พลันที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ประกาศใช้บังคับ
ความพยายามที่จะผลักดันร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ
ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน
ของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.)
ก็อาจมีเหตุต้องสะดุดหยุดลง ด้วยเวลาที่เหลืออยู่ราว 4 เดือนจากนี้ของ
สปท.และเงื่อนไขสำคัญบางประการในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ถึงกระนั้นก็ยังมิอาจวางใจ
และสมควรต้องศึกษาทบทวน ร่างกฎหมายทั้ง 6 ฉบับว่ามีเนื้อหา
มีสาระสำคัญอย่างไร อาจบางทีเราปฏิเสธกฎหมายไม่ได้ทั้งหมด แต่แค่ไหน
เพียงใดที่เรารับได้ หากไม่เอากฏหมายเผด็จการเข้ม ของ สปท.
ไล่เรียงจากร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ
และส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชนยุคพรรคประชาธิปัตย์
เป็นกฎหมายที่ให้หลักประกันในการเสนอข่าว และแสดงความคิดเห็นของพนักงาน ลูกจ้างทั้งของรัฐและเอกชน
ที่จะไม่ตกอยู่ภายใต้อาณัติของหน่วยราชการ หรือเจ้าของกิจการนั้น ซึ่งเนื้อหาหลักตรงกับร่างที่เสนอโดย
6 องค์กรสื่อ ความแตกต่างอยู่ที่
การกำหนดให้มีคณะกรรมการควบคุมจริยธรรมในองค์กรสื่อทั้งส่วนกลางและภูมิภาค
ร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองสิทธิ
เสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน
ของคณะอนุกรรมาธิการศึกษากฏหมายเกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน
เพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม คุ้มครองสวัสดิภาพ
และสวัสดิการของสื่อมวลชน สปช.หลักการเดียวกับร่างของคณะอนุกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปด้านสื่อสิ่งพิมพ์
สปท.คือเป็นการกำกับร่วมระหว่างสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ
และสภาวิชาชีพในปัจจุบัน
โดยการออกแบบให้เป็นการกำกับกระบวนการในการกำกับ
ดูแลกันเองไม่ได้กำกับผู้ประกอบวิชาชีพโดยตรง
ร่างพระราชบัญญัติฉบับของกรรมาธิการ
มีพล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร เป็นประธาน หลักการคือกำกับโดยอำนาจรัฐผ่านระบบใบอนุญาต
และตัวแทนในสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ หลักการคล้ายกับ ร่าง
พ.ร.บ.สภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ ของ สนช.แตกต่างเพียง
การให้ใบอนุญาตและเพิกถอนใบอนุญาตอยู่ที่สภาวิชาชีพที่กำกับ ดูแลกันเอง
และตัวแทนภาครัฐ ใช้คำว่าตัวแทน ไม่ได้กำหนดตำแหน่งชัดเจนเช่น ร่างของ สปท.
ร่างสุดท้ายนี้เป็นร่างที่มีปัญหา
และกรรมาธิการสื่อ สปท.พยายามคิดสูตรภายใต้หลักการเดิม
คือการให้มีใบอนุญาตและตัวแทนรัฐในสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติให้ได้ แต่ยังรีรอดูท่าทีฝ่ายองค์กรวิชาชีพสื่ออยู่
ซึ่งเมื่อระยะเวลาเหลือเพียงราว 4 เดือน ก็มีความเป็นไปได้
ที่พวกเขาอาจยอมจำนน ไม่ผลักดันต่อ
อีกทั้งการอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่
มาตรา 77
เขียนไว้ว่า รัฐพึงจัดให้มีกฎหมายเท่าที่จำเป็น
และยกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมายที่หมดความจำเป็น หรือไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์
หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตหรือการประกอบอาชีพ ก่อนการตรากฎหมาย
รัฐพึงจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้อง
วิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายอย่างรอบด้านและเป็นระบบ
แปลว่า
นี่ก็เป็นช่องทางหนึ่งที่จะคัดง้างกับ ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองสื่อได้
ดีที่สุด
ถ้าเป็นไปได้ คือสกัดกั้นกฎหมายทุกฉบับ
แต่ก็ต้องเตรียมตอบคำถามการใช้เสรีภาพด้วยความรับผิดชอบให้ได้ผลอย่างจริงจังด้วย
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น