สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ปักธงวาระปฏิรูป ในการกำกับดูแลสื่อไว้
โดยมุ่งเน้นการสร้างกลไกการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ ทั้งภาควิชาชีพ ภาครัฐ
และภาคประชาชน โดยการจัดตั้งสภาวิชาชีพสื่อมวลชน
และกำหนดให้องค์กรวิชาชีพต้องเป็นสมาชิก
การจัดตั้งองค์กรภาคประชาชน เพื่อการมีส่วนร่วมกำกับ ดูแล
และส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อ
รวมถึงการปรับปรุงองค์กรกำกับดูแลภาครัฐในเชิงโครงสร้าง วิธีการทำงาน
และการใช้อำนาจเพื่อประโยชน์สาธารณะ การสร้างกลไกประสานสัมพันธ์ระหว่าง 3 ภาคส่วน
เพื่อให้สามารถรองรับการกำกับดูแลการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์สื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วาระปฏิรูปที่นำไปสู่การจัดตั้งสภาวิชาชีพสื่อมวลชนของ สปช.
ซึ่งโดยเนื้อหายังให้องค์กรวิชาชีพกำกับดูแลกันเอง ภายใต้หลัก “ส่งเสริมและสนับสนุน”
กลายเป็น “ควบคุมบังคับ” เมื่อมาถึงมือของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ
(สปท.)
ร่าง
พ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน
พ.ศ....ของ สปท.กำหนดให้มีการจัดตั้ง “สภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ”
ซึ่งมีเนื้อหาขัดแย้งกับหลักการพื้นฐานในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน
และสื่อมวลชน ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ
อีกทั้งมีผลกระทบต่อความเป็นอิสระในการทำงานของสื่อมวลชนทุกแขนง โดยสรุปจากคำถาม –
คำตอบ 7
ข้อดังนี้
1.การมีขึ้นของสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ
จะมีผลกระทบโดยรวมต่อผู้ประกอบวิชาชีพอย่างไร ?
ผู้ประกอบวิชาชีพ จะต้องสังกัดสภาวิชาชีพ เช่น สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ
สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย หรือสภาวิชาชีพอื่นๆที่จะจัดตั้งขึ้นในอนาคต
ทั้งหมดนี้ต้องขึ้นทะเบียนต่อสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติภายใน1 ปี เท่ากับบังคับให้สื่อต้องเป็นสมาชิกสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติหรือสภาใหญ่นี้โดยปริยาย
2.คณะกรรมการสภาใหญ่เป็นใคร
มาจากไหน?
มาจากการเลือกกันเอง จำนวน13 คน ประกอบด้วยผู้แทนสมาชิกสภาวิชาชีพ จำนวนห้าคน ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง
และกรรมการอื่นอีกจำนวนสี่คน
การมีข้าราชการในตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายข้าราชการประจำ
ซึ่งปกติก็ขึ้นอยู่กับนักการเมืองผู้มีอำนาจ อยู่ถึงสี่คน
จะเปิดช่องทางให้มีการแทรกแซงจากรัฐได้ และโดยปกติสภาวิชาชีพทั่วไป
ก็จะมีกรรมการที่มาจากวิชาชีพนั้น ไม่ปรากฏว่ามีตัวแทนภาครัฐ
3.อำนาจคณะกรรมการ
ลิดรอนเสรีภาพสื่อ?
อำนาจหน้าที่สำคัญของคณะกรรมการ มีหลายประการ แต่ที่เป็นประเด็นโต้แย้ง คือ
อำนาจในการรับขึ้นทะเบียนและออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน
ซึ่งเท่ากับ การทำงานของสื่อมวลชนไม่จำแนกประเภท จะต้องมีใบอนุญาตและอาจถูกเพิกถอนใบอนุญาต
หากเสนอข่าวไม่เป็นที่พึงพอใจของผู้มีอำนาจ
สื่อมวลชนก็อาจเซ็นเซอร์ตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับผู้มีอำนาจ
อำนาจเช่นนี้ขัดแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ที่รับรองสิทธิ
เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของสื่อและประชาชน นอกจากนั้นหากสื่อกลัวเดือดร้อน
หรือถูกกระทบจากผู้มีอำนาจออกใบอนุญาตก็จะเสนอข่าวที่ปลอดภัย หรือข่าวที่ไม่มีสาระ
สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของประชาชนก็จะถูกกระทบไปด้วย
4.เงินที่ใช้ในกิจการของสภาใหญ่มาจากไหน?
กฎหมายกำหนดให้กระทรวงการคลัง
จัดสรรเงินขององค์กรกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ในส่วนที่จะต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ให้สภาใหญ่ในอัตราร้อยละห้า
ในกำหนดเวลาสามปีแรกที่จัดตั้งสภาใหญ่ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
มีอำนาจปรับเพิ่มรายได้ทุกสามปี เท่ากับ
เป็นอำนาจของฝ่ายรัฐในการจัดสรรเงินที่ใช้ในกิจการสภาใหญ่
ซึ่งเป็นช่องทางหนึ่งที่รัฐจะเข้ามาแทรกแซงได้
5.การลดทอนความเชื่อถือในสภาวิชาชีพปัจจุบัน
ถึงแม้ว่าองค์กรสื่อ
องค์กรวิชาชีพสื่อยังคงพิจารณาเรื่องร้องเรียนได้ตามปกติ แต่เมื่อผู้เสียหาย
หรือผู้ถูกละเมิดใช้สิทธิทางศาล
กฎหมายยังให้กระบวนการสอบสวนทางจริยธรรมของสภาวิชาชีพ ดำเนินต่อไป ซึ่งขัดแย้งกับวิธีการพิจารณาในสภาวิชาชีพที่เป็นอยู่ในขณะนี้
เพราะผลคำวินิจฉัยของศาลและสภาวิชาชีพที่อาจขัดแย้งหรือแตกต่างกัน
อาจนำไปสู่ช่องทางการอุทธรณ์ต่อสภาใหญ่ สุดท้ายความเชื่อถือของสภาวิชาชีพจะลดลง
เพราะเป็นสภาที่ไม่มีอำนาจตามกฎหมาย
6.อำนาจในการลงโทษของสภาใหญ่
กฎหมายกำหนดให้สภาใหญ่มีอำนาจลงโทษปรับผู้ละเมิดเป็นชั้นๆ
เป็นโทษทางปกครองชั้นที่1 ปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท ชั้นที่ 2 ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
และสุดท้ายชั้นที่ 3 กรณีร้ายแรง
ปรับไม่เกินหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท และเพิกถอนสมาชิกสภาพ
7.รัฐบาลกำกับ ดูแล
การจัดตั้งสภาใหญ่ตั้งแต่ต้น
บทเฉพาะกาลกำหนดให้มีคณะทำงานเตรียมการจัดตั้งสภาใหญ่ ประกอบด้วย
ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะเป็นกรรมการโดยตำแหน่งในสภาใหญ่ เป็นประธานคณะทำงาน
นอกจากนั้น มีปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เลขาธิการ กสทช
และบุคคลอื่นๆ อีกรวมสิบสามคน เป็นคณะทำงาน ดำเนินการจัดตั้งให้เสร็จภายในสองปี
ตัวแทนภาครัฐจึงมีบทบาทในการกำกับ ดูแลทิศทางของสภาใหญ่นี้แต่ต้น
ซึ่งจะไปตอบรับแนวคิดแบบอำนาจนิยม ที่ต้องการจะคุมสื่อแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น