เมื่อเวลา
09.30น.วันที่ 4 ก.ค.60 ที่ศูนย์ดำรงธรรม ศาลากลาง จ.ลำปาง นายหลี สิงห์สี
พร้อมด้วยนายประพันธ์ กาโจทย์ นายสมพร แก้วก้อ และนายเพชร ทาวัน นำชาวบ้าน
บ้านไร่ข่วงเปา ม 11 ต.ปงแสนทอง อ.เมือง จ.ลำปาง จำนวน 74 ราย
เข้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ โดยชาวบ้านทั้งหมดต่างมีความเดือดร้อนที่ถูกนางพรรณี
ศรีสุข ประธานชุมชน ตัดออกจากการเป็นลูกสมาชิกฌาปนกิจสงเคราะห์โดยไม่มีเหตุผล
ทั้งนี้
หนึ่งในกลุ่มผู้นำที่มาร้องเรียนให้รายระเอียดว่า เมื่อประมาณวันที่ 2
ก.ค.ที่ผ่านมา ทางลูกสมาชิกทั้ง 74 รายได้ไปร่วมพิธีศพของคนในหมู่บ้าน และทำการจ่ายเงินค่าสมาชิกฌาปนกิจสงเคราะห์ให้กับคณะกรรมการที่มาตั้งโต๊ะรอรับเงินที่หน้างานหลังคาเรือนละ
150 บาท แต่ปรากฏว่าทางคณะกรรมการไม่ยอมรับเงินค่าสมาชิก และไม่ยอมชี้แจงใดๆ
จึงไปสอบถามกับนางพรรณี ศรีสุข ประธานชุมชน ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่า สาเหตุที่ทางคณะกรรมการไม่รับเงินของสมาชิกกลุ่มนี้
เพราะชาวบ้านทั้ง 74 ราย
ไปเข้ากลุ่มเป็นลูกสมาชิกเพิ่มเติมในหมู่บ้านไร่นาน้อยที่อยู่ติดกัน ซึ่งไม่สามารถทำได้เนื่องจากเป็นการผิดกฎระเบียบของหมู่บ้าน
จำเป็นจะต้องตัดลูกสมาชิกกลุ่มนี้ออกไปทั้งหมด โดยไม่มีการช่วยเหลือใดอีก แต่ในความเป็นจริงนั้นชาวบ้านทุกคนสามารถที่จะเข้าเป็นสมาชิกในหมู่บ้านใดก็ได้
และไม่มีกฎระเบียบห้ามเอาไว้แต่อย่างใด แต่ที่ผ่านมา ประธานชุมชนเองก็ยังสามารถไปเข้าเป็นลูกสมาชิกฌาปนกิจสงเคราะห์ในหมู่บ้านอื่นได้
ซึ่งไม่เป็นการถูกต้อง
ชาวบ้านไร่ข่วงเปา
กล่าวว่า เหตุที่ชาวบ้านทั้ง 74 ราย จำเป็นต้องไปเข้าร่วมเป็นลูกสมาชิกในหมู่บ้านไร่นาน้อย เนื่องจากหากมีการตายเกิดขึ้นกับญาติพี่น้องของตัวเองก็จำเป็นจะต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากมาจัดการงานศพ
แต่ทุกวันนี้ค่าครองชีพก็สูงขึ้นทุกวัน ค่าใช้จ่ายต่างๆในการจัดงานก็ต้องสูงขึ้นตามไปด้วย
แต่กลุ่มสมาชิกในหมู่บ้านมีอยู่จำนวน 298 หลังคาเรือน หากมีการตายเกิดขึ้น
ทุกครัวเรือนก็ต้องจ่ายค่าสมาชิกหลังคาเรือนละ 150 บาท
หากบ้านใดมีการตายเกิดขึ้นก็จะได้รับเงินค่าสมาชิกรวมแล้วเป็นจำนวน 44,250
บาทเท่านั้น ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อการจัดงานศพ ดังนั้นทางชาวบ้านทั้ง 74 ราย จึงปรึกษากันว่าจะต้องไปขอเข้าร่วมเป็นลูกสมาชิกเพิ่มจากหมู่บ้านข้างเคียง
เพื่อเตรียมความพร้อมในการหาเงินไว้ใช้จ่ายในการจัดงานศพของญาติพี่น้องที่อาจะเกิดในอนาคต
โดยจะเสียค่าสมาชิกหลังคาเรือนละ 100 บาทเท่านั้น หากมีการตายเกิดขึ้นก็จะได้รับเงินเพิ่มมาอีกกว่า
50,000 บาท จึงพร้อมใจกันไปขอเป็นลูกสมาชิกเพิ่มเติม
แต่เมื่อทางประธานชุมชนบ้านไร่ข่วงเปาทราบเรื่อง จึงพยายามขัดขวางกึ่งบังคับให้ทุกคนลาออก
แล้วกลับมาเป็นลูกสมาชิกในหมู่บ้านเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น โดยอ้างว่าเป็นมติของลูกบ้านทุกคนที่ได้ประชุมกันแล้ว
โดยที่พวกตนเองไม่ทราบเรื่องแต่อย่างใด
ต่อมาทางผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปที่
