ราวต้นเดือนกรกฏาคม 2557 เว็บไซต์ของศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง หรือ TCIJ ได้ตีพิมพ์บทความชิ้นหนึ่งอ้างว่า ได้รับข้อมูลจำนวนมากจากแหล่งข่าวที่ไม่สามารถเปิดเผยนาม ซึ่งน่าเชื่อได้ว่าเป็นข้อมูลภายในจริง บันทึกโดยผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานประชาสัมพันธ์ของบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับประเทศแห่งหนึ่งของไทย
ต่อมาได้รับการเปิดเผยว่าเป็นบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด
หรือซีพีเอฟ
TCIJ พบว่า
ข้อมูลภายในทั้งหมดมีเนื้อหาเกี่ยวกับรายงานการทำงานในหน้าที่ การแก้ข่าว
การติดตามลบกระทู้เชิงลบในเว็บพันทิป / เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์และอื่นๆ
มีรายชื่อนักข่าวและตัวเลขการจ่ายเงินสื่อมวลชน 19 ราย
ตลอดจนความเห็นต่อตัวนักข่าวและพูดถึงกลยุทธ์การสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดนักข่าว
TCIJ
เรียบเรียงมานำเสนอเฉพาะสาระสำคัญ โดยข้อมูลจริงที่ใช้อ้างอิงนี้
ใช้วิธีการ copy และ paste จากไฟล์ต้นฉบับ คงไว้ซึ่งแบบตัวอักษรและข้อความเดิมทุกประการ
ในขณะที่นางพรรณินี นันทพานิช รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ
ปฏิเสธทุกสิ่งอย่างสิ้นเชิง
“เราขอยืนยันว่าเราไม่เคยใช้เงินเพื่อซื้อสื่อในการปิดข่าวหรือบิดเบือนเนื้อหาข่าวไม่ให้เป็นความจริง”
ประเด็นข้อกล่าวหาที่ว่า มีการจ่ายเงินสื่อมวลชน 19 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสื่อมวลชนอาวุโส
นับเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่สามารถเพิกเฉยได้เลย
เพราะหากทิ้งข้อกล่าวหานี้ไว้เป็นความเคลือบแคลงสงสัย
ผลกระทบจะมิได้เกิดเฉพาะสื่อมวลชนที่ถูกกล่าวหาแต่หมายถึงความศรัทธาเชื่อถือในสื่อทั้งระบบด้วย
ในฐานะที่เป็นผู้นำองค์กรวิชาชีพสื่อ
ที่มีภารกิจในการกำกับควบคุมเรื่องจริยธรรมสื่อเป็นด้านหลักในขณะนั้น
ผมได้ตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาชุดหนึ่ง มีนายกล้าณรงค์ จันทึก เป็นประธาน
ต่อมาเปลี่ยนเป็นนายสัก กอแสงเรือง เพื่อพิจารณาสอบสวนเรื่องนี้
และให้ความเป็นอิสระแก่คณะกรรมการในการสอบสวนอย่างเต็มที่
โดยที่ประธานและคณะกรรมการสภา นสพ.ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว แทรกแซงในทุกกรณี
คณะกรรมการอิสระ เปลี่ยนเป็นคณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่อง
แต่ยังคงตัวบุคคลซึ่งเป็นบุคคลภายนอกทั้งสิ้น
พวกเขาใช้เวลาราว 2 ปี สอบสวนพยานบุคคล พยานเอกสาร
และวิเคราะห์เนื้อหาโดยนักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน
ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า มีการจ่ายเงินกันจริง แต่เป็นการจ่ายเป็นค่าโฆษณา
และไม่ปรากฏหลักฐานที่ชี้ชัดถึงความผิดฐานละเมิดจริยธรรมของผู้ถูกกล่าวหา
คณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ
พิจารณารายงานของอนุกรรมการเฉพาะเรื่องแล้ว เห็นว่าไม่มีหลักฐานชัดเจนเพียงพอที่จะชี้ความผิดผู้ถูกกล่าวหา
มีมติยุติเรื่อง และให้มีการจัดสัมมนารู้เท่าทันกลยุทธ์ประชาสัมพันธ์
ผมมีความเห็นแย้งคำวินิจฉัยที่ 1/2559
ของสภาการนสพ.แห่งชาติ กรณีข้อกล่าวหาสื่อมวลชนรับเงินบริษัทเอกชน ในฐานะประชาชนผู้บริโภคข่าวสารคนหนึ่ง
ด้วยความเคารพในคำวินิจฉัยของคณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ
และด้วยความเห็นว่าคณะกรรมการได้วินิจฉัยตามรายงานผลการพิจารณาของคณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่อง
ด้วยความระมัดระวังเท่าที่ปรากฏพยานหลักฐาน
ประกอบกับการวิเคราะห์ข้อมูลของนักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนแล้ว ถึงกระนั้นก็ควรพิจารณาคำวินิจฉัยบางประเด็น
ที่ยังไม่สิ้นกระแสความและอาจจะยังคงมีความเคลือบแคลงสงสัยในบทบาทขององค์กรวิชาชีพสื่อ
อันควรจะเป็นสถาบันหลักของสังคมนี้ที่เชื่อถือและวางใจได้
1. คณะกรรมการไม่ยืนยันความถูกต้องของข้อมูล
ซึ่งอยู่ในรูปแบบดิจิทัลไฟล์ จึงไม่สามารถนำมาใช้อ้างอิงหรือวิเคราะห์เป็นพยานหลักฐาน
ในข้อกล่าวหาสำคัญ คือมีการรับเงินหรือไม่ แต่ในรายงานของคณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่อง
ปรากฏข้อเท็จจริง จากผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนที่มาให้ปากคำว่า มีการจ่ายเงินจริง
แต่เป็นการกระทำในลักษณะของสัญญาซื้อขายโฆษณา
ไม่ใช่การจ่ายเงินเป็นรายเดือนตามข้อกล่าวหา
ดังนั้นสัญญาโฆษณาจึงเป็นการกระทำระหว่างผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนเฉพาะราย
กับบริษัทเอกชน
มิใช่การทำสัญญาโฆษณาระหว่างฝ่ายโฆษณากับบริษัทเอกชนตามวิธีปฏิบัติปกติทั่วไป
2. คณะกรรมการเห็นว่า แม้ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนระดับบริหารจะเดินทางไปพบกับผู้บริหารของบริษัทเอกชนต่างๆ
เพื่ออธิบายถึงผลิตภัณฑ์
หรือบริการที่จะเป็นช่องทางให้บริษัทเอกชนใช้เป็นช่องทางในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์
แต่ก็ได้มีการแยกแยะชัดเจนระหว่างหน้าที่ของกองบรรณาธิการกับฝ่ายโฆษณา
ประเด็นนี้อาจยังเป็นข้อถกเถียงในเชิงธุรกิจว่า
เป็นหน้าที่ของผู้บริหารกองบรรณาธิการหรือไม่ที่ต้องไปช่วยหาโฆษณา
แต่ในประเด็นเชิงหลักการ
ควรมีเส้นแบ่งที่ชัดเจนในหน้าที่ของกองบรรณาธิการกับฝ่ายโฆษณาหรือไม่
เพราะการใช้ความเป็นผู้บริหารที่อาจมีชื่อเสียง และผู้คนเกรงใจ ก็อาจเป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงในการใช้อภิสิทธิ์ของความเป็นสื่อมวลชน
เพื่อให้ได้มาซึ่งเงินหรือผลประโยชน์ที่ไม่สุจริต ตรงไปตรงมา
สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติมิใช่ศาล
ที่จะตัดสินความถูกผิดของใคร โดยอาศัยพยานหลักฐานชัดเจน เคร่งครัด เช่นเดียวกับศาล
ผู้ที่ถูกกล่าวหาไม่ว่าจะเป็นบริษัทเอกชน หรือผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน
ก็มิใช่จำเลย ที่จะต้องเอาเป็นเอาตายกัน สำหรับผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน
ข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพหนังสือพิมพ์ ของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ
ข้อ 20 ตราไว้ว่า “ผู้ประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์
ต้องไม่ประพฤติปฏิบัติการใดๆ อันจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ”
นั่นหมายถึงว่า
ความถูกผิดในด้านจริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน
ไม่ได้อยู่ที่ใบเสร็จหรือพยานหลักฐานใดๆ หากอยู่ที่ “จิตสำนึก” หากสำนึกได้ว่าการกระทำนั้นๆนำมาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ
เท่านี้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1106 วันที่ 25 พฤศจิกายน - 1 ธันวาคม 2559)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น