
ด้วยความรักในการอ่านเป็นทุนเดิม
วันหนึ่งที่ต้องเริ่มธุรกิจของตนเอง ชาญวิทย์ ประชันกิจพัฒนา
หนอนหนังสือตัวยง จึงลาออกจากงานประจำที่กรุงเทพฯ เดินทางกลับสู่บ้านเกิดที่จังหวัดลำปาง
และเลือกที่จะเปิดร้านหนังสือ “ดรีมบุ๊ค ศูนย์หนังสือเช่า” ในปี พ.ศ. 2548 ร้านหนังสือเช่าที่เดินตามความฝันและให้ความสำคัญกับจินตนาการ
กว่าจะเปิดร้านหนังสือเช่าสักร้าน
ชาญวิทย์ต้องไหว้วานเพื่อนฝูงและน้องสาวช่วยกันไปหาซื้อหนังสือตามแหล่งใหญ่ๆ ในกรุงเทพฯ
อย่างสวนจตุจักร สะพานควาย หรือไม่ก็เดินทางไปกรุงเทพฯ
ด้วยตนเองเพื่อไปงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติช่วงปลายเดือนมีนาคมต่อต้นเดือนเมษายน
และงานมหกรรมหนังสือระดับชาติช่วงเดือนตุลาคมเมื่อบวกรวมกับหนังสือสะสมของตนเองอีกราว
ๆ 30 เปอร์เซ็นต์ ดรีมบุ๊ค ศูนย์หนังสือเช่า
ก็เปิดตัวในตึกแถวย่านไปรษณีย์
ช่วง
6 เดือนแรกของร้านหนังสือเช่าน้องใหม่ยังคงดูเนิบๆ
แต่ชาญวิทย์อาศัยความเป็นคนชอบอ่านหนังสือของตนเองในการตอบคำถามของลูกค้าได้อย่างคนรู้จริง
เขารู้จักหนังสือมากมาย ร้านของเขาจัดวางหนังสืออย่างเป็นระบบระเบียบ
เมื่อบวกรวมเข้ากับอัธยาศัยไมตรี ไม่นานหลังจากนั้นจำนวนสมาชิกก็เพิ่มขึ้น
“12 ปีที่แล้ว
ร้านหนังสือเช่าอันดับหนึ่งในลำปางต้องยกให้ร้านลูกน้ำครับ
รองลงมาก็ร้านสวนหนังสือแถวตลาดอัศวินและร้านกรกิจ” หนุ่มใหญ่วัย
42 ปีเท้าความ
“ตอนเปิดแรกๆ ลูกค้าที่ร้านของผมส่วนใหญ่คือเด็กมัธยมปลาย
เด็กมหาวิทยาลัย และวัยทำงาน ซึ่งนิยมอ่านนิตยสารและนิยายของสำนักพิมพ์แจ่มใสพวกพ็อกเกตบุกก็บูมมากครับยุคนั้น
ผมก็พยายามเสาะหาพ็อกเกตบุกใหม่ๆ จากสวนจตุจักรมาวางที่ร้าน นั่นอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ร้านของเราดีขึ้นเรื่อยๆ”
กิจการดรีมบุ๊คฯ
ไปได้ดี กระทั่งเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว
หลังรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนในวงการสื่อสิ่งพิมพ์
ชาญวิทย์ไม่ได้ตื่นตระหนก หากแต่เข้าใจถึงความเป็นไปในโลกธุรกิจว่าย่อมมีขึ้นมีลง
อีกทั้งยังมองว่าเทคโนโลยีเองก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
ช่วงนี้เป็นขาลงของธุรกิจหนังสือเช่าก็ต้องรับสภาพให้ได้
ขณะเดียวกันก็ยังต้องเดินคู่ไปกับความก้าวหน้าของโลกปัจจุบัน
“ผมเองยังอัพเดตหนังสือทางสื่อออนไลน์เลยครับ
