
3
ปีที่รอคอยไม่เป็นผล หลังกลุ่มผู้ป่วยแม่เมาะยื่นศาลตีความคดีสนามกอล์ฟ-สวนรุกขฯ
ศาลสูงสุดพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ระบุ กฟผ.ดำเนิ นการตามคำสั่งศาลทุกขั้นตอนแล้ว
จากกรณีการฟ้องร้องกันระหว่างกลุ่มชาวบ้าน
จำนวน 318 คน ยื่นฟ้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมกับพวกรวม
11 คน ซึ่งหนึ่งในผู้ถูกฟ้องมีการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเป็นจำเลยที่
7 กรณีที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยแม่เมาะ
ละเลย ไม่ปฏิบัติตามวิธีการทำเหมืองแร่ และเงื่อนไขแนบท้ายประทานบัตร
และรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA
ไม่ถูกต้อง กระทั่ง
วันที่ 10 ก.พ.58 ศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งให้
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยแม่เมาะ
ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการฟื้นฟูขุมเหมืองให้ใกล้เคียงกับสภาพเดิมตามธรรมชาติ
โดยถมดินกลับไปในบ่อเหมืองให้มากที่สุดและให้ปลูกป่าทดแทน
เฉพาะในส่วนที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยแม่เมาะ
นำพื้นที่ที่ต้องฟื้นฟูขุมเหมืองไปทำเป็นสวนพฤกษชาติและสนามกอล์ฟ และจะต้องดำเนินการภายใน 90 วัน
นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา
ขณะที่นายวิโรจน์
ช่างสาร ทนายความจากสภาทนายความ ซึ่งเป็นตัวแทนผู้ฟ้องคดี
ได้ติดตามการดำเนินการตามคำสั่งศาลปกครองของ กฟผ.แม่เมาะ
พบว่ามีการแก้ไขมาตรการใหม่หมดทุกข้อ
ทางฝ่ายผู้ฟ้องจึงขอสงวนสิทธิในการให้ความเห็นชอบทั้งหมด
เนื่องจากเห็นว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาของศาล
จึงไม่สามารถที่จะยอมรับในเงื่อนไขดังกล่าวได้
โดยนำเรื่องทั้งหมดที่ผู้ถูกฟ้องเสนอไปยื่นต่อศาลในวันที่ 26 ก.ย.58
ให้เป็นผู้วินิจฉัยในเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง ใน 3 ประเด็น คือ
ประเด็นการจัดตั้งคณะทำงานระดับท้องถิ่นและผู้เชี่ยวชาญร่วมกันพิจารณาในการอพยพหมู่บ้าน
ผู้แทนผู้ฟ้องคดีไม่ได้ร่วมเป็นคณะทำงานมีความชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ประเด็นที่ 2
การดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายงานการป้องกันและผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดต้องปฏิบัติเช่นไร
เป็นไปตามรายงานปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นหรือไม่อย่างไร
และประเด็นที่ 3 กฟผ.ปฏิบัติตามคำสั่งศาลครบถ้วนหรือไม่
กรณีการฟื้นฟูขุมเหมืองบริเวณสวนพฤกษชาติและสนามกอล์ฟ
ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ก.ย.61 ที่ผ่านมา ศาลปกครองเชียงใหม่
ได้อ่านคำสั่งศาลปกครองสูงสุด
กรณีที่กลุ่มผู้ฟ้องยื่นเรื่องให้ศาลวินิจฉัยในประเด็นต่างๆอีกครั้ง ซึ่งศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลปกครองชั้นต้นในทุกประเด็น
ประเด็นที่ 1
การจัดตั้งคณะกรรมการระดับท้องถิ่นและผู้เชี่ยวชาญร่วมกันพิจารณาในการอพยพราษฎรที่ได้รับผลกระทบ
ศาลเห็นว่า ข้อเท็จจริงปรากฏว่า
ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง ได้มีคำสั่งจังหวัดลำปางที่ 1244/2558 วันที่ 17 เม.ย.58 แต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาอพยพราษฎรที่ได้รับผลกระทบ
ออกนอกรัศมี 5 กิโลเมตร ซึ่งประกอบด้วย ตัวแทนจากภาครัฐ
ภาคประชาชาชน
โดยเฉพาะผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านใน อ.แม่เมาะ
ซึ่งถือเป็นตัวแทนของประชาชนในท้องถิ่นรวมถึงผู้ฟ้องคดีด้วย ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคณะทำงาน
จึงเห็นว่าการจัดตั้งคณะทำงานตามคำสั่งจังหวัดลำปาง เป็นไปตามคำบังคับของศาลแล้ว
ประเด็นที่ 2 การเปลี่ยนแปลงมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมของ
กฟผ.แม่เมาะ ศาลให้ความเห็นว่า ถึงแม้
กฟผ.จะมีหนังสือถึงอุตสาหกรรมจังหวัดลำปาง ขอเปลี่ยนแปลงมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม
โดยนำมาตรการที่เคยผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณามาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ด้านเหมือนแร่และอุตสาหกรรมถลุงแร่หรือแต่งแร่ฯ
เสนออธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ พิจารณาอนุญาต
เป็นการขอเปลี่ยนแปลงมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมฯ
ภายหลังจากศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด แต่ กฟผ.ยังใช่รายงานฉบับเดิมอยู่
จนกว่าจะได้รับหนังสืออนุญาตจากอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานฯ ให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงมาตรการดังกล่าว
โดยศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษากำหนดคำบังคับไว้ว่า ในกรณีที่
กฟผ.มีมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบฯที่มีมาตรฐานและเหมาะสมกว่า
รายงานฉบับเดิมที่แนบท้ายประทานบัตรดังกล่าว ให้
กฟผ.ดำเนินการขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อสำนักงานนโยบายและแผนฯได้
เมื่อมาตรการฯฉบับเดิมยังไม่ถูกยกเลิกหรือเพิกถอน
เพียงแต่การเปลี่ยนแปลงมาตรการฯ
จะมีผลสมบูรณ์ต่อเมื่อได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานฯ
เท่านั้น
ซึ่งต่อมาได้มีการพิจารณาคำขอเปลี่ยนแปลงมาตรการฯ และได้อนุญาตให้
กฟผ.เปลี่ยนแปลงมาตรการฯได้
และให้ปฏิบัติตามมาตรการฯฉบับใหม่โดยเคร่งครัดตั้งแต่วันที่ 27 เม.ย.58 เป็นต้นไป ถือว่า
กฟผ.ปฏิบัติตามคำบังคับของศาลแล้ว
และไม่เป็นการหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาแต่อย่างใด
ประเด็นที่ 3 การฟื้นฟูขุมเหมืองที่ กฟผ.นำไปทำเป็นสวนพฤกษชาติและสนามกอล์ฟ ในการแสวงหาข้อเท็จจริงทาง
กฟผ.ไม่ได้มีการต่อสู้ว่าสวนพฤกษชาติและสนามกอล์ฟอยู่นอกพื้นที่ขุมเหมืองตามคำขอประทานบัตรที่
3-6/2530 และ 30-46/2535 หรือไม่
ศาลปกครองชั้นต้นจึงรับฟังข้อเท็จจริงเป็นข้อยุติว่า
สวนพฤกษชาติและสนามกอล์ฟดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ขุมเหมืองและมีคำพิพากษาให้
กฟผ.ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เสนอไว้ในรายงานฯ
ที่กำหนดให้ฟื้นฟูขุมเหมืองให้ใกล้เคียงกับสภาพเดิมตามธรรมชาติ
โดยถมดินกลับไปในบ่อเหมืองให้มากที่สุด และปลูกป่าทดแทน เฉพาะในส่วนที่