นางพรรณี ศรีสุข ประธานชุมชนบ้านไร่ข่วงเปา ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะหนึ่งในกลุ่มแกนนำกลุ่มชาวบ้านทั้ง
74 ราย ที่ร้องเรียนกับศูนย์ดำรงธรรมนั้นต้องการที่จะดันตัวเองขึ้นมาเป็นประธานชุมชนให้ได้
จึงพยายามชักชวนชาวบ้านให้เข้าร่วม โดยมาอ้างว่าตนเองพยายามตัดสิทธิ์ของลูกบ้านไม่ให้ไปร่วมเป็นลูกสมาชิกในหมู่บ้านอื่น
แต่ที่จริงแล้วลูกบ้านทุกคนสามารถที่จะไปเข้าร่วมกับกลุ่มใดก็ได้ และไม่มีกฎข้อห้ามใดๆทั้งสิ้น
ทั้งยังเป็นการดีเสียอีกที่สามารถสะสมเงินสมาชิกเพิ่มเติมเอาไว้ใช้จ่ายในการจัดงานได้
แต่ที่เรื่องมันยุ่งเพราะชาวบ้านที่เข้าร่วมกับแกนนำกลุ่มนี้ไม่ทราบความจริงทั้งหมด
โดยก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 4 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมกลุ่มลูกบ้านทั้งหมด เพื่อปรึกษาหารือและชี้แจงข้อสงสัยต่างๆที่ลูกบ้านทุกคนอยากทราบ
โดยหนึ่งในนั้นมีนางบัวผัด อินทร์ปลี ที่เพิ่งจะเสียชีวิตไปเข้าร่วมประชุมด้วย
และได้หยิบยกปัญหาการแตกแยกในชุมชนขึ้นมาพูดคุยกัน โดยมีชาวบ้านจำนวนมากลุกขึ้นแสดงความคิดเห็นและพูดโน้มน้าวให้ชาวบ้านทั้ง
74 ราย ให้กลับมาเข้าร่วมเป็นกลุ่มก้อนเดียวเพื่อพัฒนาหมู่บ้านให้เจริญมากยิ่งขึ้น
แต่การพูดคุยกลายเป็นการโต้เถียงกันมากยิ่งขึ้นเพราะชาวบ้านทั้ง 74 ราย ยังคงยืนยันที่จะขอเข้าร่วมกับหนึ่งในกลุ่มแกนนำที่มาชักชวน
โดยหวังไว้ว่าแกนนำรายนี้จะได้ขึ้นมาเป็นประธานชุมชนในสมัยหน้า
ดังนั้นนางบัวผัดจึงประกาศว่าหากตนเองเสียชีวิตไปก็จะไม่ขอรับเงินค่าฌาปนกิจศพจากชาวบ้านทั้ง
74 รายนี้ จากนั้นประธานชุมชนจึงได้ทำบันทึกการประชุมและทำหนังสือขึ้นสองฉบับ
โดยฉบับหนึ่งอยู่ที่กลุ่มชาวบ้านที่ไม่ต้องการความแตกแยก
ส่วนอีกฉบับก็มอบให้กับกลุ่มชาวบ้านที่ต้องการจะเข้าร่วมกับแกนนำรายนี้ไว้เป็นหลักฐาน
กระทั่งเมื่อวันที่ 23 มิ.ย. หลังการประชุมนางบัวผัดก็เสียชีวิตลง จึงจัดพิธีขึ้นตามประเพณี
และเมื่อกลุ่มชาวบ้านทั้ง 74 รายทราบเรื่องจึงได้มาร่วมงาน พร้อมกับจ่ายค่าสมาชิกฌาปนกิจสงเคราะห์ตามปกติ
แต่คณะกรรมการไม่ยอมรับ เพราะยึดถือตามหลักฐานหนังสือรับรองในที่ประชุมเมื่อวันที่
4 มิ.ย.และตามคำประกาศของนางบัวผัดก่อนตายเอาไว้อย่างชัดเจน
ซึ่งทางชาวบ้านทุกคนทราบเรื่องดีอยู่แล้ว
ประธานชุมชน
ยังกล่าวย้ำอีกว่า สาเหตุหลักจึงไม่ใช่การตัดสิทธิ์ของลูกบ้าน แต่เป็นเพราะคนคนเดียวที่ต้องการจะเป็นใหญ่จึงใช้ชาวบ้านเป็นเครื่องมือ
ทุกวันนี้แกนนำคนนี้ยังได้ขวนขวายจัดหาอุปกรณ์ใช้สอยต่างๆ สำหรับใช้ในชุมชนมาเก็บไว้ที่บ้านของตัวเอง
เพื่อให้ชาวบ้านที่ต้องการมาหยิบยืมเอาไปใช้ได้ทุกเมื่อ
ตนเองก็ไม่เคยไปคัดค้านแต่ประการใด
และรู้อยู่แล้วว่าบุคคลกลุ่มนี้จะไปร้องขอความเป็นธรรมกับทางจังหวัด
ซึ่งตนเองก็ไม่หวั่น เพราะเรามีหลักฐานทุกอย่างไว้ยืนยันกับทางจังหวัดอยู่แล้ว
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1136 วันที่ 7 - 13 กรกฎาคม 2560)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น