ถึงสับปะรดจะไม่ใช่ยางพารา ไม่มีการยางแห่งประเทศไทยคอยอุ้มชูอยู่
ไม่ได้เป็นผลิตผลเกษตรที่อิงการเมือง แต่นาทีนี้ชาวไร่สับปะรด
คงอยากให้มีการสับปะรดแห่งประเทศไทย มาเอาใจใส่พวกเขา มาดู มาเห็น มารับผิดชอบ
มาประกันราคา เหมือนที่ชาวสวนยางได้รับในทุกยามที่มีปัญหาราคายางตกต่ำ
เมื่อไม่มีการสับปะรดแห่งประเทศไทย
เมื่อสับปะรดลงราคาไปถึงกิโลกรัมละ2 บาท
ตาสับปะรดที่เปรียบเปรยกันว่ามากกว่าตาทุกตาในโลกนี้ ทุกตาคงมีน้ำตาไหลออกมา
และคงไม่มีโอกาสมากเท่ายาง เท่าลองกองที่ภาคใต้ ที่ต่างระดมกันมาช่วยขายกันทั้งประเทศ
ตามนโยบายรัฐบาล
ย้อนหลังไป
5 ปีก่อน รายงานข่าวจาก “ลานนาโพสต์” เหมือนวนกลับมาที่จุดเดิมอีกครั้ง
เพราะในปีนั้น สับปะรดตกต่ำเหลือเพียงกิโลกรัมละ 2 บาท เกษตรกรผู้ปลูกสับปะรดกว่า
500 คน เอารถออกมาประท้วงปิดถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ลำปาง-เชียงราย
เรียกร้องให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นให้ความช่วยเหลือรับซื้อในราคากิโลกรัมละ
4 บาท
ต่อมาเดือนกรกฎาคม
2558
เกษตรกรผู้ปลูกสับปะรดเฮได้ เมื่อสับปะรดมีราคาสูงสุดในรอบ 40
ปี ขายได้ที่กิโลกรัมละ 10-12 บาท
มาปีนี้เกษตรกรเดือดร้อนหนักอีกครั้ง
เมื่อสับปะรดล้นตลาดทำให้ราคาหล่นลงมาอยู่ที่กิโลกรัมละ 2 บาท
เท่ากับ 5 ปีก่อน
หลายภาคส่วนได้ช่วยกันหาทางแก้ปัญหาเบื้องต้น
ประชาสัมพันธ์ให้ช่วยกันซื้อสับปะรด ธุรกิจเอกชนหลายแห่งก็แจกสับปะรด มีการจัดกิจกรรมวันขะหนัด
แข่งกินสับปะรด ฯลฯ แต่ไม่มีการวางแผนระยะยาว ไม่นานปัญหาก็วนกลับมา
5
ปี 10 ปีข้างหน้า
เราจะขายสับปะรดกันทั้งลูกต่อไป ปลิดขั้วแล้ววางขาย เสี่ยงบุญเสี่ยงกรรมกันไป
ถ้าสับปะรดน้อย ราคาก็จะดี หรือถ้าสับปะรดล้นตลาด ก็ต้องยอมรับชะตากรรม
หรือเราจะแปรรูป หรือจะพัฒนาพันธุ์ เปลี่ยนความต้องการขายเป็นความต้องการซื้อ ตามหลักเศรษฐศาสตร์
วิธีเช่นนี้
คือการพึ่งตนเอง ไม่ต้องรอฟ้า รอฝน รอความช่วยเหลือ จากหน่วยงานไหน
เพราะถ้าขนาดของปัญหามันใหญ่โตเช่นนี้ ใครจะเอื้อมมาถึง
ตัวอย่างหนึ่งที่ได้จากรายการ
เกษตรสร้างชาติ :
ทางรอดสับปะรดลำปางล้นตลาด ราคาตกต่ำ อาจเป็นทางออกหนึ่ง
สำนักข่าวไทย
อสมท. รายงานว่า ริมถนนสายลำปาง-งาว ในตำบลบ้านเสด็จ อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง ช่วงนี้เต็มไปด้วยสับปะรดที่ชาวสวนนำมากองขายริมถนนในราคาแสนถูก
