ชาวบ้านแหง อ.งาว ยังตึงเครียด คุมเข้มคนเข้าออกแบ่งเวรยามเฝ้าระวัง ห่วง บ.เขียวเหลืองลักลอบเข้าพื้นที่ แม้ยื่นขอหยุดทำเหมืองแล้ว เผยการฟ้องร้องไม่คืบหน้า อยู่ระหว่างชั้นศาลปกครองรอพิจารณา
นับจากปี
51ที่บริษัทเขียวเหลือง จำกัด ได้กว้านซื้อและรวบรวมที่ดินจากชาวบ้านบ้านแหงเหนือ
หมู่ 1 และหมู่ 7 อ.งาว จ.ลำปาง โดยบอกกับชาวบ้านว่าจะปลูกต้นกระดาษยูคาลิปตัส
แต่ในปี 2553
บริษัทเขียวเหลือง จำกัด
ได้ยื่นขออนุญาตประทานบัตรทำเหมืองแร่ลิกไนต์ จำนวน 5 แปลง รวมพื้นที่ประมาณ 1,500 ไร่ ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่รวมตัวกันเคลื่อนไหวและคัดค้านการทำเหมืองแร่
แต่เมื่อประมาณเดือนสิงหาคม 58 บริษัทเขียวเหลืองได้ใบประทานบัตรแล้ว 1
แปลง พื้นที่ 291 ไร่ 2
งาน 84 ตารางวา ซึ่งขณะนี้ทางบริษัทได้ยื่นขอหยุดการทำเหมืองไปยังทางกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
(กพร.) เนื่องจากไม่สามารถเปิดหน้าเหมืองได้ภายใน
1 ปีตามข้อกำหนดในประทานบัตรนั้น
ลานนาโพสต์ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบความเป็นอยู่ของชาวบ้านแหง
พบว่า ในส่วนของที่พักอาศัยของชาวบ้านนั้น บ้านเรือนส่วนมากมีลักษณะเป็นบ้านไม้
ยกใต้ถุนสูง อยู่ติดๆ กัน เมื่อเดินทางลึกเข้าไปจะพบพื้นที่สำหรับทำการเกษตร
ซึ่งอยู่ติดกับพื้นที่ป่า ชาวบ้านที่บ้านแหงจะประกอบอาชีพเกษตรกรเป็นหลัก
มีการปลูกพืชผักหลายชนิด เช่น ข้าว กระเทียม ข้าวโพด ถั่วลิสง หมุนเวียนกันไป
ชาวบ้านในพื้นที่ระบุว่า
แม้ในขณะนี้บริษัทเขียวเหลืองได้ยื่นขอหยุดการทำเหมืองแร่ลิกไนต์ไปแล้ว ในวันที่ 10 ส.ค. 59 แต่ชาวบ้านแหงก็ยังคงตกอยู่ในความกังวลและตึงเครียด
มีการแบ่งเวรยามเฝ้าระวัง และมีการตรวจตราที่ค่อนข้างรัดกุม การที่บริษัทเขียวเหลืองยื่นขอหยุดการทำเหมือง
มีสาเหตุมาจากทางบริษัทไม่สามารถดำเนินการเปิดหน้าเหมืองทันได้ภายในเวลาที่กำหนด
เนื่องด้วยหลายๆ ปัจจัย เช่น ความขัดแย้งกับชุมชน ที่ดิน ส.ป.ก. ที่ดินป่าสงวน จึงจำเป็นต้องหยุดไว้ก่อน
ไม่เช่นนั้นจะโดนยึดใบอนุญาตประทานบัตร ทั้งนี้สิ่งที่ชาวบ้านกังวลคือทางบริษัทจะไปยื่นขอสำนักงานอุตสาหกรรมลำปางดำเนินการต่อเมื่อไรก็ได้
นางสาวชุทิมา
ชื่นหัวใจ สมาชิกกลุ่มรักษ์บ้านแหง กล่าวว่า หลังจากที่บริษัทเข้ามาประกาศทำเหมือง
มีการทำประชาคมที่บิดเบือน อีกทั้งยังพยายามแฝงตัวเข้ามาในหลายๆ รูปแบบ โดย 6 ปีที่ผ่านมาชาวบ้านไม่ได้รับความจริงใจจากบริษัทเลย
ส่งผลให้ชาวบ้านต้องอยู่กันอย่างหวาดระแวงคนภายนอก จึงมีการตั้งเวรยามกันขึ้นตามจุดต่างๆ
รอบพื้นที่ 5 จุด เพื่อป้องกันคนจากบริษัทที่อาจแฝงตัวเข้ามา
และหากมีธุระที่ต้องการเข้ามาในพื้นที่
ต้องติดต่อกับผู้นำชุมชนเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนประมาณ 3-7 วัน
“บริษัทเคยส่งคนมาทำทีว่าเป็นเซลล์ขายของ
ไปตามบ้าน ติดเครื่องวัดคุณภาพอากาศ แล้วผลการวัดดันไปอยู่ใน EIA เราก็เลยระแวงไปหมดเลย
จึงต้องมีการตรวจสอบคนที่จะเข้ามา ว่าจะไปไหน และทำอะไร บางทีกระทบกระทั่งกัน
แต่ก็ต้องทำเพราะเราโดนมาเยอะ” นางสาวชุทิมา กล่าว
นางสาวชุทิมา
กล่าวเพิ่มเติมว่า การเข้ามาของบริษัทเขียวเหลืองส่งผลกระทบต่อชาวบ้าน
โดยก่อนบริษัทเข้ามาชาวบ้านประกอบอาชีพเกษตรกรเป็นหลัก
มีการปลูกพืชหมุนเวียนตลอดปี หรืออาจทำงานรับจ้าง
แต่หลังจากมีการตั้งเวรยามทำให้ชาวบ้านต้องขาดรายได้ไป
เนื่องจากเวรยามเป็นแบบจิตอาสาไม่มีรายได้
นอกจากนี้ยังส่งผลต่อสุขภาพจิตของคนในชุมชน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ จะกังวลและหวาดกลัวการเข้ามาของเหมือง
ส่งผลให้โรคประจำตัวกำเริบ
นางสาววรรณา
ลาวัลย์ สมาชิกกลุ่มรักษ์บ้านแหง ให้สัมภาษณ์ว่า ที่ผ่านมาทางกลุ่มรักษ์บ้านแหงได้มีการฟ้องร้องหน่วยงานต่างๆ
ที่ศาลปกครองจังหวัดเชียงใหม่ โดยเมื่อวันที่ 9 ม.ค. 56 ฟ้องอธิบดี กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ขอให้ศาลพิจารณาเพิกถอนรายงานใบอนุญาตรายงานใบไต่สวนประกอบคำขอประทานบัตรของบริษัทเขียวเหลือง
วันที่ 7 พ.ย. 57
ฟ้องอธิบดีกรมป่าไม้และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ในกรณีให้เพิกถอนใบอนุญาตใช้พื้นที่ป่าสงวน
และยื่นฟ้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อขอให้เพิกถอนใบอนุญาตประทานบัตรและรายงานใบไต่สวน ในวันที่ 22 ต.ค. 58 โดยทุกคดียังคงอยู่ในชั้นศาลปกครอง
และไม่มีคำสั่งศาลออกมา
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1106 วันที่ 25 พฤศจิกายน - 1 ธันวาคม 2559)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น