต้องไม่ใช่การใช้ทุน อามิสสินจ้าง
เงินหรือผลประโยชน์อันใดเพื่อสร้างความเข้าใจ เป็นอันขาด เพราะนั่นคือสิ่งที่เรียกว่า ‘คอรัปชั่น’ หรือการมีผลประโยชน์ทับซ้อน
อันเป็นความเลวร้ายชนิดหนึ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ประกาศเป็นนโยบายสำคัญ
สุดท้ายแล้ว
นี่ไม่อาจเรียกว่าการต่อสู้เพียงเพื่อเอาชนะคะคานกัน ผู้ลงทุน
นายทหารในพื้นที่ซึ่งอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงในการลงทุนภาคเอกชน
ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บริหารท้องถิ่นทุกระดับที่เกี่ยวข้อง
จะต้องไม่มองชาวบ้านด้วยความเคลือบแคลงใจ
จะต้องเชื่อว่าพวกเขาต่อสู้เพื่อความบริสุทธิ์ใจ เพื่อสิทธิชุมชน
ในขณะเดียวกันชาวบ้านก็ต้องเปิดใจกว้างยอมรับคำอธิบายที่เป็นเหตุเป็นผล
และเชื่อในการพัฒนาท้องถิ่น เชื่อในการสร้างงานให้พื้นที่
สร้างความเจริญให้กับหมู่บ้าน แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็มีสิทธิที่จะต่อสู้กับการข่มขู่
คุกคามทุกชนิด หรือแม้กระทั่งการใช้ทุนมาเป็นเงื่อนไขให้ต้องยอมตาม
กรณีพิพาทป่าเหียง
อาจไม่จบในเร็ววัน แต่คนบางคนที่ไม่สุจริตอาจจบก่อน