ใครๆก็รู้ว่าลำปางเป็นแหล่งผลิตเซรามิคมากมายหากแต่ในปัจจุบันโลกของงานเซรามิคก็เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย และการแข่งขันให้ต้องตอบโจทย์ความต้องการใช้งานของผู้ซื้อเช่นกัน
การเปลี่ยนแปลงท่ามกลางกระแสสังคมที่กำลังก้าวไปสู่ยุคดิจิทัล
ผู้ประกอบการรายเล็กรายน้อยต้องปรับกระบวนทัศน์และกลยุทธ์ แต่ก็น้อยรายนักที่จะก้าวไปแตะเป้าหมายที่ตัวเองปรารถนา
ชาวดินเซรามิค
เป็นอีกหนึ่งในผู้ประกอบการเซรามิครายเล็กที่ปรับตัวครั้งแล้วครั้งเล่าฟันฝ่าอุปสรรคท่ามกลางเศรษฐกิจถดถอย
จนประสบความสำเร็จในการสร้างฐานตลาดของตัวเองด้วยระบบการขายออนไลน์ได้อย่างน่าทึ่ง
จากโรงงานผลิตกระดิ่งโมบาย และแมวเกาะขอบโอ่งเล็กๆ
ขายงานให้กับพ่อค้าคนกลางตามวิถีของโรงงานขนาดเล็กมานานกว่า 30 ปี แต่การเติบโตของธุรกิจโรงงานเซรามิคไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่ต้องฟันฝ่าการแข่งขันราคา และปัญหาการลอกเลียนแบบในกลุ่มโรงงานด้วยกันเองอยู่ตลอดเวลา
จุดพลิกผันมาสู่การเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
เมื่อ “แพร” วรรณกร นภาวรรณ ทายาทคนเดียวของ “กฤษ นภาวรรณ” ผู้ก่อตั้งโรงงานชาวดินเซรามิค ทิ้งความฝันเส้นทางการทำงานสายนิเทศ กลับมาเป็นลูกสาวเจ้าของโรงงานที่ต้องทำทุกอย่าง
การค้นหาตัวเองและมองหาโอกาสของช่องทางตลาดที่เหมาะกับโรงงานไซส์เล็ก
เปลี่ยนแนวการผลิตจากสินค้าเดิมๆมาเป็นกระถางต้นไม้ ด้วยความชอบต้นไม้เป็นการส่วนตัวเป็นทุนทางความคิดและแรงบันดาลใจ
แล้วพุ่งเป้าหมายไปยังตลาดที่เฉพาะเจาะจงคือกลุ่มลูกค้าคนรักต้นไม้ ภายใต้แนวคิด “From a tree lover to a tree caretaker” ได้รับรางวัล
สุดยอด SME จังหวัด (SME PROVINCIAL CHAMPIONS) ปี2559ไปหมาดๆ
"เป็นที่รู้กันดีว่าธุรกิจโรงงานเซรามิค
ต้องเหนื่อยจากการแข่งขันรอบด้าน ก่อนที่แพรจะกลับมาช่วยพ่อทำโรงงาน แพรมีหน้าที่การงานที่ค่อนข้างลงตัวแล้วในบริษัทแกรมมี่
แต่ด้วยสถานะของโรงงานย่ำแย่ลงมาก ขาดสภาพคล่องจนโรงงานอาจจะไปไม่รอด ถ้าไม่สู้ต่อก็ต้องปิดตัวลง
แต่พ่อพูดมาประโยคหนึ่งว่าต้นตระกูลเราทำเซรามิคมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
เราจะทิ้งหรือปล่อยมือไปจริงๆเหรอ...คำพูดนั้นทำให้แพรต้องทบทวนจุดเปลี่ยนสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจกลับมาทำโรงงาน อีกอย่างหนึ่งคือ ต้องขอบคุณ
