กุลธิดา สืบหล้า...เรื่อง
“ล่า”
ไม่เพียงชื่อละครทีวีที่นำมารีเมกเมื่อไรก็ดังเปรี้ยงปร้าง
แต่หมายถึงพฤติกรรมของคนในสังคมบางกลุ่มที่กำลังครึกโครมอยู่ขณะนี้
ซึ่งมันทำให้นักนิยมธรรมชาติหัวใจสลาย
เรากำลังพูดถึงสัญชาตญาณดิบเถื่อนบางอย่างของมนุษย์
นั่นคือการล่า
ในสังคมป่า
การล่าคือสัญชาตญาณดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดของบรรดาสัตว์กินเนื้อ ขณะเดียวกัน
การล่าของเหล่าสัตว์กินเนื้อ
ก็คือเรื่องของธรรมชาติจัดสรรให้เป็นการควบคุมประชากรของเหล่าสัตว์กินพืชไม่ให้มีมากจนเกินไป
ทั้งนี้ เพื่อรักษาสมดุลของป่าที่มีมาเนิ่นนาน
ในสังคมมนุษย์ เราพัฒนามาไกลมากแล้ว
เพียงพอที่จะทิ้งการล่าไว้เบื้องหลัง
มีหลายอย่างมากมายที่ตอบสนองมนุษย์เกินกว่าที่จะย้อนกลับไปในวิถีแห่งอดีต
ท่ามกลางความจ้อกแจ้กจอแจของตลาดเก๊าจาว
เราพบตัวเองหยุดยืนอยู่หน้าร้านขายสัตว์นานาชนิดที่เข้าใจว่า คงขายคนใจบุญเพื่อซื้อนำไปปล่อย
นกกระติ๊ดขี้หมูถูกจับยัดอยู่ในกรงไม้แคบ ๆ กระพือปีกพึ่บพั่บไม่หยุดหย่อน
ความโกลาหลในกรงทำเราเบือนหน้าหนี
ถัดจากแผงขายสัตว์เป็น
เราพบร่างไร้วิญญาณของกระรอก หนู และนกกระทา วางอยู่ในถาดพลาสติก
ทั้งหมดถูกถลกหนังย่างเรียบร้อย กระรอกตัวเขื่อง 2 ตัว
ราคาตัวละ 80 บาท ทั้งสองนอนอยู่เคียงข้างกัน
หากมันยังมีชีวิตอยู่คงเป็นภาพที่น่ามองกว่านี้
ไม่ไกลกันนัก
ร้านหัวมุมมีร่างนกนอนก่ายเกยกันหลายตัว ถลกหนัง ย่างแล้ว นกเขาพม่าตัวละ 40 บาท ภาพที่มันอยู่เป็นคู่ เดินดุ่ม ๆ จิกโน่นจิกนี่อยู่ตามพื้นดินผุดขึ้นมา
ไม่เพียงตลาดเก๊าจาว ตลาดอื่น ๆ ก็เช่นกัน
เราเคยพบทั้งตัวอ้น เต่า นกกวัก นกกระเต็นอกขาว นกกระเต็นน้อยธรรมดา ทั้งที่ยังมีชีวิตและไร้วิญญาณ
ผู้คนเดินผ่านไปมา ไม่แม้แต่จะมองแววตาแห่งความตื่นกลัวของสิ่งมีชีวิตในกรงนั่น
อาจเพราะเราชินชากับคำว่า “ก็นี่มันวิถีชีวิต”
ทุกวันนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า
เรามีโปรตีนมากมายมหาศาลให้เลือกกิน อีกทั้งยังไม่ทำลายระบบนิเวศที่แสนเปราะบาง
ซึ่งมีมาก่อนเราเกิดเสียอีก
บ้านของเราอยู่ริมแม่น้ำวัง
เคยห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ทุกวันนี้ ต้นฉำฉา ต้นสัก ต้นมะขาม ทยอยถูกตัดลงจนเหลือต้นไม้ใหญ่ไม่มากแล้ว
หิ่งห้อยยามค่ำคืนน้อยลง เพราะพงหญ้ารกร้างว่างเปล่าถูกถมเพื่อสร้างที่อยู่อาศัย
เสียงนกเค้าจุดที่เคยกู่ร้องยามค่ำคืนค่อย ๆ จางหาย
กระรอกตัวใหญ่ที่เคยกระโดดไล่กันบนต้นฉำฉาไม่มีอีก
ทางลูกรังเล็ก ๆ
หน้าบ้านพาคนแปลกหน้าเข้ามามากมาย บางคนสะพานปืนอัดลมมาด้วย สิ้นเสียงปืน
ชีวิตหนึ่งหลุดลอย ยามค่ำ เสียงมอเตอร์ไซค์กับแสงไฟฉายสาดส่องไปตามยอดไม้
สิ้นเสียงปืน ชีวิตหนึ่งดับสูญ แล้วยังอีกไม่รู้กี่ชีวิตที่อยู่เบื้องหลัง
เราเคยถามลุงแถวบ้านว่าเคยเห็นคนพวกนี้ไหม
ลุงตอบว่า “พวกยิงนก ช่างเขาเถอะ เขาเอาไปกิน”
คำพูดนี้ เหนี่ยวรั้งให้เรากลับไปสำรวจคำว่า
วิถีชีวิต
พาเราย้อนกลับไปสู่ยุคดึกดำบรรพ์ที่พวกผู้ชายยังต้องสะพายปืนบ่ายหน้าเข้าป่า
ล่าสัตว์กลับมาให้ลูกเมียกิน ทั้ง ๆ ที่ทุกวันนี้ เรามีทางเลือกที่แสนสะดวกสบาย
ตอบสนองปากท้องของเราได้ดียิ่งกว่า สำคัญกว่านั้น เราเพียงอยากรู้ว่า การสะพายปืนลมไทยประดิษฐ์อย่างเปิดเผยในที่สาธารณะ
และมีวัตถุประสงค์เพื่อทารุณกรรมสัตว์นั้น ผิดกฎหมายหรือไม่
ตราบใดที่เรายังมีคำว่า “วิถีชีวิต” ค้ำคออยู่
นี่แค่เรื่องราวการล่าระดับหมู่บ้าน
แน่นอนว่าการล่าในป่าที่มีดีกรีเป็นถึงมรดกโลกอย่างทุ่งใหญ่นเรศวรนั้น
จะไม่ให้เป็นมหากาพย์ได้อย่างไร
เรากำลังตอบสนองสัญชาตญาณดิบเถื่อน
โดยไม่รู้สึกเลยว่า มันได้ลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งคุณค่านั้นเอง
ที่บ่งชี้ให้เราแตกต่างจากเดรัจฉาน
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1166 วันที่ 9 - 15 กุมภาพันธ์ 2561)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น