
กระแสปล่อยปลาซักเกอร์ โดยเอามาตั้งชื่อใหม่ว่า “ปลาดำราหู” กำลังมาแรง
ปลาซักเกอร์หรือปลากดเกราะเป็นปลาน้ำจืดในทวีปอเมริกาใต้
มีขนาดใหญ่ที่สุดประมาณ 50 เซนติเมตร
กินอาหารไม่เลือกโดยใช้วิธีดูดราวปี พ.ศ. 2520 คนไทยนำปลาซักเกอร์เข้ามาเลี้ยงเพื่อทำความสะอาดตู้ปลา
ให้มันทำหน้าที่ดูดตะไคร่ ดูดขี้ปลาในตู้บ้าง แต่ไป ๆ มา ๆ เมื่อเจ้าปลาชนิดนี้เริ่มตัวใหญ่ขึ้นเรื่อย
ๆ เขาเหล่านั้นต่างพบว่ารูปร่างของมันช่างน่าเกลียดน่ากลัว แถมกินเท่าไรก็ไม่พอ
และเริ่มหันมาแย่งอาหารปลาอื่น จนในที่สุดก็ไล่ดูดปลาในตู้จนเกลี้ยง คนเลี้ยงปลาผู้มักง่ายหลายคนทนไม่ไหว
จึงเอามันไปปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติโดยไม่ได้เฉลียวใจเลยว่า
นี่คือจุดเริ่มต้นของหายนะ
ดร. ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ออกมาให้ข้อมูลในเรื่องนี้ว่า ปลาซักเกอร์จัดเป็นหนึ่งในเอเลียน สปีชีส์ (Alien
Species)คือสัตว์ต่างถิ่นที่ถูกมนุษย์นำเข้ามาในพื้นที่
ซึ่งไม่ใช่ธรรมชาติดั้งเดิม เอเลี่ยนที่มาจากท้องถิ่นแห่งหนึ่ง
มาอยู่ในพื้นที่ที่ไม่เคยมีสัตว์ชนิดนั้นมาก่อน
ทำให้ผู้ล่าในท้องถิ่นไม่สามารถล่าได้
เนื่องจากไม่เคยวิวัฒนาการมาเพื่อกินเหยื่อชนิดนั้น
เมื่อไม่มีผู้ล่าตามธรรมชาติ
อีกทั้งแหล่งน้ำเมืองไทยมีอาหารอุดมสมบูรณ์
เหล่าปลาซักเกอร์จึงเติบโตและแพร่พันธุ์อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังเป็นปลาอึด
อยู่ได้ทุกสภาพน้ำ มันจึงแพร่กระจายไปทั่วจนเริ่มเป็นฝันร้ายของสัตว์น้ำท้องถิ่น
ไม่เพียงแค่แย่งอาหารปลาอื่น ๆ แต่ยังไล่ดูดไข่และลูกปลาเล็ก ๆ
ของปลาท้องถิ่นอย่างปลากระดี่ ปลาดุก ปลาช่อน ปลาสวาย ฯลฯ แหล่งน้ำบางแหล่งมีปลาซักเกอร์ถึง
70
เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ปลาท้องถิ่นมีเพียง 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ปลาซักเกอร์ที่ระบาดในประเทศไทยมี 2 สกุล คือ Common Sucker และ Sailfin Catfishโดยระบาดในแหล่งน้ำธรรมชาติทั่วทุกภาคของประเทศไทยนักวิชาการพูดถึงผลกระทบของปลาซักเกอร์ต่อระบบนิเวศมากว่า
20 ปีแล้ว กรมประมงเองก็หาทางกำจัดปลาชนิดนี้มานาน แต่ก็ยังไม่พบวิธีที่เหมาะสม
เพราะไม่สามารถใช้สารเคมี หรือหาผู้ล่าปลาซักเกอร์ได้
ทำได้แต่เพียงรณรงค์ไม่ให้เลี้ยง ไม่ให้ปล่อยลงแหล่งน้ำธรรมชาติ แนะนำให้เอาไปทำปุ๋ยน้ำชีวภาพ
หรืออาหารสัตว์ แม้กระทั่งเชิญชวนให้จับมันมากิน !
อันที่จริงปลาซักเกอร์นั้น กินได้ แต่ไม่เป็นที่นิยม
เพราะรูปร่างหน้าตาของมันไม่น่ากินเอาเสียเลย แม้จะนำเสนอเมนูต่าง ๆ เช่น ลาบ
ต้มทำน้ำยา เผายำปลาซักเกอร์ฟู
หรือแม้แต่เมนูสุดสร้างสรรค์อย่างซักเกอร์เบอร์เกอร์ ทั้งนี้ นักกินสายแข็งหลายคนยืนยันว่า
หากถอดเกราะของพวกมันออกมาแล้ว ก็จะพบเนื้อปลาสีขาวจั๊วะ เนื้อหนึบ ๆ
คล้ายเนื้อปลาช่อน บ้างก็ว่าคล้ายเนื้อไก่ทว่าคนส่วนใหญ่ก็ยังเมิน
เพราะไม่สามารถก้าวข้ามความน่าเกลียดน่ากลัวของมันไปได้ การรณรงค์จึงต้องเน้นไปที่การไม่เลี้ยง
ไม่ปล่อย เสียมากกว่า
แต่แล้วเหล่านักวิชาการก็ต้องกุมขมับ ด้วยความที่มันเพาะเลี้ยงง่าย
แถมอึดถึกทนทาน จึงมีคนนำมาขายเป็น “ปลาดำราหู” เพื่อให้คนไม่รู้ปล่อยลงแหล่งน้ำหวังเป็นการสะเดาะเคราะห์
แต่หารู้ไม่ว่านั่นล่ะบาปหนัก เพราะไม่รู้ว่าปลาท้องถิ่นอีกมากมายเท่าไร
ที่จะต้องสังเวยให้ความตะกละตะกรามของปลาซักเกอร์
แม่น้ำวังบ้านเราปลาซักเกอร์ก็มีน้อยเสียเมื่อไร
บรรดาคนที่วางอวนทิ้งไว้ต่างก็พบปลาหน้าตาประหลาดมาติดเสมอ พวกเขาส่วนใหญ่ไม่กิน
แต่โยนทิ้งไปอย่างไร้เยื่อใย แน่ละ ยังมีปลาหน้าตาน่ากินกว่านี้อีก
ลองนึกภาพปลาซักเกอร์พอกเกลือเผาเคียงคู่กับปลาทับทิม ปลานิล วางขายในตลาด
จะมีใครกล้าซื้อกินไหมหนอ
ที่แน่ ๆ อย่าซื้อเลย ปลาดำราหู ปลาราหูอะไรนั่น
แม่น้ำวังประสบชะตากรรมน่าเป็นห่วงพอแล้วจากบรรดาผักตบชวา ซึ่งก็คือเอเลียน
สปีชีส์ เช่นกัน ไม่เช่นนั้น สัตว์น้ำของเราจะไม่เหลือหรอ แม่น้ำของเราจะว่างเปล่า
ว่าแล้วก็ลองหันไปครีเอตเมนูเด็ดจากปลาซักเกอร์กันหน่อยเป็นไร
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1087 วันที่ 15 - 21 กรกฎาคม 2559)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น