พี่โน้ส อุดม แต้พานิช มากเพราะในช่วงที่แพรต้องตอบตัวเองว่าจะสู้ต่อเพื่อโรงงานหรือไม่นั้นแพรไปนั่งที่ร้านไอเบอรี่
ของพี่โน้สที่เชียงใหม่ นั่งนานมากจนพี่โน้สเข้ามาคุย คุยกันไปมาเขาก็บอกว่า
งานเซรามิคแบบที่เขาต้องการหาโรงงานทำให้ยากมากเลยจะให้แพรทำต่อแพรบอกว่าแพรทำไม่เป็นพี่โน้สเลยขอมาเยี่ยมชมโรงงาน และเชียร์ให้แพรกลับมาทำโรงงาน ด้วยการสั่งผลิต
แก้วเซรามิค รุ่นลิมิเต็ด เดี่ยว 7 ซึ่งเป็นลูกค้ารายแรกที่จุดประกายไฟทุกสิ่งให้ชาวดินเซรามิคพลิกฟื้นมาถึงทุกวันนี้"
โจทย์ที่ยากของออเดอร์แรกจากโน้ส
อุดม แต้พานิช คือการผลิตจากแนวการเผาแบบญี่ปุ่น(บารากุ)
และทุกชิ้นเป็นชิ้นเดียวในโลก ผลักดันให้แพรต้องศึกษาวิธีการทำเซรามิคอย่างจริงจังอยู่หลายเดือน
หลังจากแจ้งเกิดในชิ้นงานที่ใช้โชว์เดี่ยวไมโครโฟน 7 “แพร” ทำทุกวิถีทางให้รู้จักตลาดและกระบวนการผลิตไปจนถึงการขนส่งให้ก้าวเดินให้พลาดน้อยที่สุด
แต่ทางตันของการตลาดที่น่าหดหู่คือ การกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง
และการลอกเลียนแบบแล้วผลิตขายแข่งตัดราคากันเองของโรงงานเซรามิค
“แพรเจอทางตันเรื่องการแข่งขันราคา
ธุรกิจเซรามิคทำซ้ำกันง่าย เราวางขายสักพักก็มีเหมือนเราเต็มท้องตลาด
ทั้งๆที่รู้ว่ามันเสียกลไกตลาดเขาก็ยังแข่งกันวิธีเดิมๆ มันทำให้ท้อแทบจะถอดใจ จึงกลับมาตั้งหลักใหม่ เราเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ก็เปลี่ยนที่เราโดยเริ่มสำรวจความต้องการตลาดให้บวกกับความชอบความรักที่จะทำเพื่อเป้าหมายที่จะทำให้ชาวดินเซรามิคเป็นแบรนด์ที่แข็งแรง
ด้วยสินค้าที่มีคุณภาพ มีสไตล์เป็นของตัวเอง และราคาจะไม่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ
และจะประกาศตัวเป็นโรงงานเซรามิคที่ไม่ขายของราคาถูกแต่ไม่มีคุณภาพอีกต่อไป”
จากปณิธานของการวางเป้าหมาย
เป็นแรงขับให้"แพร" วางตัวเองมุ่งไปสู่การผลิตชิ้นงานที่แตกต่าง
เริ่มจากงานกระถาง แนวสีสันสดใส มีสไตล์ใหม่ๆทั้งตั้งโต๊ะและแขวน ดีไซน์เป็นธีมต่างๆ
เช่น กระถางรูปผลไม้ สัตว์ พัฒนาเรื่อยไปจนเป็นผู้ผลิตกระถางต้นไม้ที่มีตัวตนเด่นชัดเรื่องของสีและดีไซน์
เข้าถึงลูกค้ากลุ่ม"สายหวาน" นั่นคือผู้หญิงที่รักต้นไม้เป็นหลัก
ส่วนสินค้าทั่วไปยังมีไว้สนองผู้ซื้อไปตกแต่งบ้าน หรือแม้กระทั่งวางบนโต๊ะทำงานเก๋ไก๋
ในราคาที่ลูกค้าพึงพอใจ
หลังจากค้นหาตัวตนของสินค้าที่เด่นชัดแล้ว