และบ่อยครั้งก็ต้องเข้าไปอ่านรีวิวหนังสือ เพื่อเตรียมตอบคำถามของลูกค้า” เขายอมรับพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
ทุกวันนี้หนังสือเช่าของดรีมบุ๊คฯ
มีหลายแสนเล่ม เรามองดูหนังสือบนชั้นที่สูงท่วมหัว ครั้นเลื่อนชั้นทางด้านหน้า
ด้านหลังก็ยังเผยให้เห็นชั้นหนังสืออีก
แม้แต่บนชั้นลอยก็ยังมีกล่องเก็บหนังสือการ์ตูนจำนวนมหาศาล ขณะเดียวกันก็มีลูกค้าทยอยมาคืนหนังสือ-ยืมหนังสือ
ถามถึงเล่มนั้นเล่มนี้ ซึ่งชาญวิทย์ก็ตอบได้ทุกครั้งไป ท่ามกลางกำแพงหนังสือยาวเหยียดเขาเดินไปหยิบหนังสืออย่างชำนาญราวกับบรรณารักษ์ที่รู้จักหนังสือทุกเล่มในห้องสมุด
เล่มไหนมาแล้ว เล่มไหนยังไม่มา คำถามของลูกค้ามีทุกรูปแบบ
นอกจากไม่ฟูมฟายกับชะตากรรมของหนังสือ
ร้านเล็กๆ แห่งนี้ยังปรับตัวเพื่อเตรียมรับความเปลี่ยนแปลง
“ตอนนี้หนังสือที่ร้านมีแต่เล่มดังๆ
ครับ กับเล่มที่ลูกค้าถามถึงบ่อยๆ คือเราต้องคอยสังเกตว่าลูกค้าถามถึงเล่มไหนจึงจะสั่งมา
ส่วนใหญ่ยังคงเป็นการ์ตูนและนิยาย ส่วนนิตยสารก็ลดจำนวนลงเหลือหัวละ 1 เล่มเท่านั้น
และถ้าเช่าหลายเล่มก็จะลดราคาให้ หนังสือที่หายากจากที่อื่น
ผมก็พยายามหามาลงที่ร้านเพื่อเอาใจลูกค้า”
ชาญวิทย์สังเกตว่า
ลูกค้าตอนนี้คือคนวัยทำงานอายุประมาณ 30 กว่าๆ ซึ่งสนใจหนังสือประเภทวิทยาศาสตร์
ประวัติศาสตร์ และความรู้รอบตัวกันมากขึ้น ส่วนพวกเด็กๆจะสนใจหนังสือในเครือนานมี
ซึ่งมักนำเรื่องรอบตัวมาย่อยให้นักอ่านรุ่นเยาว์เข้าใจง่ายขึ้น ประกอบกับจัดวางรูปแบบได้อย่างน่าสนใจ
หนังสือพวกนี้ช่วยประคับประคองดรีมบุ๊คฯ ได้มาก นอกจากนี้
การมีคอนเน็กชันกับร้านนายอินทร์ ซี-เอ็ด และบีทูเอส ซึ่งจะให้เครดิต 30 วันกับร้านหนังสือเช่า ก็ทำให้เขาไม่ลำบากจนเกินไปนัก
เราถามถึงขั้นตอนในการสมัครเป็นสมาชิกของดรีมบุ๊คฯ
ชาญวิทย์บอกว่า ขั้นแรกขอบัตรประชาชนเพื่อกรอกข้อมูลเก็บไว้
ขั้นที่สองจ่ายเงินค่าสมัครสมาชิก 30 บาท ยกเว้นคนต่างจังหวัด
หรือนักเรียน นักศึกษาที่ไม่ได้มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดลำปาง
ไม่ต้องสมัครสมาชิกก็ได้ แต่ขอให้วางบัตรประชาชนไว้เท่านั้น และเสียค่าเช่ารายวัน
ได้แก่ การ์ตูนและนิตยสารคิดราคา 10 เปอร์เซ็นต์จากราคาปก
ส่วนนิยายและพ็อกเกตบุกคิดราคา 40-60 เปอร์เซ็นต์จากราคาปก
“พยายามอยู่ให้ได้ครับ”
ชาญวิทย์โคลงศีรษะเมื่อเราถามว่ามองอนาคตร้านหนังสือเช่าอย่างไร“ผมยึดหลักว่าต้องอัพเดตหนังสือใหม่ตลอดเวลาและตอบคำถามลูกค้าให้ได้”
