ศาลปกครองเชียงใหม่ลงพื้นที่เหมืองแม่เมาะ ติดตามการดำเนินการตามคำพิพากษา 5 ประเด็น หลัง กฟผ.ยื่นแก้ไขมาตรการใหม่ทั้งหมด ขณะที่ทีมสภาทนายความตัวแทนผู้ฟ้องคดี สงวนสิทธิ์ไม่ยอมรับในการแก้ไขมาตรการดังกล่าว เตรียมประชุมหารือภายในและยื่นเสนอให้ศาลวินิจฉัยใหม่
• ศาลปกครองตรวจสอบ
เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.58 นายพรชัย จันทรมะโน ผู้อำนวยการกลุ่มสนับสนุนงานคดีและบังคับคดีปกครอง ศาลปกครองเชียงใหม่ พร้อมด้วยนายวิชิต ขอดเตชะ พนักงานคดีปกครองปฏิบัติการ และน.ส.อนงนุช เออไชยา พนักงานคดีปกครองชำนาการ ได้ติดตามการดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด พร้อมกับตรวจสถานที่พิพาทตามประเด็นที่ศาลตัดสิน 5 ประเด็นด้วยกัน โดยมีทีมสภาทนายความ ประกอบด้วย นายธนู เอกโชติ นายวิโรจน์ ช่างสาร และน.ส.นภาพร สงปรางค์ เป็นตัวแทนทางฝ่ายโจทก์ รวมทั้งนางมะลิวรรณ นาควิโรจน์ ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และชาวบ้านผู้ร่วมฟ้องคดีเข้าร่วมประมาณ 10 คน ส่วนทางด้าน กฟผ.แม่เมาะ มีนายประภาส วิชากูล ผู้ช่วยผู้ว่าการเหมืองแม่เมาะ นายโอภาส จริยภูมิ ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนและบริหารเหมืองแม่เมาะ ร่วมชี้แจงในประเด็นต่างๆ พร้อมด้วยนายชัยยุทธ สุขเสริม วิศวกรเหมืองแร่ชำนาการ สำนักงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เขต 3 เป็นตัวแทนกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ น.ส.จารุวัฒน์ พ่วงสุข นักวิชาการสิ่งแวดล้อมชำนาการ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ตัวแทนอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ข้าร่วม
• กฟผ.ขอเปลี่ยนมาตรการใหม่
การติดตามครั้งนี้ เนื่องจากทาง กฟผ.แม่เมาะ ได้ยื่นรายงานการดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ที่กำหนดให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน ไปเมื่อวันที่ 8 พ.ค. 58 แล้ว ซึ่งทาง กฟผ.ยืนยันว่าได้ดำเนินการตามคำสั่งศาลอย่างเคร่งครัด และมาตรการที่เสนอไปนั้นได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.)แล้ว ดั้งนั้น ศาลปกครองฯ จึงมอบหมายให้พนักงานคดีปกครองลงพื้นที่ตรวจสอบว่าทาง กฟผ.ดำเนินการตามที่รายงานต่อศาลหรือไม่ โดยนายวิชิต ขอดเตชะ พนักงานคดีปกครองชำนาการ ได้ชี้แจงรายละเอียดตามประเด็นต่างๆ ให้ตัวแทนผู้ฟ้องคดีทราบว่าทาง กฟผ.จะดำเนินการอย่างไร เนื่องจาก กฟผ.ได้มีการเปลี่ยนแปลงมาตรการในประเด็นที่ศาลพิพากษาใหม่ทั้งหมด โดยให้ทาง กฟผ.อธิบายมาตรการที่เปลี่ยนแปลงให้ทราบ ก่อนที่จะลงพื้นที่ตรวจสอบว่า กฟผ.ได้ปฏิบัติตามที่รายงานจริงหรือไม่
• ปลูกต้นไม้แทนม่านน้ำ
ประเด็นที่ 1 ให้ทำการติดตั้งม่านน้ำเพื่อเป็นการลดฝุ่นละอองในบรรยากาศความยาว 800 เมตร ระหว่างที่ทิ้งดินทิศตะวันออกกับบ้านหัวฝาย และด้านทิศตะวันตกกับหมู่บ้านทางทิศใต้ โดยทาง กฟผ.ได้ขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม ต่อสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และได้รับความเห็นชอบ แก้ไขมาตรการใหม่เป็น ให้ปลูกต้นไม้เพื่อป้องกันการฟุ้งกระจายของฝุ่นระหว่างเขตทำเหมืองและชุมชนที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่บ้านหัวฝาย บ้านดง บ้านห้วยคิง และบ้านหางฮุง บำรุงรักษาแนวต้นไม้ที่ปลูกและปลูกต้นไม้ใบกว้างเพิ่มสลับกับต้นสนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันฝุ่นละออง ซึ่งในพื้นที่จริงปัจจุบันได้มีการปลูกต้นสนสูงประมาณ 20 เมตร และต้นไม้ใบหนาสลับกับแนวต้นสน เพื่อป้องกันฝุ่นแล้ว
• อพยพเมื่อมีการทิ้งดิน 148 ล้านลบ.ม.
