วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

นักเลงคีย์บอร์ด

           
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการสื่อสารที่แปรรูปสื่อมวลชนให้กลายเป็นสื่อสารมวลชน ที่ทุกคนสามารถมีบทบาททั้งผู้รับและผู้ส่งนั้น ได้ทำให้เกิดหลุมดำขนาดใหญ่ ที่ทำให้ดึงดูดทุกสิ่งลงไปหากไม่มีความระมัดระวังอย่างเพียงพอ
           
วันอินเทอร์เนต็ตนานาชาติ (International Internet day) ได้ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2005 (ประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา) ถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของวงการโทรคมนาคมและเทคโนโลยี  อันเนื่องจากความสำเร็จของการส่งข้อความอิเล็กทรอนิกส์ครั้งแรกจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 1969 และพัฒนาการของโลกอินเทอร์เน็ตนับจากวันนั้นได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของประชากรนับร้อยล้านพันล้านคนทั่วโลกแบบที่เราไม่เคยคาดคิดมาก่อน
           
จำได้ว่า ราวปี 2540 สมัยนั้นอินเทอร์เนตยังไม่มีมาใช้ในเมืองไทยอย่างแพร่หลายเหมือนกันปัจจุบัน นี้ ตอนนั้น แร็ค ลานนา ได้มีโอกาสใช้ก็ที่ห้องสมุด หรือสำนักคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย ซึ่งเว็บเบราว์เซอร์ที่ฮิตๆในสมัยนั้นก็เป็น Netscape Navigator โปรแกรมแชทที่ใช้ในสมัยนั้นยังเป็นระบบ Unix ที่จะแชทได้กับคนที่อยู่ในวงแลนเดียวกัน จากนั้นก็พัฒนาเป็น ICQ Pirch98 ตามวิวัฒนาการของอินเทอร์เนตที่เริ่มมีผู้ให้บริการมากขึ้นในประเทศไทย
           
หลังจากนั้นไม่มีอะไรจะฉุดรั้งความก้าวหน้าของเครือข่ายออนไลน์ เมื่อความปรารถนาที่จะสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็วผลักดันให้มนุษย์คิดค้นเครื่องมือในรูปของโซเชียลเน็ตเวิร์ก (Social Network) หรือเครือข่ายสังคม (ชุมชนออนไลน์) ไปพร้อมๆกับวิทยาการที่ก้าวหน้าในอุปกรณ์สื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นพวกคอมพิวเตอร์พกพา (Tablet) คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค (Laptop) และโทรศัพท์มือถือ (Mobile phone) เป็นต้น เราได้ก้าวเข้าสู่ยุคคีย์บอร์ดและปลายนิ้วควบคุมโลกทั้งใบของเราเอง
           
อินเทอร์เน็ตขยายตัวเป็นโลกใบใหญ่ที่ซ้อนทับสังคมในชีวิตประจำวันจนแยกกันไม่ออก เราใช้ชีวิตในสังคมจริง และเราก็มีตัวตนในสังคมออนไลน์ และทุกวันนี้โลกทางออนไลน์มีความสมจริง จนพฤติกรรมที่เราแสดงออกทางอินเทอร์เน็ตส่งผลให้ทั้งคุณและโทษ ไม่ต่างจากสิ่งที่เราทำนอกโลกออนไลน์
           
ในยุคที่นักเลงคีย์บอร์ดครองเมือง พฤติกรรมเหยียดหยามข่มขู่ต่อคนอื่นผ่านสื่อออนไลน์เห็นได้บ่อยๆ โดยเฉพาะการพูดถึงบุคคลสาธารณะอย่างนักการเมือง ดารานักแสดง และนักร้อง แต่ความเป็นบุคคลสาธารณะก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะมาละเมิดสิทธิส่วนบุคคลได้  มีสติในการโพสต์ข้อความที่อาจจะกระทบกระทั้งผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดการฟ้องร้องได้ คิดจะ “เกรียน” เป็น “นักเลงคีย์บอร์ด” ต้องหัดเรียนรู้กฎหมายใช้ช่ำชอง อย่า “มโนโซเชียล” เป็นคำเตือนจากผู้เชียวชาญด้านกฎหมายหลายต่อหลายคนที่ออกมาเตือนกัน
           
เพราะเมื่อเป็นคดีความ การจะมาอ้างว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็คงไม่ทันการณ์ เพราะความผิดได้สำเร็จแล้ว
           
