ที่ตำบลนิคมพัฒนา
อำเภอเมืองลำปาง หากมองเผินๆ พื้นที่ที่เรากำลังดุ่มเดินอยู่นี้ ก็คือป่ารกริมทางทั่วไป
แต่หากพินิจอย่างถ้วนถี่จะพบว่ามีอะไรมากกว่านั้น โน่นกล้วยน้ำว้า กล้วยหักมุก มะม่วง
ฝรั่งขี้นก ต้นหว้า นี่ผักเชียงดาขึ้นอยู่เป็นไม้พื้นล่าง
ถัดไปเราเห็นนาข้าวหอมมะลิแดงลดหลั่นลงมาเป็นขั้นบันได
ใบข้าวสีเขียวอ่อนกำลังโอนเอนตามแรงลมต้นฤดูหนาว
ล่างสุดคือสระน้ำที่มีปลานิลแหวกว่ายหลายสิบตัวน้ำในสระใส
เพราะผู้เป็นเจ้าของเลือกที่จะปล่อยพืชคลุมดินไว้ ไม่ให้น้ำชะล้างหน้าดินลงมาจนหมด
ใช่เพียงป่ารกชัฏ
แต่นี่คือรูปแบบเกษตรผสมผสานที่ ธวัชสิทธิ์
งามพันธ์เวชชะกุล เกษตรกรหนุ่มวัย 33 ปี เรียนรู้มาจากอาจารย์ยักษ์
หรือ ดร. วิวัฒน์ ศัลยกำธร ผู้ก่อตั้งศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้อง
จังหวัดชลบุรี ศูนย์การเรียนรู้ที่สานต่อศาสตร์พระราชาให้เป็นรูปธรรมและสัมฤทธิ์ผล
หลังลาออกจากโรงงานผลิตยางรถยนต์ชื่อดัง
เพราะไม่เห็นด้วยกับระบบที่ไม่เอื้อต่อคุณภาพชีวิตของคนงาน บัณฑิตหนุ่มจากภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์(หลักสูตรนานาชาติ) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ศูนย์รังสิต ตัดสินใจไปทำงานต่างประเทศ หวังเก็บเงินซื้อที่ดินต่างจังหวัดทำการเกษตรอย่างใจฝัน
ครั้นเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง ธวัชสิทธิ์ก็กลับเมืองไทยแล้วมุ่งหน้าไปอบรมด้านการเกษตรกับอาจารย์ยักษ์
ผู้ทำงานใกล้ชิดกับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
จากแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ท่าน อาจารย์ยักษ์อยากให้ทุกคนรู้ว่า
ทฤษฎีนี้ทำได้จริงและเห็นผล จึงก่อตั้งศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้องให้ประชาชนทั่วไปได้สมัครเข้าอบรมด้านการเกษตร
นั่นรวมถึงธวัชสิทธิ์ที่ซึมซับศาสตร์ของพระราชามาอย่างเต็มเปี่ยม เขาตระเวนหาซื้อที่ดินทั่วจังหวัดลำปาง ก่อนจะมาถูกใจที่ดินในตำบลนิคมพัฒนาจึงร่วมกับเพื่อนซื้อที่ดิน
24 ไร่ผืนนี้ ฤดูกาลผ่านผัน เขาลงมือเก็บข้อมูลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมในทุกด้าน
เพื่อนำมาใช้ออกแบบพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
“ผมชอบเกษตรผสมผสาน
ตรงที่มันเกื้อกูลตนเองและผู้อื่นครับ” ธวัชสิทธิ์เปรย เรานั่งคุยกันในศาลาพักร้อนหลังเล็กๆ
มองเห็นผืนนา 2
ไร่ ที่ให้ข้าวสำหรับ 4 คนกินได้พอดีตลอด 1
ปี สระน้ำ กับต้นไม้เขียวขจีรายรอบ
หลังลงต้นไม้ตามหลักการที่ได้เรียนรู้มา