เขายิ้มขณะสแกนบาร์โค้ดหนังสือตรงหน้า “ยังไงกระดาษก็ไม่หมดไปจากโลกนี้หรอกครับ
ผมเชื่ออย่างนั้นนะ และผมยังคงหวังว่า สักวันคนอาจจะเบื่อเทคโนโลยี
แล้วหันกลับมาหาความเรียบง่ายอย่างหนังสือก็เป็นได้”
ลูกค้าส่วนใหญ่ของดาริณีบุ๊คคือนักเรียนโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย
ซึ่งไม่ต้องเสียค่าสมัครสมาชิก การ์ตูนและนิยายคือรายได้หลักของร้านพิมพ์กมล
ดาระสวัสดิ์ ว่าอย่างนั้น เธอบอกตรงกับชาญวิทย์แห่งดรีมบุ๊คฯ ว่า
ลูกค้าเริ่มน้อยลงเมื่อประมาณ 3 ปีที่ผ่านมา นั่นคือช่วงเวลาที่สื่อออนไลน์สร้างแรงสั่นสะเทือนให้วงการหนังสือ
เริ่มเข้าสู่ยุคที่ใครๆ ก็หันมาอ่านข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต ขณะเดียวกัน
พิมพ์กมลมองว่า เด็กนักเรียนลำปางหันไปใช้เวลาว่างในสถาบันกวดวิชากันมากขึ้น
“หนังสือในร้านส่วนใหญ่เป็นนิยายจีน
นิยายไทย โดยเฉพาะนิยายที่ถูกนำมาทำเป็นละครทีวีจะได้รับความนิยมมากค่ะ” พิมพ์กมล
ซึ่งวันนี้อยู่โยงเฝ้าร้านแทนสามีเล่าให้ฟัง
และด้วยความที่ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียน
จึงมีบ้างที่ดาริณีบุ๊คจะโดนผู้ปกครองมาต่อว่า
ด้วยข้อหาที่ทำให้ลูกหลานพวกเขาติดหนังสือ !?
ธุรกิจร้านหนังสือเช่าจะดำเนินไปในทิศทางไหน
พิมพ์กมลมองว่า “ก็คงไปเรื่อยๆเอื่อยๆอย่างนี้ล่ะค่ะ” เธอยิ้ม “อยู่ที่ว่า
เราจะรับได้ไหมกับสถานการณ์แบบนี้ ที่ร้านใช้วิธีประเมินเดือนต่อเดือน
แต่ก็ยังเชื่อมั่นว่า ตราบใดที่ยังมีคนเขียนนิยาย ก็ต้องมีคนอ่านค่ะ”
ทว่าบนถนนทิพย์ช้าง
ร้านหนังสือเช่าอย่าง “แสตมป์บุ๊ค” กำลังจะปิดตัวลงในไม่ช้า ร้านเล็กๆ
ในห้องแถว 1
คูหาแม้วันนี้จะยังมีลูกค้ายืนเลือกหนังสืออยู่ แต่ก็ดูเหมือนว่า เจ้าของร้านที่ทำธุรกิจนี้มา
11 ปีจะถอดใจเสียแล้ว
“ไม่มีใครอ่านหนังสือกันแล้วค่ะ” เธอพูดอย่างยอมจำนน
เรานึกถึงคำพูดของชาญวิทย์ที่บอกว่า
เสน่ห์ของหนังสือคือการเปิดโอกาสให้คนอ่านได้จินตนาการ คิด และวิเคราะห์ อีกอย่างหนึ่ง
แต่ละหน้าที่กำลังจะพลิกอ่านนั้นไม่อาจคาดเดาได้เลย น่าตื่นเต้นน้อยอยู่เมื่อไหร่ มันทำให้เรารู้สึกว่า
ยังมีคนหลงใหลในสัมผัสแห่งกระดาษ และพร้อมที่จะกระโจนลงไปในสวนอักษรอย่างไม่รู้เบื่อ
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1128 วันที่ 5 - 11 พฤษภาคม 2560)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น