เราได้เห็นข่าวจากสื่อกระแสหลักที่ทุกวันนี้นักข่าวหาข่าวกันจากหน้าคอมพิวเตอร์ ใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นแหล่งข่าว โดยที่หลายครั้งไม่ได้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือ ข้อเท็จจริง แต่นำเสนอข่าวเพียงเพราะ “ชาวเน็ตแห่แชร์” ไม่ว่าจะเป็น ข่าวดราม่า พนักงานรถเมล์สาย203 ผลักเด็ก(อายุ19ปี)ตกรถได้รับบาดเจ็บ ก็มีมนุษย์กล้องที่ขับรถตามมาอัดคลิปถามเด็กได้ความว่าถูกผลักจากรถเมล์ และนำไปเผยแพร่ทางเฟสบุ๊คจนเกิดกระแสแชร์สนั่นเมือง แต่เมื่อผู้เกี่ยวข้องนั่นคือ ขสมก. ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากพยานที่เห็นเหตุการณ์ปรากฎว่าตัวเด็กได้ลงมาที่ถนนแล้วเสียหลักหกล้มเอง พนักงานรถเมล์ไม่ได้ทำร้ายแต่อย่างใด อีกทั้งแม่ของเด็กคนนี้ก็บอกว่าตัวลูกเองก็ได้รับการผ่าตัดสมองมาทำให้มีอาการอารมณ์ขึ้นๆลงๆได้ โอ้ละพ่อกันละงานนี้ แต่ที่แน่ๆกว่าความจริงจะเปิดเผย เราจะเห็นได้ว่าจากการแชร์ข้อมูลด้านเดียวที่ยังไม่มีการสืบหาความจริงทำให้พนักงานคนนี้ต้องมีประวัติด่างพร้อยและถูกพักงาน 7 วัน อีกทั้งยังโดนคนในโลกสมมติอทางสื่อสังคมออนไลน์ “เชื่อว่าผิด” ด่าว่าสารพัด แม้ว่าจะมีคนส่วนหนึ่งบอกให้รอความจริงก่อนที่จะตำหนิ
           
ลำปางเองก็ไม่น้อยหน้าในกลุ่ม Lampang city กลุ่มเฟสบุ๊คที่มีสมาชิกมากกว่า 5 หมื่นคน มีวัตถุประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์ร้านค้า ของอร่อย สถานที่ท่องเที่ยว แต่หลายครั้งที่มีการดราม่าเกิดขึ้น และมีการฟ้องร้องกันเนื่องจากข้อความที่โพสต์ไปทำให้ธุรกิจร้านค้าได้รับความเสียหาย หรือแม้แต่ล่าสุดเรื่องชายคนหนึ่งในจังหวัดลำปางได้ลงรูปเจ้าหน้าหลายรูปที่กำลังเขียนใบเสร็จค่าปรับด้วยถ้อยคำที่ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ในสื่อสังคมออนไลน์และได้มีการแชร์ภาพเป็นจำนวนมาก สุดท้ายก็ต้องมากราบขมาลาโทษ แต่ในส่วนของคดีความก็ยังต้องว่ากันไปตามกฎหมาย เพราะเป็นความผิดทางอาญาฐานหมิ่นประมาทและมีความผิดทาง พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550
           
แล้วเท่าไหร่ แค่ไหนเป็นการหมิ่นประมาท: การเขียนข้อความทางอินเทอร์เน็ตที่เข้าข่ายหมิ่นประมาท คือการใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามโดยประการที่จะทำให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง
           
บทลงโทษการหมิ่นประมาททางอินเทอร์เน็ต การเขียนหรือโพสต์ข้อความการหมิ่นประมาททางอินเทอร์เน็ตมีโทษแรง เพราะเป็นการหมิ่นประมาททางสาธารณะตามความผิดในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท นอกจากนี้ยังมีความผิดฐานข้อความเผยแพร่ทางเว็บไซต์ตาม พ.ร.บ.การกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มีโทษจำคุก 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 600,000 บาท
           
โพสต์ เรื่องส่วนตัวของผู้อื่นผิดเต็มๆ ผู้ที่ถูกฟ้องในความผิดฐานหมิ่นประมาท (ผู้ปล่อยข่าว) ตามกฎหมายไทยไม่ต้องรับโทษหากสิ่งที่พูดหรือเผยแพร่ได้รับการพิสูจน์ความ จริงนั้นไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ดังนั้นการเขียนข้อความว่า ใครรีดลูก ใครเป็นชู้กับใคร ถึงแม้จะเป็นความจริง ผู้เขียนจะต้องรับโทษตามคดีหมิ่นประมาท เพราะศาลไม่ให้สิทธิ์ในการพิสูจน์ความจริงในเรื่องส่วนตัว แต่ถ้าเป็นการหยักยอกเงินบริษัท การโกงกินเงินแผ่นดิน หรือการทำตัวเป็นเฒ่าหัวงูลามกกับสาวไปทั่ว แบบนี้ศาลให้พิสูจน์เพื่อประโยชน์ต่อสังคม ประโยชน์ต่อสาธารณะ ซึ่งถ้าเรื่องนั้นเป็นเรื่องจริง ผู้เขียนหรือผู้โพสต์ข้อความไม่ต้องรับโทษในความผิดฐานหมิ่นประมาทเพราะถือ ว่าช่วยเป็นหูเป็นตาให้สังคมได้ตรวจสอบผู้คนที่เป็นพิษภัยต่อสังคม
           
เมื่อสังคมอุดมดราม่ากลายเป็นเรื่องธรรมดา มนุษย์กล้องโหยหาพื้นที่ทางสังคม เสพติดยอดกดไลค์ กดแชร์ เมื่อถึงคราวเจอคนจริง เอาเรื่องจริง ขึ้นศาลจริง ระวังจะติดคุกจริง จะหาว่าแร็ค ลานนา ไม่เตือนไม่ได้นะ
           
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1027  วันที่  8  -  14  พฤษภาคม  2558)
Share:

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์