ธวัชสิทธิ์อยากเลี้ยงสัตว์สักชนิด เขาคิดถึงการเลี้ยงผึ้ง เพราะนอกจากไม่ต้องเหนื่อยมากแล้ว
ผึ้งยังช่วยผสมเกสรให้พรรณไม้ต่างๆในที่ดินอีกด้วย
เขาจึงไปอบรมกับศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรด้านแมลงเศรษฐกิจ จังหวัดเชียงใหม่
และเริ่มเลี้ยงผึ้งพันธุ์ในปี 2559
“ก่อนตัดสินใจเลี้ยงผึ้ง
อันดับแรกเลยคือ ต้องดูว่าเราแพ้พิษผึ้งหรือเปล่าครับ” ธวัชสิทธิ์พูดพลางหัวเราะ
“หลังจากนั้นค่อยดูว่ามีแหล่งอาหารเพียงพอสำหรับเขาไหม ในรัศมี 5 กิโลเมตร
ซึ่งเป็นระยะที่ผึ้งบินหากินนั้น มีการใช้ยาฆ่าแมลงหรือเปล่า เพราะผึ้งอ่อนไหวกับสารพิษมาก
และในละแวกใกล้เคียงมีชุมชนไหนเปิดไฟสว่างไสวในช่วงเย็นหรือไม่
(ช่วงเย็นคือเวลาที่ผึ้งบินกลับรัง หากมีแสงไฟผึ้งจะแวะเล่นไฟจนมืดค่ำและกลับรังไม่ถูก)
ข้อสุดท้าย ต้องมีร่มไม้รำไรที่แสงแดดส่องถึงสำหรับตั้งรังผึ้ง จริงๆ ผึ้งไม่ชอบฝน
ภายในรังต้องมีอุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส
และเราจะต้องหันหน้ารังผึ้งไปทางทิศตะวันออกเสมอ” ปีที่แล้วธวัชสิทธิ์นำผึ้งมาเลี้ยง
5 กล่อง ทุกวันนี้เขามีรังผึ้ง11 กล่องแล้ว
นั่นหมายความว่า การเลี้ยงผึ้งกำลังไปได้สวย
ด้วยจำนวนผึ้งเพียงเท่านี้
หากจะมองในแง่อุตสาหกรรมยังดูเล็กจ้อย แต่สำหรับธวัชสิทธิ์ดูเหมือนเขาจะพอใจ
เพราะน้ำผึ้งอันเป็นผลผลิตจากประชากรผึ้งของเขานั้น
เต็มไปด้วยคุณสมบัติของน้ำผึ้งแท้ มันคือน้ำผึ้งที่ไม่ผ่านกระบวนการไล่ความชื้น
ซึ่งกระบวนการดังกล่าวต้องใช้ความร้อนสูง จึงทำให้จุลินทรีย์ เอนไซม์
และวิตามินเสียไป น้ำผึ้งของธวัชสิทธิ์จะว่าไปก็คือน้ำผึ้งแฮนด์เมด เขาใช้วิธีรอให้ผึ้งปิดฝารวงก่อน
ซึ่งก็คือรอให้น้ำผึ้งสุกดี น้ำผึ้งที่สุกดีแล้วไม่จำเป็นต้องไล่ความชื้น
แต่ก็อีกนั่นแหละ กว่าจะปิดฝารวงต้องใช้เวลา 3 สัปดาห์ถึง 1 เดือน ตรงนี้นี่เองที่ฟาร์มผึ้งใหญ่ๆรอไม่ได้
และจะเก็บรังผึ้งไปโดยเอาไปผ่านกระบวนการไล่ความชื้น เพื่อไม่ให้น้ำผึ้งเน่าเสีย
ทว่าน้ำผึ้งเหล่านั้นก็สูญเสียประโยชน์ที่แท้จริงไปด้วยอย่างน่าเสียดาย สำหรับธวัชสิทธิ์
น้ำผึ้งที่ดีควรค่าแก่การรอคอย เมื่อเห็นว่าผึ้งปิดฝารวงแล้ว เขาจึงจะยกคอนที่มีแต่รังนำไปตัดเป็นชิ้นๆ
ใช้มือบีบน้ำผึ้งให้ไหลลงตัวกรอง จากนั้นบรรจุขวด น้ำผึ้งของเขาเก็บได้มากกว่า 3
ปีไม่เพียงเท่านั้น น้ำผึ้งบางส่วนยังถูกแบ่งไปทำสบู่ขมิ้นชันและกล้วยอบน้ำผึ้ง
ส่วนขี้ผึ้งที่เหลือเขามีแผนที่จะนำไปทำลิปบาล์ม ยาหม่อง และเทียนหอมในอนาคต
ธวัชสิทธิ์พาเราเดินไปยังรังผึ้งที่เขาตั้งไว้ใต้ร่มเงาต้นมะม่วงใหญ่
มองเห็นกล่องสีขาวเรียงรายสงบนิ่ง หากเข้าไปดูใกล้ๆ เราจะได้ยินเสียงหึ่งๆอยู่ด้านใน
