วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2559

โซเชียลอลวน คนอลเวง ข้อคิดจากดีเจเก่ง


มีทั้งด้านดีและด้านร้ายสำหรับโลกโซเชียลมีเดีย แม้ว่าจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงสังคมก้มหน้า คนเลิกพูดกันด้วยปาก แต่สนทนากันด้วยนิ้ว แต่ในอีกด้านหนึ่ง โซเชียลช่วยจับเท็จคน คนโกหกได้ แต่เครื่องโกหกไม่ได้

ดังนั้นเราจึงได้เห็น ดีเจเก่ง ถูกจับเท็จโดยCCTV จากนั้นก็แพร่กระจายไปทั่วสื่อสังคมออนไลน์

เทคโนโลยีการสื่อสารถูกพัฒนาไปมากจนสามารถส่งข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวมเร็วเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส  การทำหน้าที่ของสื่อมวลชนก็เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน การแข่งขันตลาดอุตสาหกรรมข่าวทำให้ต้องส่งข้อมูลที่รวดเร็ว เหมือนอย่างกรณี ดีเจเก่ง ที่กลายเป็นคนดังในช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงที่คลิปบันทึกเหตุการณ์ถูกส่งเข้าสู่สื่อสังคมออนไลน์

นาทีนี้ คงไม่มีใครโด่งดังเท่าดีเจเก่ง จากคลิปการถอยรถกระบะชนคู่กรณีเก๋งสีแดงถึง 2 ตู้ม ชนแบบเน้นๆ ไม่ต้องคิดอะไรมากว่าท้ายรถกระบะกับหน้าเก๋งยาริสว่าอะไรจะแข็งกว่ากัน

ส่งต่อกันเป็นทอดๆ 4 คลิป บันทึกเหตุการณ์ขณะถอยรถชน บทสนทนาที่มีพี่วินมอเตอร์ไซด์มาห้ามศึก รวมไปถึงช๊อตเด็ดที่ดีเจคนดังพูดในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เหตุการณ์นี้ดังในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง

นับจากนาทีที่คลิปถูกส่งผ่านไลน์แอปฟลิเคชัน อัพโหลดขึ้นเฟสบุ๊ค การกระหน่ำแชร์และวิพากษ์วิจารณ์กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกันอย่างรวมเร็วปานสายฟ้าแลบบนท้องฟ้า หากแต่ต่างกันที่ฟ้าแลบนั่นหายไปในเวลาไม่กี่วินาที แต่กรณีของดีเจเก่ง ดูเหมือนว่าจะสร้างบทเรียนให้กับเจ้าตัว และสร้างข้อคิดและสะท้อนให้เห็นถึงสังคมปัจจุบันได้หลายอย่าง

เรื่องแรก เป็นเรื่องที่เราเห็นได้บ่อยๆจากสื่อสังคมออนไลน์เรื่องความไม่พอใจในการใช้รถใช้ถนน ที่หลายครั้งเกิดจากการที่ไม่รักษากฎจราจร ขับขี่ปาดหน้ากันไปมา แซงในจุดคับขัน และหลายครั้งที่ลงเอยด้วยการใช้กำลังชกต่อยกันจนไปจบที่โรงพักก็มีให้เห็นกันบ่อยไป แต่ในกรณีของดีเจคนนี้จะมากกว่าเหตุการณ์ที่สังคมออนไลน์ส่งคลิปต่อไปกันไปตรงที่ เจตนาในการถอยรถชน ถึงแม้ว่าทั้งสองฝ่ายเองก็ผิดทั้งคู่ เพราะก่อนที่เหตุการณ์จะลงเอยด้วยการถอยกะบะชนนั้นฝ่ายเจ้าของรถสีแดงก็ยอมรับว่ามีอารมณ์โมโหอันเนื่องจากการเบียดเข้าเลนแล้วอีกฝ่ายไม่ให้เข้าช่องทางจราจร  ว่าง่ายๆ เพราะขับรถแบบไม่มีน้ำใจบนท้องถนน ไม่อะลุ่มอล่วยกัน ผลที่ได้ก็อย่างที่เป็นข่าว

เรื่องที่สอง การอยู่ร่วมกันในสังคม จำเป็นที่จะต้องควบคุมสติให้ได้ นี่อาจเป็นบทเรียนสอนใจใครหลายๆคนว่าถึงจะโมโหโกรธาขนาดไหน ก็ต้องไม่ขาดสติ เพราะกรณีนี้ดีเจคนดังควบคุมสติไม่ได้จึงถอยรถชนถึงสองครั้ง ผลที่ตามมานั้นทำให้เดือดร้อนถึงหน้าที่การงาน เพราะทุกวันนี้ข้อมูลส่วนหนึ่งอยู่ในโลกออนไลน์ เคยไปทำอะไรไว้ที่ไหนย่อมตามหาได้ไม่ยาก เรื่องเก่าๆที่เคยทำมาได้ถูกนำมาเปิดเผย ใส่สีและพาดพิงไปยังบุคคลที่สามที่ไม่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น พ่อแม่หรือลูกของดีเจคนดังต่างก็ได้รับผลกระทบไปตามๆกัน  จนในที่สุดดีเจต้องแถลงขอโทษทั้งน้ำตา และเอ่ยว่ากระทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

เรื่องที่สาม เราได้เห็นความคืบหน้าของการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจจากเริ่มต้นที่เรื่องราวยังไม่ใหญ่โต สังคมยังไม่วิพากษ์หนักจนเป็นข่าวหน้าหนึ่งของสื่อทุกสำนัก จน เจ้าหน้าที่ต้องเร่งดำเนินการ เพราะ พล.ต.ต.ศานิตย์ มหถาวร รรท.ผบช.น. ลงไปสอบปากคำด้วยตัวเอง เพราะบอกกับสื่อว่าจะดำเนินการเรื่องนี้ให้ถึงที่สุดเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง งานนี้ได้รับเสียงปรบมือจากประชาชนไปดังๆ แต่ส่วนหนึ่งก็ติงว่าอยากให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการกับคดีอื่นๆรวดเร็วอย่างนี้บ้าง

เรื่องสุดท้าย สมกับเป็นยุคนักเลงคีย์บอร์ด ยุคที่คิดต่างคือแตกแยก เพราะในเฟสบุ๊คเพจต่างๆมีการแชร์ข้อความ สร้างเฟสบุ๊คปลอมโดยอ้างว่าเป็นของดีเจคนดังกล่าว แต่นำข้อมูลที่เจ้าตัวไม่ได้รู้เรื่องมาใส่ขึ้น และก็มีชาวเฟสบุ๊คทั่วทุกสารทิศมารุ่มด่าว่านับหมื่นความคิดเห็น เกิดการฟ้องร้องแจ้งความกันให้วุ่นวาย แล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจจะรับมือกับคดีไซเบอร์ไหวหรือไม่ เรื่องนี้ผู้ร้องทุกข์คงต้องติดตามไปอีกนาน

ในขณะที่ชาวเนตก็คงจะหาเรื่องอื่นบันเทิงเริงรมย์กันต่อไป


(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์  ฉบับที่ 1062 วันที่ 15 - 21 มกราคม 2559)
Share:

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์