
บางเส้นก็ขีดไม่ชัด
หรือชัดแต่ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ทำนองน้ำพึงเรือเสือพึ่งป่า
นักข่าวก็ได้ข่าวจากแหล่งข่าว แหล่งข่าวก็ได้ชื่อได้เสียง
มีพื้นที่ในสื่อซึ่งจะเป็นสายป่านให้ทำมาหากินต่อไปได้ยาวๆ แต่ความจริงต้องพูดกันในเชิงหลักการว่า
ความสัมพันธ์ในรูปแบบที่คล้ายผลประโยชน์ต่างตอบแทนเช่นนี้ ถูกต้อง ชอบธรรมหรือไม่
มีหลักการข้อหนึ่งที่
“จอกอ”มักใช้ในการบรรยายอยู่เสมอ
คือการไม่แสดงตัวว่าเป็นนักข่าวขณะปฏิบัติหน้าที่
หรือแสดงตัวเป็นนักข่าวเพื่อใช้อภิสิทธิ์ หรือหลีกเลี่ยงความผิด
ทำนองเดียวกับการที่นักข่าวไปสัมภาษณ์เพื่อทำข่าว
แต่มีการใช้ข่าวนั้นไปต่อยอดหาผลประโยชน์ทางธุรกิจไม่สิ้นสุด
นั่นก็เป็นเรื่องที่ต้องทบทวนกัน
ความผิดนั้น
ไม่ได้อยู่ที่นักข่าว แต่อยู่ที่ผู้บริหาร
หรือเจ้าของสื่อที่ต้องเข้าใจหลักการเชิงจริยธรรมเรื่องนี้ด้วย นี่เองที่ “จอกอ”
ย้ำอยู่เสมอว่า จะต้องมีหลักจรรยาบรรณของผู้บริหารสื่อ
ถ้าผู้บริหารสื่อมีความเข้าใจและมีความรับผิดชอบในเชิงจริยธรรมแล้ว
ก็ไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายใดมาบังคับเรื่องจริยธรรมสื่อ
การไม่แสดงตัวว่าเป็นนักข่าว
ขณะทำข่าวอาจมีข้อยกเว้นกรณีที่จะต้องมีการรวบรวมข้อมูล ข่าวสาร
ในการทำข่าวเชิงสืบสวน สอบสวน
เนื่องเพราะการเปิดเผยตัวต่อแหล่งข่าวอาจทำให้ไม่ได้รับความร่วมมือ
หรืออาจเกิดอันตรายได้ แต่หลักจริยธรรม ไม่ว่านักข่าวจะทำข่าวลักษณะใด
ต้องแนะนำตัวเอง และแจ้งวัตถุประสงค์ของการสัมภาษณ์ให้แหล่งข่าวทราบ
ไม่ควรทำให้เขาประหลาดใจว่า เหตุใดถ้อยคำของเขาจึงไปปรากฏเป็นข่าวได้
เพราะหลายกรณีแหล่งข่าว
ก็ต้องการเพียงให้ข้อมูล หรือเขามีข้อมูลแต่ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะให้ข่าวได้
เพราะอาจกระทบถึงสถานะหน้าที่การงาน
นี่ก็เป็นความละเอียดอ่อนที่นักข่าวต้องคำนึง สำคัญที่สุดคือการหลอกให้แหล่งข่าวสำคัญผิด
คือความไม่สุจริตในการเป็นนักข่าว
เฉพาะกรณีช่อง 8 กับคุณเขมนิจ
จามิกรณ์ หรือแพนเค้ก ที่ฟ้องบริษัทอาร์เอส ฐานละเมิด เรียกค่าเสียหาย
เกิดจากการที่นักข่าวไปสัมภาษณ์แหล่งข่าว
และขอให้แหล่งข่าวพูดในลักษณะของการโฆษณาช่องตัวเอง
จากนั้นบริษัทก็นำไปขยายความใช้ในสื่อโฆษณา
คำฟ้องตอนหนึ่ง
ระบุว่า เมื่อต้นปี 2558
มีการจัดงานกิจกรรมสันทนาการ บันเทิง
หรืองานอีเวนต์ในสถานที่แห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร
โจทก์ได้รับเชิญจากเจ้าของงานอีเวนต์ไปปรากฏตัวในงานเช่นเดียวกับดารานักแสดงคนอื่นๆ
งานดังกล่าว
มีช่างภาพ ผู้สื่อข่าว
สื่อมวลชนแขนต่างๆสายบันเทิงไปร่วมรายงานข่าวและบันทึกภาพจำนวนมาก โดยปกติในทางปฎิบัติจะมีผู้สื่อข่าวมาสัมภาษณ์และนำภาพข่าวนั้นไปเสนอในสถานีคลื่นความถี่ของแต่ละคน
ไม่เกินครั้งสองครั้ง
แต่จำเลยได้ให้ผู้สื่อข่าวมาสัมภาษณ์โจทก์
และให้พูดว่า “ใครๆก็ดูช่อง 8” เพื่อนำไปออกข่าวบันเทิง
โจทก์ก็ให้สัมภาษณ์ โดยมีภาพโจทก์พูดข้อความดังกล่าว
แพนเค้ก
บอกในคำฟ้องด้วยว่า จากนั้นเดือน ก.พ.-มี.ค.2558 ได้มีการนำภาพและข้อความว่า
“ใครๆก็ดูช่อง 8”
ไปออกอากาศและผ่านทางช่องทางยูทูบหลายต่อหลายครั้ง
ทั้งที่เธอเป็นดารานักแสดงในสังกัดช่อง 7 สี
ทำให้เธอได้รับความเสียหาย จึงฟ้องเพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทนจำนวน 5 ล้านบาท
ศาลแพ่งและศาลอุทธรณ์
พิพากษาให้จำเลยชดใช้ จำเลยฎีกาให้ยกฟ้อง ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์
ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1
ล้านบาทฐานละเมิด
โดยเห็นว่าการนำภาพและเสียงพูดของโจทก์ไปโฆษณาประชาสัมพันธ์เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์
“...ขณะสัมภาษณ์จำเลยก็ไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบล่วงหน้าว่า
จะนำภาพและเสียงพูดของโจทก์ไปโฆษณาประชาสัมพันธ์ จากเหตุดังกล่าว
ที่โจทก์เบิกความว่า
โจทก์ไม่ได้ยินยอมให้นำภาพและเสียงพูดของโจทก์ไปโฆษณาประชาสัมพันธ์จึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้
โดยน่าเชื่อตามที่โจทก์เบิกความว่า โจทก์ยินยอมเพียงให้นำภาพและเสียงพูดของโจทก์ไปออกรายการข่าวบันเทิงรายวันเท่านั้น”
นี่เป็นกรณีศึกษาเรื่องการทำข่าวที่ควรต้องยึดหลัก
“สุจริต”
ในขณะเดียวกันก็เป็นปัญหาเชิงความสัมพันธ์ระหว่างบทบาทหน้าที่ของฝ่ายกองบรรณาธิการ
และฝ่ายโฆษณาที่ต้องแยกแยะให้ชัด มิฉะนั้นคนข่าวก็จะไม่สามารถรักษาหลักการความเป็นสื่อมวลชนที่ดีได้
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1206 วันที่ 23 - 29 พฤศจิกายน 2561)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น