แนวทางแก้ปัญหาเรื่องการตลาดและขนส่ง เป็นการบ้านที่แพรต้องแก้โจทย์อย่างหนักเริ่มจากการแพ็คสินค้าให้รองรับความเสี่ยงในการขนส่งให้สูญเสียน้อยที่สุดส่วนเรื่องตลาดก็เปลี่ยนเส้นทางการขายแบบเดิมๆที่ต้องเอางานไปเสนอให้กับร้านค้าในลำปาง
เชียงใหม่ ซึ่งไม่ได้ผลตอบรับที่ดีนัก ไปเสนอขายในภาคใต้และอีสานแทน จากนั้นศึกษาระบบการขายออนไลน์และนำแบรนด์
"ชาวดิน " สู่ตลาดอีคอมเมิร์ซ ในระยะ 2 ปี ที่ผ่านมาได้สำเร็จ
“เมื่อเราเจอปัญหากดราคาจากร้านค้า
พ่อค้าคนกลาง ก็แก้ด้วยการหาคู่ค้าที่ชอบและต้องการขายสินค้าแนวของเรา
ในรูปแบบของตัวแทนจำหน่าย ตั้งแต่ขนาดลงทุนหลักพัน จนถึงหลักแสน ล่าสุดเราเป็นคู่ค้ากับผู้จำหน่ายวัสดุก่อสร้างและตกแต่งบ้าน
“ดูโฮม (Dohome)” และองค์กรธุรกิจหลายแห่ง ทั้งหมดนี้หมายถึงเรา มียอดสั่งซื้อที่แน่นอน
สามารถบริหารจัดการส่วนโรงงานได้ง่ายกว่า
นอกจากนี้เรายังมีลูกค้าทั่วไปที่ซื้อราคาปลีกผ่านแฟนเพจ
และโซเชียลทุกช่องทางที่โรงงานสร้างเป็นหน้าร้านเพื่อประชาสัมพันธ์ให้คนรู้จักในต่างจังหวัดเราจะบอกลูกค้าที่สะดวกไปซื้อที่ตัวแทนจำหน่ายสาขาที่ใกล้ที่สุดในราคาเดียวกันทั่วประเทศ
คู่ค้าเราก็ขายได้ โรงงานก็อยู่ได้ นี่คือหลักการทำตลาดที่เราเดินไปพร้อมกันมั่นคง”
จากโรงงานที่กำลังจะปิดตัวมีหนี้หลายล้านบาท
ไม่มีทางออก ในระยะ ไม่เกิน 5 ปี ชาวดินเซรามิค พิสูจน์แล้วว่า
หนทางของการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งด้วยการขายสินค้าที่ใส่ใจเรื่องของไอเดียโดนใจ
ซึ่งลูกค้าพึงใจจ่าย ทำให้ปัญหาการแข่งขันราคาราคาไม่ใช่อุปสรรคอีกต่อไปแต่ความจริงใจ ซื่อสัตย์ต่อลูกค้าด้วยการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพที่ดีที่สุด
สวยที่สุด และมีแหล่งกระจายสินค้ามากที่สุด เป็นผลสำฤทธิ์ก้าวที่เติบโตทางธุรกิจ "มาถึงวันนี้แพรอยากจะพูดว่า
ชาวดินเซรามิค ต้องขอบคุณคนที่เป็นกำลังใจอยู่เบื้อหลัง คือครอบครัว รวมถึง “อาอ๊อด”
อนุรักษ์ นภาวรรณ โรงงานอินทราเซรามิค ที่มีส่วนผลักดันให้การสนับสนุนสร้างแบรนด์ชาวดินเซรามิคให้มาถึงจุดนี้"
แพรย้ำว่า ชาวดินเซรามิคไม่ได้อยากเป็นโรงงานอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่แต่ยังคงเป็นโรงงานขนาดเล็กๆที่ทำงานสร้างรายได้อย่างมีความสุข เป็นส่วนหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับลำปาง
ให้สมกับเป็นเมืองที่เป็นแหล่งผลิตเซรามิคที่สำคัญของประเทศไทย
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น