ภายในเพิงเล็กๆ นั้น นอกจากไออุ่นจากเตาเผาข้าวหลามแบบโบราณแล้ว ก็เห็นจะได้กลิ่นหอมอวลอ่อนๆ นี่ล่ะ...ที่บ่งบอกว่า นี่คือข้าวหลามแม่คำมูลของแท้ ซึ่งจะว่าไป ข้าวหลามเจ้านี้มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เลยทีเดียว
นิธิวดี สุพรมอินทร์ ทายาทรุ่นที่
4 ของข้าวหลามแม่คำมูล ในวัย 50 ปี เล่าย้อนไปถึงสมัยทวดของเธอ
คือ ยายม้วน ซึ่งอาศัยอยู่ที่บ้านหม้อเมื่อปี พ.ศ. 2485 ตรงกับช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สมัยนั้นทหารญี่ปุ่นมาตั้งค่ายพักอยู่ข้างบ้านยายม้วน
เมื่อเห็นคุณยายปลูกผักปลูกผลไม้อุดมสมบูรณ์ ตนเองมีแต่อาหารกระป๋อง
จึงเริ่มผูกมิตรกับคุณยาย ยายม้วนเองก็แบ่งปันพวกของสดและพืชผักให้ทหารญี่ปุ่น จนกลายเป็นมิตรที่ดีต่อกัน
ฝ่ายทหารขอตัดต้นไผ่ไปหุงข้าวบ้าง ใส่น้ำดื่มบ้าง
ยายม้วนเห็นทหารญี่ปุ่นใช้ไม้ไผ่หุงข้าวได้ก็สนใจ ทหารจึงสอนเคล็ดลับให้
ใช่เพียงหุงข้าวกิน แต่ยายม้วนทดลองใส่ข้าวเหนียว เกลือ น้ำตาล แล้วเอาไปนึ่งดู
ปรากฏว่า ได้ของหวานกินเล่นแสนอร่อยให้กับครอบครัว และนี่คือจุดเริ่มต้นของข้าวหลามเจ้าแรกของลำปางในเวลาต่อมา
เปลี่ยนผ่านมาถึงรุ่นยายคำมูล
ซึ่งนับเป็นรุ่นที่ 2
สงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติแล้ว
ครอบครัวย้ายจากบ้านหม้อมาอยู่ ณ ที่อยู่ปัจจุบันบนถนนเจริญประเทศ
ยายคำมูลยังคงจำสูตรการทำข้าวหลามของยายม้วนได้ แต่เอามาดัดแปลงนิดหน่อย
คือนอกจากข้าวเหนียว เกลือ น้ำตาลแล้ว ลองใส่กะทิลงไปด้วย ปรากฏว่าหอมอร่อย ยิ่งสมัยนั้นไม้ไผ่ยังสมบูรณ์
จึงมีเยื่อหนา ทำข้าวหลามได้อย่างเหมาะเจาะเหลือเกิน ยายคำมูลทำข้าวหลามขายหน้าบ้าน
นับเป็นข้าวหลามเจ้าแรกในลำปางก็ว่าได้ ขายดิบขายดีเป็นที่ถูกใจลูกค้า
“ตอนนั้นคุณยายยังไม่ได้ตั้งชื่อร้าน
จนกระทั่งช่วงสมเด็จย่าฯ(สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี) เสด็จพระราชดำเนินมาหาหลวงพ่อเกษม
คุณยายก็ทำข้าวหลามไปถวาย สมเด็จย่าฯถามว่าข้าวหลามที่ไหน คุณยายบอกว่าทำเอง
ท่านก็ถามว่ามีชื่อร้านไหม คุณยายบอกว่ายังไม่มี ท่านจึงถามว่า แล้วคุณยายชื่ออะไร
ถ้าอย่างนั้นก็ใช้ชื่อข้าวหลามแม่คำมูลก็แล้วกัน” นิธิวดีพูดถึงที่มาของชื่อร้านอันน่าภูมิใจ
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ข้าวหลามแม่คำมูลเริ่มเป็นที่รู้จักแพร่หลายในแวดวงหน่วยงานราชการ
“รถยนต์นี่จอดรอคิวซื้อข้าวหลามยาวเหยียดเลยค่ะ ขายกันไม่ทัน” ทายาทรุ่นที่ 4 เล่าพลางยิ้ม
มาถึงรุ่นแม่ละไม
ทายาทรุ่นที่ 3
ซึ่งเป็นแม่ของนิธิวดี จากเดิมมีแต่กะทิ-ถั่วดำ
แม่ละไมเพิ่มสูตรข้าวหลามสังขยาขึ้นมาใหม่ นอกเหนือจากนี้ สูตรที่ใช้ก็ยังคงสืบทอด
ไม่ได้ดัดแปลงให้ผิดแผกแตกต่างจากรุ่นแม่คำมูล
ส่วนนิธิวดีในตอนนั้นจากบ้านไปเรียนหนังสือที่เชียงใหม่ ก่อนจะกลับมาดูแลแม่
และต่อมาก็ได้สืบทอดกิจการข้าวหลามแม่คำมูลต่อจากแม่ละไมในปี พ.ศ. 2545
“จริงๆเราเห็นเขาทำข้าวหลามกันตั้งแต่รุ่นคุณยายแล้วล่ะ
ตอนนั้นก็ช่วยปอกมะพร้าว คั้นกะทิ นี่งานหลักของเราเลย” นิธิวดีว่า แม้เธอจะเป็นรุ่นที่
