กุลธิดา
สืบหล้า...เรื่อง
นานแค่ไหนแล้ว
ที่เราไม่ได้แหงนมองท้องฟ้ายามค่ำคืน หรือแหงนมองบ่อย ๆ ทว่าไม่เห็นอะไรเลย
อย่าว่าแต่ดาวล้านดวง ทางช้างเผือกเป็นอย่างไรก็แทบนึกไม่ออก ใครอยู่ในเมืองใหญ่ ๆ
ที่ไม่เห็นดวงดาว ก็เพราะถูกบดบังโดยมลพิษจากแสงไฟฟ้า (Light Pollution)
พ่อเคยเล่าให้ฟังว่า
สมัยเด็ก ๆ อาศัยอยู่ที่อำเภอวังเหนือ
กลางดึกคืนหนึ่งตื่นขึ้นมาก็ต้องสะดุ้งสุดตัว
เพราะเห็นดวงจันทร์ขนาดมหึมาลอยเด่นอยู่กลางฟ้า ใกล้จนแทบจะเอื้อมมือจับถึง
เป็นดวงจันทร์ที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตที่พ่อเคยเห็น และไม่เคยลืมดวงจันทร์ดวงนั้นเลย
ผ่านไปหลายสิบปี
พ่อมาถึงยุคที่นักวิทยาศาสตร์ออกมาส่งเสียงเตือนดังขึ้นเรื่อย ๆ ว่า
เรากำลังสูญเสียความมืดมิดของราตรีไปแล้ว...จากภาพถ่ายดาวเทียมที่ชี้ชัดว่า
ชั้นบรรยากาศโลกเกลี่ยแสงไฟฟ้าเจิดจ้าของเมือง ให้เป็นแสงแวววาวปกคลุมโลกจนดูเหมือนลูกแก้วสีดำมะเมื่อม
โครงการ
Globe
at Night โครงการอาสาสมัครภาคพลเรือน จึงถูกก่อตั้งขึ้นมาเพื่อรณรงค์ให้สาธารณชนตระหนักในปัญหาและผลกระทบจากมลพิษแสง
ด้วยการเชิญชวนให้คนรักดาวทั่วโลก วัดความสว่างของท้องฟ้ากลางคืนในเมืองของตนเอง
มีคนลองใช้เกณฑ์วัดตามตาราง ปรากฏว่ากรุงเทพฯ มีมลพิษแสงระดับ 1 คือ แย่กว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
หนึ่งในโครงการที่พยายามแก้ปัญหามลพิษแสงอย่างเป็นรูปธรรมที่สุด
คือ การประกาศ “เขตสงวนท้องฟ้ายามราตรี” (Dark Sky Reserve) โดยมุ่งพิทักษ์ท้องฟ้าสุกสกาวยามค่ำคืนจากมลพิษแสง (ไม่ใช่พิทักษ์ระบบนิเวศจากการทำลายของมนุษย์)
ทั่วโลกในวันนี้มีเขตสงวนท้องฟ้ายามราตรีหลายแห่ง
แต่ที่ได้รับการยอมรับที่สุดในแง่ของมาตรฐาน คือ เขตสงวนท้องฟ้ายามราตรีนานาชาติ
ดำเนินการโดยสมาคมท้องฟ้ายามราตรีนานาชาติ ซึ่งมีเกณฑ์การสมัครที่ชัดเจน
รางวัลแบ่งเป็น 3
ระดับ คือ ทอง เงิน และทองแดง นอกจากระดับนานาชาติแล้ว ทางสมาคมฯ
ยังให้รางวัลอีก 2 ระดับ คือ ระดับชุมชนและระดับอุทยาน
เพื่อสนับสนุนความพยายามที่จะสงวนท้องฟ้ายามวิกาลในระดับย่อยลงมา
เขตสงวนระดับทอง
ต้องมีสภาพกลางคืนใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด ถ้ามีแสงไฟประดิษฐ์ก็ต้องทำตามหลักเกณฑ์
คือ ไม่ส่องขึ้นฟ้าถ้าไม่จำเป็น แม้แต่เขตสงวนระดับทองแดง
ก็ต้องสามารถเห็นทางช้างเผือกอย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังมีเงื่อนไขสำคัญข้อหนึ่ง
