วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ล่า

จำนวนผู้เข้าชม my widget for counting

กุลธิดา สืบหล้า...เรื่อง
           
“ล่า” ไม่เพียงชื่อละครทีวีที่นำมารีเมกเมื่อไรก็ดังเปรี้ยงปร้าง แต่หมายถึงพฤติกรรมของคนในสังคมบางกลุ่มที่กำลังครึกโครมอยู่ขณะนี้ ซึ่งมันทำให้นักนิยมธรรมชาติหัวใจสลาย

เรากำลังพูดถึงสัญชาตญาณดิบเถื่อนบางอย่างของมนุษย์ นั่นคือการล่า

ในสังคมป่า การล่าคือสัญชาตญาณดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดของบรรดาสัตว์กินเนื้อ ขณะเดียวกัน การล่าของเหล่าสัตว์กินเนื้อ ก็คือเรื่องของธรรมชาติจัดสรรให้เป็นการควบคุมประชากรของเหล่าสัตว์กินพืชไม่ให้มีมากจนเกินไป ทั้งนี้ เพื่อรักษาสมดุลของป่าที่มีมาเนิ่นนาน

ในสังคมมนุษย์ เราพัฒนามาไกลมากแล้ว เพียงพอที่จะทิ้งการล่าไว้เบื้องหลัง มีหลายอย่างมากมายที่ตอบสนองมนุษย์เกินกว่าที่จะย้อนกลับไปในวิถีแห่งอดีต

ท่ามกลางความจ้อกแจ้กจอแจของตลาดเก๊าจาว เราพบตัวเองหยุดยืนอยู่หน้าร้านขายสัตว์นานาชนิดที่เข้าใจว่า คงขายคนใจบุญเพื่อซื้อนำไปปล่อย นกกระติ๊ดขี้หมูถูกจับยัดอยู่ในกรงไม้แคบ ๆ กระพือปีกพึ่บพั่บไม่หยุดหย่อน ความโกลาหลในกรงทำเราเบือนหน้าหนี

ถัดจากแผงขายสัตว์เป็น เราพบร่างไร้วิญญาณของกระรอก หนู และนกกระทา วางอยู่ในถาดพลาสติก ทั้งหมดถูกถลกหนังย่างเรียบร้อย กระรอกตัวเขื่อง 2 ตัว ราคาตัวละ 80 บาท ทั้งสองนอนอยู่เคียงข้างกัน หากมันยังมีชีวิตอยู่คงเป็นภาพที่น่ามองกว่านี้

ไม่ไกลกันนัก ร้านหัวมุมมีร่างนกนอนก่ายเกยกันหลายตัว ถลกหนัง ย่างแล้ว นกเขาพม่าตัวละ 40 บาท ภาพที่มันอยู่เป็นคู่ เดินดุ่ม ๆ จิกโน่นจิกนี่อยู่ตามพื้นดินผุดขึ้นมา

ไม่เพียงตลาดเก๊าจาว ตลาดอื่น ๆ ก็เช่นกัน เราเคยพบทั้งตัวอ้น เต่า นกกวัก นกกระเต็นอกขาว นกกระเต็นน้อยธรรมดา ทั้งที่ยังมีชีวิตและไร้วิญญาณ ผู้คนเดินผ่านไปมา ไม่แม้แต่จะมองแววตาแห่งความตื่นกลัวของสิ่งมีชีวิตในกรงนั่น อาจเพราะเราชินชากับคำว่า “ก็นี่มันวิถีชีวิต”

ทุกวันนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า เรามีโปรตีนมากมายมหาศาลให้เลือกกิน อีกทั้งยังไม่ทำลายระบบนิเวศที่แสนเปราะบาง ซึ่งมีมาก่อนเราเกิดเสียอีก

บ้านของเราอยู่ริมแม่น้ำวัง เคยห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ทุกวันนี้ ต้นฉำฉา ต้นสัก ต้นมะขาม ทยอยถูกตัดลงจนเหลือต้นไม้ใหญ่ไม่มากแล้ว หิ่งห้อยยามค่ำคืนน้อยลง เพราะพงหญ้ารกร้างว่างเปล่าถูกถมเพื่อสร้างที่อยู่อาศัย เสียงนกเค้าจุดที่เคยกู่ร้องยามค่ำคืนค่อย ๆ จางหาย กระรอกตัวใหญ่ที่เคยกระโดดไล่กันบนต้นฉำฉาไม่มีอีก

ทางลูกรังเล็ก ๆ หน้าบ้านพาคนแปลกหน้าเข้ามามากมาย บางคนสะพานปืนอัดลมมาด้วย สิ้นเสียงปืน ชีวิตหนึ่งหลุดลอย ยามค่ำ เสียงมอเตอร์ไซค์กับแสงไฟฉายสาดส่องไปตามยอดไม้ สิ้นเสียงปืน ชีวิตหนึ่งดับสูญ แล้วยังอีกไม่รู้กี่ชีวิตที่อยู่เบื้องหลัง

เราเคยถามลุงแถวบ้านว่าเคยเห็นคนพวกนี้ไหม ลุงตอบว่า “พวกยิงนก ช่างเขาเถอะ เขาเอาไปกิน”

คำพูดนี้ เหนี่ยวรั้งให้เรากลับไปสำรวจคำว่า วิถีชีวิต พาเราย้อนกลับไปสู่ยุคดึกดำบรรพ์ที่พวกผู้ชายยังต้องสะพายปืนบ่ายหน้าเข้าป่า ล่าสัตว์กลับมาให้ลูกเมียกิน ทั้ง ๆ ที่ทุกวันนี้ เรามีทางเลือกที่แสนสะดวกสบาย ตอบสนองปากท้องของเราได้ดียิ่งกว่า สำคัญกว่านั้น เราเพียงอยากรู้ว่า การสะพายปืนลมไทยประดิษฐ์อย่างเปิดเผยในที่สาธารณะ และมีวัตถุประสงค์เพื่อทารุณกรรมสัตว์นั้น ผิดกฎหมายหรือไม่ ตราบใดที่เรายังมีคำว่า “วิถีชีวิต” ค้ำคออยู่

นี่แค่เรื่องราวการล่าระดับหมู่บ้าน แน่นอนว่าการล่าในป่าที่มีดีกรีเป็นถึงมรดกโลกอย่างทุ่งใหญ่นเรศวรนั้น จะไม่ให้เป็นมหากาพย์ได้อย่างไร

เรากำลังตอบสนองสัญชาตญาณดิบเถื่อน โดยไม่รู้สึกเลยว่า มันได้ลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งคุณค่านั้นเอง ที่บ่งชี้ให้เราแตกต่างจากเดรัจฉาน

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1166 วันที่ 9 - 15 กุมภาพันธ์ 2561)
Share:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์