ประเด็นที่ 2 การอพยพราษฎรออกนอกรัศมีผลกระทบ 5 กิโลเมตร โดยจัดตั้งคณะทำงานระดับท้องถิ่นและผู้เชี่ยวชาร่วมกันพิจารณาในการอพยพ ซึ่งทาง กฟผ.ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงมาตรการดังกล่าว เป็น มาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เสนอไว้ในรายงานฯ กำหนดว่า อพยพหมู่บ้านออกนอกรัศมีผลกระทบ 5 กิโลเมตร เมื่อมีการทิ้งดินตั้งแต่ 148 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีขึ้นไป ซึ่งในประเด็นนี้ผู้ฟ้องคดีได้มีการโต้แย้งว่า กฟผ.ไม่ควรมีเงื่อนไขว่าจะต้องทิ้งดิน 148 ล้านลูกบาศก์เมตรถึงจะอพยพชาวบ้าน เนื่องจากชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนจริงๆ เห็นได้จากกลุ่มที่เคยอพยพออกมาแล้ว แต่ยังมีชาวบ้านที่ยังรอการอพยพอยู่อีกจำนวนมาก ในเมื่อชาวบ้านอยู่ในรัศมี 5 กิโลเมตรก็ควรจะให้ชาวบ้านได้อพยพออกจากพื้นที่ รวมทั้งการตั้งคณะทำงานฯ ไม่เคยมีตัวแทนชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบเข้าไปร่วมด้วยเลย จึงเป็นการดำเนินการที่ไม่ถูกต้องตามคำพิพากษา
• ยันสนามกอล์ฟไม่อยู่ในขุมเหมือง
ประเด็นที่ 3 ให้ฟื้นฟูขุมเหมืองให้ใกล้เคียงกับสภาพเดิมตามธรรมชาติ โดยการถมดินกลับในบ่อเหมืองให้มากที่สุด และให้ปลูกป่าทดแทนเฉพาะในส่วนที่ กฟผ.นำพื้นที่ที่ต้องฟื้นฟูขุมเหมืองไปทำเป็นสวนพฤกษชาติและสนามกอล์ฟ ประเด็นนี้ทาง กฟผ.ชี้แจงว่า พื้นที่นำไปทำสนามกอล์ฟและสวนพฤกษชาติไม่ใช่แปลงประทานบัตรตามคำขอประทานบัตรที่ 3-6/2530 และ 30-46/2535 ที่เป็นข้อพิพาทตามคำพิพากษาในคดีนี้ แต่เป็นส่วนหนึ่งของแปลงประทานบัตรที่ 20010/15937 คำขอที่ 13/2558 กฟผ.ได้สิ้นสุดการทำเหมืองและถมกลับ ฟื้นฟูโดยการปลูกต้นไม้โตเร็วแล้ว
• พื้นที่ทับซ้อนปลูกต้นไม้แล้ว
ทั้งนี้ กฟผ.ได้นำแผนที่แปลงประทานบัตรมาเทียบให้ดูระหว่างพื้นที่ขุมเหมืองและสนามกอล์ฟ ซึ่งจะมีพื้นที่ของสนามกอล์ฟส่วนหนึ่งที่ทับซ้อนกับขอบขุมเหมือง แต่ได้มีการปลูกต้นไม้ในพื้นที่ดังกล่าวแล้ว โดยทางสำนักงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เขต 3 ยืนยันว่า ได้เข้ามาตรวจสอบพื้นที่ พบว่าสนามกอล์ฟไม่ได้ทับซ้อนกับพื้นที่ขุมเหมือง แต่มีพื้นที่คาบเกี่ยวกันอยู่เล็กน้อยเท่านั้น
