ช่วงนี้ใครๆก็พูดถึงธุรกิจสตาร์ทอัพ (Startup) ซึ่งอาจจะหมายถึงธุรกิจที่ต้องการเติบโตอย่างรวดเร็ว (Growth) และกลายเป็นธุรกิจกระแสสำหรับคนรุ่นใหม่ หรือในวงธุรกิจเกิดใหม่ รวมไปถึงโครงการของรัฐบาลไทยที่กระจายงบประมาณลงมาสนับสนุนให้มีธุรกิจเกิดใหม่ แต่ใช้ศัพท์ ให้เก๋ไก๋ตาม ยุคสมัย และดูเหมือนจะกลายเป็นศัพท์ ที่เรียกแทน “SME”
คำนิยาม “Startup” ที่ดีที่สุดนั้นมาจาก Paul Graham จาก Y
Combinator ศูนย์บ่มเพาะชื่อดัง Top 5 ของโลกในสหรัฐอเมริกา
ที่ได้เขียนไว้ในบทความไว้ตอนหนึ่งว่า “Startup = Growth” หรือ
“การเติบโต” และการเติบโตStartup
ที่ดี จะต้อง “โตเร็ว” อย่างน้อยปีละ 1,000% ขณะที่ “SME” (Small
Medium Enterprises) จะค่อยๆเติบโต ปีละ 30%-50% หรือหากเป็นช่วงเกิดใหม่ก็อาจอยู่ที่ปีละ 100%-200% แต่
ธุรกิจ Startup นั้นมีเป้าหมายที่หากได้น้อยกว่านั้น
ถือว่าธุรกิจ Startup นั้น “ยังไม่โต”
หรืออาจถึงโตยาก ดังนั้นธุรกิจStartup จะต้องเป็นกลุ่มที่มีข้อจำกัดในการเติบโต
เช่น การบริการ เป็นที่ต้องการของตลาดที่มีขนาดใหญ่ และ
มีความสามารถในการเข้าถึงตลาดที่ใหญ่นั้นได้
“โอกาสทางธุรกิจ” ในการตลาดและการขายในยุคนี้
จึงจำเป็นต้องมีศักยภาพด้านการตลาดออนไลน์ เพื่อนำพาธุรกิจของตัวเองเข้าถึงตลาด
ให้มากที่สุด ข้ามขีดจำกัดของการเติบโตให้มากที่สุด
ใครที่เข้าโครงการ Startupของรัฐบาล รวมถึงเจ้าหน้ารัฐเองก็ต้องทำความเข้าใจและต้องเตรียมพร้อม
ให้ก้าวสู่การเป็นธุรกิจที่ “โตเร็ว” ให้จงได้
เท่าที่สัมผัสข้อมูลจากผู้ประกอบการในภาคเหนือ
มักมองตรงกันว่า ความเป็นจริงแล้ว ผู้ประกอบการย่อมปรารถนาจะดีดตัว Startup กัน ทุกกรณี แต่ส่วนใหญ่ก็ขาดความรู้ความเข้าใจในวิธีการดีดตัวให้โตเร็วอย่างที่ว่า
ศักยภาพอาจจะมี แต่ขาด Know how หรือ โอกาสทางตลาด ดังนั้นการอัดฉีด
จึงไม่ใช่แค่การพัฒนาแบบวิชาการ แต่ต้องลงเป็นพี่เลี้ยงอย่างจริงจัง
มากกว่าแค่ไปทำรายงานให้จบว่าดันผู้ประกอบการ Startup แล้ว
เรื่องนี้สถาบันการศึกษาที่รับโครงการ
Startup
ไว้ในมือ รู้ดี ว่าบางทีมันเป็นแค่ผักชีโรยหน้า
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1144 วันที่ 1 - 7 กันยายน 2560)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น