และผึ้งงานที่ทำหน้าที่ปกป้องรังก็ออกันอยู่ตรงทางเข้า-ออก ผึ้งงานมีวงจรชีวิต 60 วัน
ผึ้งตัวผู้มีอายุ 40-50 วัน ส่วนผึ้งนางพญาอาจอยู่ได้ถึง 3
ปี ชีวิตของพวกมันช่างแสนสั้น แต่ทว่าระหว่างนั้น มันได้ทำประโยชน์ให้โลกใบนี้อย่างมหาศาล
ผึ้งจะออกหากินตั้งแต่แสงแรกยามเช้า
ไปจนถึงก่อนพลบค่ำ ระหว่างวันพวกมันจะเก็บเกสรดอกไม้และน้ำหวานมาไว้ที่รัง
น้ำผึ้งของธวัชสิทธิ์หมุนเวียนไปตามฤดูกาลของดอกไม้ ช่วงไหนดอกลำไยบาน
เขาจะได้น้ำผึ้งดอกลำไย ช่วงไหนดอกไม้ในสวนบาน เช่น ดอกสาบเสือ ดอกปืนนกไส้ (ดอกหญ้าไต้หวัน)
ดอกกระถินเทพา ดอกไมยราบ ฯลฯ ก็จะเป็นน้ำผึ้งสวนผสม
ซึ่งลูกค้าชื่นชอบและไม่ค่อยพบเห็นจากที่อื่น
ทุกวันเสาร์ธวัชสิทธิ์จะวางมือจากงานในสวน
เพื่อมาตรวจรังผึ้งทั้ง 11
รัง โดยอาจใช้เวลาตั้งแต่เช้าจดเย็นเขามักนำกล้วยติดมือมาฝากผึ้งด้วย
หากยกคอนขึ้นแล้วพบไร ซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของผึ้ง เขาจะใช้กรดฟอร์มิก
ซึ่งเป็นกรดอินทรีย์ที่สลายตัวในอากาศ ไม่ตกค้าง เพื่อฆ่าไร หากเก็บน้ำผึ้งได้ก็จะเก็บ
แต่หากยังไม่มีออเดอร์และเป็นช่วงฤดูฝน เขาจะไม่รบกวนผึ้ง
เพราะฤดูฝนเป็นช่วงที่ผึ้งออกหากินไม่ได้เต็มที่นัก การเก็บน้ำผึ้งช่วงนี้จะทำให้รังผึ้งทรุด
ทุกวันนี้
น้ำผึ้งจากสวนของธวัชสิทธิ์ใช้ชื่อแบรนด์ว่า “Beeple” ล้อกับคำว่า
“People” ในความหมายก็คือ ประชากรผึ้งนั่นเอง มีวางจำหน่ายที่ตลาด We
Market พื้นที่สำหรับคนรักสุขภาพ ทุกวันอาทิตย์แรกและวันอาทิตย์ที่สามของเดือน
หากลูกค้านำขวดเปล่ามาคืนจะได้รับส่วนลด 5 บาทอีกด้วย
เราถอดหมวก
ซึ่งคลุมด้วยตาข่ายสำหรับกันผึ้ง บรรจงวางกล้วยน้ำว้าปอกเปลือกลงในรังของสิ่งมีชีวิตเล็กๆ
ที่แสนเปราะบาง หากเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ผึ้งจะไม่ตื่น มันไม่น่ากลัวอย่างที่เราคิดสักนิด
ธวัชสิทธิ์บอกว่า ผึ้งจำหน้าคนเลี้ยงได้ด้วยซ้ำ
จากจุดที่วางรังผึ้ง
เราเดินสำรวจสวนผสมกันต่อ เหมือนเดินอยู่ในป่า
แต่เป็นป่าที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความหวัง ท่ามกลางไม้ผลนานาชนิด
ชายร่างสูงเดินนำหน้า แม้เขาจะไม่ได้ตัดถนนเข้าสวนอย่างทั่วถึง แต่ดูเหมือนว่า
เกษตรกรรุ่นใหม่คนนี้มีรอยทางที่ชัดเจนสำหรับเดินตาม
เป็นรอยทางที่พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์หนึ่งได้ทรงบุกเบิกไว้เมื่อนานมาแล้ว
กุลธิดา
สืบหล้า...เรื่อง
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1151 วันที่ 20 - 26 ตุลาคม 2560)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น