กฟผ.นำพื้นที่ต้องฟื้นฟูไปทำเป็นสวนพฤกษชาติและสนามกอล์ฟ ต่อมา
กฟผ.ได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น โดยยกประเด็นว่า
สวนพฤกษชาติและสนามกอล์ฟ
อยู่ในพื้นที่บริเวณพักผ่อนตามแผนผังการฟื้นฟูที่ระบุในรายงานฯ
และอยู่นอกเขตสัมปทานการทำเหมือง
ในการปฏิบัติตามคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด
ตัวแทน กฟผ.ได้นำเจ้าหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบพื้นที่พิพาท
พบว่าสวนพฤกษชาติและสนามกอล์ฟไม่ทับซ้อนในพื้นที่ขุมเหมือง
แต่มีพื้นที่บางส่วนอยู่ในแปลงประทานบัตรที่ 20010/15937 ส่วนพื้นที่ขุมเหมืองได้มีการถมดินและปลูกต้นไม้ทดแทนแล้ว
ทางศาลจึงได้แจ้งผลการตรวจสอบดังกล่าวให้ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิโต้แย้งและขอเอกสารเพิ่มเติมจากทาง
กฟผ. ซึ่งยืนยันว่าสนามกอล์ฟและสวนพฤกษชาติไม่ได้อยู่ในขุมเหมือง
และพื้นที่ตามประทานบัตรแปลงพิพาท
กฟผ.ได้ดำเนินการปลูกต้นไม้ยืนต้นและปรับพื้นที่เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ
และสถานที่ออกกำลังกาย สนามกอล์ฟได้เปิดใช้งานวันที่ 18 ธ.ค.28 ก่อนที่จะได้รับประทานบัตรแปลงพิพาท สวนพฤกษชาติและสนามกอล์ฟเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่การพักผ่อนตามแผนฟื้นฟูเมื่อปี
2533
นอกจากนี้
หลังจากศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งให้ยุติการบังคับคดี และคำสั่งยกคำร้องของ กฟผ. ในคำอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี
ก็ไม่ได้ปรากฏให้เห็นว่ามีการโต้แย้งคัดค้านพื้นที่สวนพฤกษชาติและสนามกอล์ฟว่าไม่ได้ตั้งอยุ่ในพื้นที่ทิ้งดิน
ตามใบอนุญาตจัดตั้งสถานที่เพื่อการเก็บขังน้ำขชุ่มหรือมูลดินทรายนอกเขตเหมืองแร่
ใบอนุญาตที่ 1/2522
และมีบางส่วนอยู่ในพื้นที่แปลงประทานบัตรที่ 20010/15937 แต่อย่างใด
แต่ได้ต่อสู้ว่าแม้พื้นที่ไม่ได้อยู่ในเขตประทานบัตรที่พิพาทก็ตาม
แต่อยู่ในเขตประทานบัตรเดิมที่ กฟผ.ยังต้องฟื้นฟูสภาพให้กลับเป็นป่าไม้ตามประทานบัตรเดิม
กรณีนี้เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏในชั้นบังคับคดีตามผลการตรวจสอบพื้นที่พิพาทตามคำสั่งศาลปกครองชั้นต้น
ว่าสวนพฤกษชาติและสนามกอล์ฟไม่ได้มีส่วนหนึ่งทับซ้อนอยู่ในพื้นที่ขุมเหมืองตามคำขอประทานบัตรที่พิพาทในคดีนี้ จึงถือว่า กฟผ. ปฏิบัติตามคำบังคับของศาล
ไม่มีเหตุที่จะบังคับคดีต่อไป
ดังนั้น
ตามที่ผู้ฟ้องได้ขอให้ศาลปกครองสูงสุดตีความคำพิพากษาในประเด็นทั้งหมดดังกล่าวนั้น
เห็นว่าคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดคดีนี้ได้วินิจฉัยไว้ชัดเจนแล้วไม่จำเป็นต้องตีความ
และไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยข้ออ้างอื่นๆของผู้ฟ้องคดีทั้งสามสำนวนอีก
เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนไป
การที่ศาลปกครองชั้นต้นสั่งให้ยุติการบังคับคดี และคำสั่งยกคำร้องของ กฟผ.
ปฏิบัติตามคำพิพากษาของผู้ฟ้องคดีทั้งสามสำนวนดังกล่าว
ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วย
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น