4 แล้ว แต่ยังคงรักษาสูตรการทำข้าวหลามแบบดั้งเดิมทุกอย่าง ตั้งแต่การสั่งไม้ไผ่เจ้าประจำจากอำเภอแจ้ห่ม
อำเภองาว ทว่าด้วยสภาพธรรมชาติที่เปลี่ยนไป ต้นไผ่เริ่มน้อยลง
ที่มีบางครั้งก็ไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้เยื่อไผ่ไม่หนาเหมือนสมัยก่อน
เวลากินเมื่อฉีกกระบอกออกทำให้ข้าวติดเละเทะ นิธิวดีแก้ปัญหานี้ด้วยการทำ
“ข้าวหลามช็อต” เสียเลย
นั่นคือสั่งตัดไม้ไผ่แบ่งตามข้อ
จะได้บ้องไม้ไผ่สั้นๆ คล้ายกระบอกน้ำ เวลากินเพียงใช้ช้อนที่ ธนพล สุพรมอินทร์
บรรจงเหลาจากไม้ไผ่ที่เหลือ ทำให้การกินข้าวหลามง่ายดายขึ้น
นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นซิกเนเจอร์ของข้าวหลามแม่คำมูลก็ว่าได้
ทุกๆวันข้าวหลามกว่า 300 กระบอกคือผลิตผลจากเพิงเล็กๆริมถนนแห่งนี้
นิธิวดีและธนพลต้องตื่นตั้งแต่ตี 3 เพื่อมาเช็ดกระบอกไม้ไผ่
จากนั้นกรอกข้าวและถั่วดำที่แช่ไว้ตั้งแต่เมื่อวานเย็น ตามด้วยกะทิคั้นสด
น้ำตาลอ้อย และเกลือ ที่เคี่ยวจนเดือดทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อวานเย็นเช่นกัน ทั้งนี้
กะทิจะใช้มะพร้าวจากภาคใต้เท่านั้น เพราะมีความหวานมันเป็นเอกลักษณ์
เมื่อกรอกใส่กระบอกไม้ไผ่ก็จะนำไปเผาเตาถ่านแบบโบราณ ซึ่งตั้งอยู่กลางร้านนั่นเอง
และต้องคอยกลับทุกครึ่งชั่วโมงจนกะทิแตกมัน กินเวลาเฉพาะการเผาราวๆ 3 ชั่วโมง
“ถ้าได้ถ่านไม้มะขาม
หรือไม้ลำไยจะดีมากครับ ทุกวันนี้นอกจากไม้ไผ่จะหายากแล้ว ถ่านก็หายากเช่นกัน” ธนพลพูดขณะเหลาช้อนไม้พายเล็กๆ
ที่ลูกค้าหลายคนชื่นชอบ
ไม่น่าเชื่อว่า
ข้าวหลามยังคงเป็นของหวานที่ได้รับความนิยมไม่ตกยุคสมัย นิธิวดีบอกว่า
หลายหน่วยงานมาติดต่อนำข้าวหลามไปจัดเบรกแทนเบเกอรี นอกจากขายหน้าร้าน ทำส่งร้านเจ้าประจำแล้ว
เธอก็มีออเดอร์อยู่เนืองๆ บางวันเด็กนักเรียนมาดูงาน มีนักท่องเที่ยวมาถ่ายรูป
หนังสือต่างประเทศมาขอสัมภาษณ์ มีลูกค้าซื้อไปกินที่ญี่ปุ่น สวีเดน อเมริกา ฯลฯ
จากส่วนผสมแค่เพียงข้าวเหนียว เกลือ น้ำตาล
เมื่อสมัยยายม้วนยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ปัจจุบันข้าวหลามแม่คำมูลมีข้าวหลามกะทิ-ถั่วดำ
กะทิ-งาดำ สังขยา บางวันก็มีมะพร้าวอ่อนและฟักทอง
ส่วนฤดูหนาวพิเศษตรงที่มีงาขี้ม้อนด้วย ราคาตั้งแต่ 25-40 บาท
เป็นข้าวหลามที่เก็บในตู้เย็นได้ถึง 3 วัน
โดยไม่ใส่สารกันบูด เพราะกะทินั้น ถูกเคี่ยวจนเดือดแล้วนั่นเอง
เกือบ 9 โมงเช้าแล้วตอนที่ธนพลลุกขึ้นไปเปิดแผ่นสังกะสีบนเตาที่ก่อยาวเหยียด
เพื่อหันกระบอกข้าวหลามด้านที่ยังเขียวอยู่ให้เข้าใกล้ไฟ เขาว่าอีกพักใหญ่ๆ
นั่นล่ะกว่าจะได้ที่ กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมา กลิ่นของค่ำคืนที่ทุกคนในครอบครัวล้อมวงเผาข้าวหลามยามหนาวเหน็บ
แบ่งกันกินอย่างเอร็ดอร่อย แม้มีเพียงข้าว เกลือ และน้ำตาล ข้าวหลามจึงไม่เพียงของกินเล่นดาดๆ
สำหรับบางคน มันคือของหวานจากครัวไฟในวันหนาว
ที่เรียกความทรงจำคืนมาได้อย่างแจ่มชัด
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1168 วันที่ 23 กุมภาพันธ์ - 1 มีนาคม 2561)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น