• ผู้ฟ้องท้วงเรื่องสนามกอล์ฟไม่ชัดเจน
แต่ด้านผู้ฟ้องยังท้วงติงว่า ในส่วนนี้ทางพิพากษาพูดไว้ชัดเรื่องสนามกอล์ฟ เข้าใจว่าเป็นพื้นที่ที่ตั้งสนามกอล์ฟในปัจจุบันเป็นดินจากขุมเหมือง ต้องดูว่าประทานบัตรครอบคลุมไปถึงไหนจะเกี่ยวกับพื้นที่นำดินไปกลบด้วยหรือเปล่า ดินที่เอาไปจากขุมเหมืองอยู่ในสนามกอล์ฟหรือไม่ ทางผู้ฟ้องอยากได้คำตอบ หากพูดว่าสนามกอล์ฟไม่ได้เกี่ยวกับสนามกอล์ฟเลย แต่ศาลพิพากษาออกมาพูดถึงสนามกอล์ฟได้อย่างไร
ทางตัวแทน กฟผ.ชี้แจงต่อว่า การทำเหมืองจะมีการขุดดินไปเก็บกองไว้ด้านนอกขุมเหมือง ณ ตอนนั้นได้มีการขุดดินไปเก็บกองไว้ในพื้นที่สนามกอล์ฟในปัจจุบัน ซึ่งเมื่อก่อนได้รับอนุญาตเป็นที่ทิ้งดิน ปัจจุบันพื้นที่ตรงนั้นไม่มีใบอนุญาตที่ทิ้งดินแล้วจึงได้ฟื้นฟูปรับปรุงขึ้นมาเป็นสนามกอล์ฟ และปัจจุบันในบ่อเหมืองกำลังทำงานอยู่ยังไม่สามารถถมดินกลับได้ คาดว่าจะเริ่มมีการถมกลับบางส่วนได้ในปี 2564
นายถาวร งามกนกวรรณ ผู้ช่วยผู้ว่าการเหมืองแม่เมาะ กล่าวเสริมว่า ตอนยื่นคำให้การได้มีเอาสารและมีแผนที่ประกอบ EIA เมื่อศาลตัดสินแล้วจึงมาลงลึกในรายละเอียดอีกครั้งเพื่อตรวจสอบ จึงมีการทำแผนที่ขอบเขตประทานบัตรขึ้นมาให้เห็นชัดเจนว่าเป็นพื้นที่คนละแปลง
• เพิ่มระบบบำบัดน้ำ
ประเด็นที่ 4 ให้นำพืชที่ปลูกใน wetland ไปกำจัด และปลูกเสริมทุก 18 เดือน และต้องทำการขุดลอกเพื่อเปลี่ยนทิศทางการไหลของน้ำใน wetland กฟผ.ได้ขอแก้ไขมาตรการและได้รับความเห็นชอบจาก สผ.แล้ว เปลี่ยนเป็น สร้างระบบบำบัดน้ำโดยใช้ Anaerobic bacteria หรือโดยวิธีอื่นที่เพื่อประสิทธิภาพในการลดซัลเฟตก่อนปล่อยสู่ wetland และให้ขยายพื้นที่ wetland หรือสร้างระบบบำบัดน้ำโดยใช้ Anaerobic bacteria ให้มีความสามารถในการบำบัดให้เพียงพอสำหรับรองรับน้ำทิ้งจากบ่อเหมืองที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจากการตรวจสอบพื้นที่ได้มีการดำเนินการ wetland โดยใช้ต้นกกในการดูดซับ และมีการทดลองใช้ระบบบำบัดน้ำ Anaerobic bacteria ประกอบกันอยู่
• สเปรย์น้ำบนสายพานเป็นระยะ