คือ จะต้องเปิดให้ผู้มาเยือนได้ซึมซับความงามของท้องฟ้ายามราตรีอย่างเท่าเทียม
และต้องระบุ “ท้องฟ้ายามราตรี”
ว่าเป็นทรัพยากรสำคัญในแผนงานของเมืองนั้น ๆ เพื่อจะมั่นใจได้ว่า
ท้องฟ้ายามราตรีจะได้รับการปกป้องตลอดไป
โดยผู้มีอำนาจในเมืองต้องรับผิดชอบต่อแผนงานรักษาท้องฟ้ายามราตรีที่วางไว้ด้วย
ปัจจุบัน
เขตสงวนทุกระดับที่สมาคมท้องฟ้ายามราตรีนานาชาติให้การรับรองมีกว่า 40 แห่งทั่วโลก
ในจำนวนนี้มีเขตสงวนท้องฟ้ายามราตรีระดับนานาชาติที่ได้ระดับทองเพียง 2 แห่งเท่านั้น ได้แก่ เขตสงวนธรรมชาตินามิแบรนด์ ประเทศนามิเบีย
และเขตสงวนท้องฟ้ายามราตรีอาโอรากิ แม็กเคนซี ประเทศนิวซีแลนด์
ทั้งสองแห่งกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักดาราศาสตร์และคนรักดวงดาวจากทั่วโลก
เมืองเหล่านี้ยังพบว่า สามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้ปีละหลายสิบหลายร้อยล้านบาท
ทั้งยังมีรายได้จากนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาชื่นชมความงามของดวงดาวและศึกษาดาราศาสตร์
(Astro Tourism)
การตระหนักในแสงไฟส่วนเกินเริ่มส่งแรงกระเพื่อมมากขึ้น
ล่าสุด รัฐนิวยอร์กตัดสินใจลดแสงไฟที่ไม่จำเป็นลงในยามค่ำคืน
เพื่อลดผลกระทบที่มีต่อนกอพยพ ซึ่งส่วนใหญ่อพยพในเวลากลางคืน
โดยใช้แผนที่ดาวเป็นระบบนำทาง แสงไฟเหล่านี้ ส่งผลต่อระบบนำทางของพวกเขา กรุงเทพฯ
เองก็เป็นทางผ่านของนกอพยพจำนวนมาก และมีรายงานการพบนกอพยพบางชนิดตกลงมาอยู่เสมอ
น่าคิดว่าเราควรจะลดกิจกรรมของมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือธรรมชาติหรือยัง
พูดถึงการท่องเที่ยวแบบ
Astro
Tourism นึกถึงเมืองลำปางของเรา
มาช่วยกันจินตนาการถึงกล้องดูดาวทรงประสิทธิภาพตั้งอยู่ที่ไหนสักแห่ง
ตรงตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับการดูดาว อาจเป็นวนอุทยานม่อนพญาแช่ที่ปรับพื้นที่เพื่อรองรับนักดูดาวจากทุกสารทิศ
เวลามีปรากฏการณ์อย่างฝนดาวตก จันทรุปราคา หรือแม้แต่วันธรรมดา ๆ ที่ฟ้ากระจ่าง
ทุกคนจะมารวมตัวกันที่นั่น ดื่มด่ำความงามบนท้องฟ้า โดยมีนักดาราศาสตร์คอยบรรยายให้ความรู้
เราคงได้เฝ้ามองกลุ่มดาวและทางช้างเผือกกันอย่างโรแมนติก
และแล้วก็ต้องตื่นจากความฝัน
ลำพังมลพิษจากแสงไฟฟ้า บ้านเราคงไม่ค่อยเท่าไร มลพิษทางอากาศนี่สิ
เฮ่อ..ฝุ่นควันนี่นอกจากจะทำลายสุขภาพแล้ว
ยังทำลายความสุนทรีย์ของชีวิตจนแทบไม่เหลือหรอ
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1026 วันที่ 1 - 7 พฤษภาคม 2558)