บางรายขายเพียงกิโลกรัมละ 1.50
บาท ถึง 2 บาท ชาวสวนต่างได้รับความเดือดร้อนกันไปทั่วหน้ากับราคาที่ตกต่ำ
แต่ต้องจำใจขายดีกว่าปล่อยให้เน่าเสีย เพราะยังมีผลผลิตสับปะรดออกมาอีกมากในช่วงนี้
แต่สับปะรดที่ไร่ช่างเอก
ในหมู่บ้างวังเลียบ ตำบลบุญนาคพัฒนา อำเภอเมืองลำปาง กลับขายดิบขายดีและขายได้ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ
15
บาท ซึ่งกฤษณะ สิทธิหาญ หรือช่างเอก เจ้าของไร่วัย 42 ปี ซึ่งเคยทำงานทั้งช่างยนต์ ช่างกลึงเหล็ก ช่างไฟฟ้า
เรียกว่าเป็นคนที่มีความรู้สารพัดช่าง ที่เคยไปทำงานอยู่กรุงเทพฯ แต่สุดท้ายกลับมาทำการเกษตรที่บ้าน
และปลูกสับปะรดกันเป็นหลัก แต่ก็ประสบปัญหาราคาตกต่ำแทบทุกปี สุดท้ายเขาก็หาทางออกโดยการปรับเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีทำสับปะรดแบบใหม่เมื่อ
5 ปีที่แล้ว
ช่างเอกยังปรับเปลี่ยนการปลูกด้วยการยกแปลง
ใช้ความรู้ทางช่างประดิษฐ์เหล็กเจาะรูสำหรับปลูกและดัดแปลงเครื่องฉีดน้ำเพื่อให้น้ำระหว่างการปลูกหน่อสับปะรด
โดยใช้พลาสติกคลุมเพื่อลดวัชพืชและเพิ่มความชื้นในดิน ช่วยประหยัดน้ำและแรงงาน แถมทำให้สับปะรดตั้งตัวได้ดีและเก็บผลผลิตได้เร็วขึ้น
จากปกติที่ใช้เวลาเป็นปี เหลือเพียง 10 เดือน ที่สำคัญเขายังยกระดับทำสับปะรดแบบอินทรีย์
ไม่ใช้สารเคมี แต่ใช้กากถั่วเหลืองและสับปะรดตกเกรดมาทำหมักเป็นปุ๋ย
ทำให้สับปะรดหวานฉ่ำ หอม ใครได้ชิมเป็นติดอกติดใจ
นอกจากนี้ยังมีลูกค้าสั่งซื้อทางโทรศัพท์และทางออนไลน์
จัดส่งทั่วประเทศกล่องละ 8-10
กิโลกรัม ในราคา 150 บาท ขายวันหนึ่ง
200-300 ลูก แทบจะไม่พอ สิ่งสำคัญช่างเอกบอกว่าทำเกษตรไม่ว่าจะปลูกอะไรต้องมองตลาดให้ชัดเจน
เน้นพัฒนาคุณภาพผลผลิต และยึดหลักพอเพียงตามแนวทางในหลวงรัชกาลที่ 9 จะช่วยให้เกษตรกรอยู่ได้อย่างยั่งยืน
ปีนี้คงต้องยอมรับชะตา
ฟ้าลิขิต ให้สับปะรดออกมามากกว่าความต้องการ แต่คนอย่างช่างเอก
ทำให้เห็นว่าถึงเป็นสับปะรด แต่ไม่ใช่สับปะรดแบบที่ชาวไร่ทั่วไปปลูก
ค้นหาแรงบันดาลใจ
ทำให้สับปะรดให้ไม่เป็นสับปะรด คือทางออกของวิกฤติราคาในระยะยาว
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1135 วันที่ 30 มิถุนายน - 6 กรกฎาคม 2560)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น