ประเด็นที่ 5 ให้ทำการขนส่งเปลือกดิน โดยใช้ระบบสายพานที่มีการติดตั้งระบบสเปรย์น้ำตามแนวสายพาน กำหนดพื้นที่ Buffer Zone ระยะจุดปล่อยดินกับชุมชนระยะทางไม่น้อยกว่า 50 เมตร และควรจัดทำ Bunker ให้จุดปล่อยดินอยู่ต่ำกว่าความสูงของ Bunker ส่วนมาตรการใหม่ คือ ได้มีการวางแผนจุดปล่อยดินแล้วและเนื่องจากพื้นที่มีกระแสลมที่ปรับเปลี่ยนตลอดเวลาทั้งกระแสลมท้องถิ่น และกระแสทั่วไป ทำให้ยากต่อการกำหนดทิศทางลมจึงทำให้ยากในการกำหนดจุดปล่อยดินที่จะให้ห่างจากชุมชนแต่จะให้ห่างมากที่สุด หากไม่สามารถทำได้จะให้ทำการฉีดพ่นหน้าดินก่อนทำการขุดขนในฤดูแล้งและจะสเปรย์น้ำบนสายพานเป็นระยะให้เพียงพอใกล้จุดปล่อยดิน และการตรวจสอบสถานที่พบว่า ระบบสายพานที่การติดตั้งสเปรย์น้ำเป็นระยะ และมีสเปรย์น้ำจุดที่ปล่อยดิน ส่วนพื้นที่ Buffer Zone ได้มีการปลูกต้นสนและต้นไม้อื่นๆเป็นแนวยาวตลอด
• ตรวจสอบสิ่งแวดล้อมทุก 5 ปี
ประเด็นที่ 6 กรณีที่ศาลปกครองสูงสุดไม่ได้พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น และคงให้เป็นไปตามที่ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษา คือ ให้ กฟผ. ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เสนอไว้ในรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมฯแต่กฟผ.ได้มีการยื่นขอเปลี่ยนแปลงมาตรการใหม่ จากที่ให้จัดทำ การตรวจสอบสิ่งแวดล้อม หรือ Environmental Audit ทุก 2 ปี ในทุกผลกระทบที่เกิดขึ้น เสนอให้ สผ.ทราบ เปลี่ยนเป็นเป็นจัดทำ Environmental Audit ทุก 5 ปี แทน
• ผู้ฟ้องติงเปลี่ยนแปลงคำพากษา
นายวิโรจน์ ช่างสาร ทนายความจากสภาทนายความ ซึ่งเป็นตัวแทนผู้ฟ้องคดี กล่าวว่า จากการรับฟังรายงานการดำเนินการตามคำสั่งศาลปกครองของ กฟผ.แม่เมาะ พบว่ามีการแก้ไขมาตรการใหม่หมดทุกข้อ ทางฝ่ายผู้ฟ้องจึงขอสงวนสิทธิในการให้ความเห็นชอบทั้งหมด เนื่องจากเห็นว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาของศาล ดังนั้นจึงไม่สามารถที่จะยอมรับในเงื่อนไขดังกล่าวได้ โดยขอนำเรื่องทั้งหมดที่ผู้ถูกฟ้องเสนอไปประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณา และอาจจะร้องศาลให้เป็นผู้วินิจฉัยในเรื่องดังกล่าว
• ตัวแทนศาลเร่งรายงานผลเสนอศาลพิจารณา
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1033 วันที่ 19 - 25 มิถุนายน 2558)