วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2559

เฮดสปีช หวังดี ประสงค์ร้าย


อาจเรียกว่าเป็นความก้าวหน้าของการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ล่าสุด ชุดนายมีชัย ฤชุพันธ์ ที่บรรจุถ้อยคำ ความแตกแยกหรือความเกลียดชัง นัยหนึ่งคือ “วาทกรรมแห่งความเกลียดชัง” หรือ Hate Speech เป็นข้อจำกัดการใช้เสรีภาพ อีกข้อหนึ่ง นอกจากที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ รวมทั้งฉบับร่างของนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ  ที่ได้ตัดออกไปในที่สุด

ความในร่างมาตรา 34 ของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เขียนไว้ว่า

“บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน  การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น และมีเสรีภาพทางวิชาการ การจำกัดเสรีภาพจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ เพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เพื่อป้องกันสุขภาพของประชาชน หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความแตกแยกหรือเกลียดชังในสังคม”

รัฐธรรมนูญเดิม จำกัดเสรีภาพในเรื่อง ความมั่นคงของรัฐ สิทธิ เสรีภาพ เกียรติยศ ชื่อเสียง สิทธิในครอบครัว หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ป้องกันหรือระงับความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชน

ในข้อจำกัดเดิมนั้น คำว่าความมั่นคงของรัฐถูกตีความได้อย่างกว้างขวางมาก เฉพาะที่เป็นปัญหาถกเถียงกันและนำไปสู่คดีความที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายจำนวนไม่น้อย คือความผิดต่อความมั่นคง ความผิดต่อสถาบัน  ซึ่งผูกโยงไปถึงความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

ดังนั้น เราจึงพบคดีความผิดฐานหมิ่นสถาบัน ในคดีหมิ่นประมาท และความผิดว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เป็นคดีความที่หลายครั้งถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เพราะมีการตีความว่า ความผิดต่อสถาบันเป็นความผิดในเรื่องความมั่นคงด้วย ทั้งที่กฎหมายคอมพิวเตอร์ไม่ได้บัญญัติไว้แม้สักถ้อยคำหนึ่ง

และหากพิจารณาเฉพาะกฎหมายอาญาว่าด้วยหมิ่นประมาท ก็ถูกทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องเดียวกับการหมิ่นประมาทตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งกฎหมายคอมพิวเตอร์บัญญัติไว้เฉพาะการหมิ่นประมาทด้วยภาพเท่านั้น หรือการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ ซึ่งมีหลักในการวินิจฉัยต่างกับคดีหมิ่นประมาททั่วไป อย่างไรก็ตามหากมีการฟ้องหมิ่นประมาททั้งกฎหมายอาญา และกฎหมายคอมพิวเตอร์ นั่นหมายถึงผู้ถูกฟ้อง จะต้องรับโทษหนักขึ้น และถือเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ยอมความไม่ได้

ข้อสังเกตเรื่องความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง เมื่อเทียบกับคำว่า “วาทกรรมแห่งความเกลียดชัง” ก็คือการเปิดช่องทางให้มีการตีความอย่างกว้างขวาง ซึ่งโดยความหมายของวาทกรรมแห่งความเกลียดชังนั้น ไม่อาจเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรได้ เนื่องจากยังมีความเข้าใจไม่ตรงกัน และวันข้างหน้าก็อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือของคู่ขัดแย้งทางการเมืองได้ เช่นเดียวกับความผิดบางฐานที่กลายเป็นคดีความ ฟ้องกันไปฟ้องกันมาไม่รู้จบ

ในทัศนะของผมที่เคยได้ตอบงานวิจัยของ ผศ.ดร.พิรงรอง รามสูต รณะนันท์ เห็นว่า การจัดการกับเฮดสปีชไม่อาจใช้กฎหมายมาเป็นหลักในการวินิจฉัยได้

เพราะจากสรุปความหมาย คำว่าความเกลียดชัง ในงานวิจัย   เขาอธิบายว่า คือการใช้คำพูดหรือการแสดงออกทางความหมายใดๆ ที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อโจมตีกลุ่มบุคคลหรือปัจเจกบุคคล โดยมุ่งไปที่ ฐานของอัตลักษณ์ซึ่งอาจจะติดตัวมาแต่ดั้งเดิม หรือเกิดขึ้นภายหลังก็ได้ เช่น เชื้อชาติ ศาสนา สีผิว สถานที่เกิด/ที่อยู่อาศัย อุดมการณ์ทางการเมือง อาชีพ หรือลักษณะอื่นที่สามารถทำให้ถูกแบ่งแยกได้ การแสดงความเกลียดชังที่ปรากฏอาจเป็นการเหยียดหยามศักดิ์ศรี หรือลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ หรือยุยงส่งเสริมให้เกิดความเกลียดชัง ตลอดจนการส่งเสริมให้เกิดความรุนแรงด้วยก็ได้

ความหมายของเฮดสปีชแตกต่างจากการหมิ่นประมาทด้วยถ้อยคำ ในประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง แปลว่าการหมิ่นประมาทนั้น  ผลหรือความรู้สึกว่าถูกหมิ่นประมาทจะเกิดขึ้นทันที และก่อให้เกิดสิทธิในการฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งหมิ่นประมาท และละเมิด อันเป็นจุดเริ่มต้นในการนับอายุความฟ้องร้องคดี

แต่เฮดสปีช ไม่สามารถบอกได้ในขณะนั้นว่า เป็นวาทกรรมที่สร้างความเกลียดชัง จนกระทั่งนำไปสู่ความรุนแรง หรือลุกขึ้นมาเข่นฆ่ากันหรือไม่ เช่น การเปิดสถานีวิทยุยานเกราะก่อนยุค ตุลา ให้ประชาชนฝ่ายที่ต่อต้านนักศึกษา มาออกอากาศ พูดว่า ผู้ที่อยู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นแกว เป็นญวน ไม่ใช่คนไทย หรือในธรรมศาสตร์เป็นที่ซ่องสุมอาวุธและกำลัง มีอุโมงค์ลับที่เชื่อมออกไปยังแม่น้ำเจ้าพระยา

จนกระทั่งในที่สุด ทำให้กลุ่มชนจำนวนหนึ่งลุกฮือเข้าไปล้อมปราบนักศึกษา เข่นฆ่า ทารุณกรรมด้วยวิธีต่างๆทั้งที่เป็นคนเผ่าพันธ์เดียวกัน ซึ่งคนที่มีความเป็นมนุษย์จะไมมีวันทำเช่นนี้

ฉะนั้น หากจะนิยามให้ใกล้ความจริงมากที่สุด ก็ต้องบอกว่า เฮดสปีช คือวาทกรรมที่สร้างและสั่งสมความเกลียดชัง จนกระทั่งนำไปสู่ความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ

และคงต้องทบทวนกันอย่างละเอียดรอบด้าน แม้จะเห็นว่าเฮดสปีชคือความเลวร้ายชนิดใหม่ของสังคมไทย แต่ก็ไม่ควรให้เฮดสปีช กลายเป็นเครื่องมือในการบิดเบือนและทำร้ายคนอีกฝ่ายหนึ่งอย่างไม่ชอบธรรม

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์  ฉบับที่ 1062 วันที่ 15 - 21 มกราคม 2559)
Share:

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์