วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สวัสดิการแห่งรัฐ การตกเขียวของ พปชร.

จำนวนผู้เข้าชม เว็บเคาน์เตอร์

พราะนโยบายสวัสดิการแห่งรัฐ มาจากคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าที่ผู้ที่จะถูกเสนอชื่อเป็นอันดับ 1 เป็นนายกรัฐมนตรีนั่งหัวโต๊ะ มีรัฐมนตรีอย่างน้อย 3 คน ร่วมลงมติ ได้แก่ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์  นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อนาคตของพรรคพลังประชารัฐก็ดูสดใสกาววาวอย่างยิ่ง

เป็นการตกเขียว ก่อนการเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งพรรคการเมืองทั่วไป จะเริ่มหาเสียงได้ราววันที่ 2 มกราคม 2562 นี่จึงไม่ต้องสงสัย และส่งให้ศาลใดตีความว่า ผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่  เพราะคนไทยทั้งหลายที่เขาไม่ได้กินแกลบ ย่อมเข้าใจดีว่า นี่คือการหาเสียง !

ภายใต้นโยบาย และการเข้าถึงเงิน ความช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจน จำนวน 11.4 ล้านคน  อีกทั้งเงินของขวัญปีใหม่คนละ 500 บาท ย่อมเป็นความพึงพอใจของชาวบ้าน และอาจทำให้เห็นภาพอนาคตยากยิ่งที่จะอธิบายว่า การใช้จ่ายเงินภาครัฐจำนวนมหาศาลนี้ จะส่งผลอย่างไร

เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันแรกในการเบิกจ่ายเงินของขวัญปีใหม่ ประชาชนจำนวนมากต่างพากันไปเข้าคิวต่อแถวกันยาวเหยียด เพื่อใช้บัตรคนจน กดเงินจากตู้เอทีเอ็ม ของธนาคารกรุงไทย ในบางจังหวัดภาคอีสาน ผู้สื่อข่าวไปถามชาวบ้านที่ใช้สิทธิคนจน กดเงินออกมาใช้จ่าย ว่าใช้สิทธิสวัสดิการแห่งรัฐแล้ว เมื่อถึงคราวเลือกตั้งจะเลือกพรรคใด คำตอบคือเลือกพรรคอื่นที่ไม่ใช่พรรคพลังประชารัฐ แต่นั่นก็เป็นคนไม่กี่คนที่ถูกตั้งคำถาม คนไทยจำนวนมากที่ผูกพันอยู่กับระบบอุปถัมภ์  ก็ย่อมเห็นได้ว่า สิ่งที่พวกเขาได้มาในวันนี้ ก็เพราะนโยบายรัฐ ที่มีพรรคพลังประชารัฐเป็นผู้สนับสนุน

จังหวัดลำปาง ก็มีวิวาทะว่าด้วยบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระหว่างนายดาชัย เอกปฐพี ว่าที่ผู้สมัครส.ส.ลำปาง พรรคพลังประชารัฐ และนางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ อดีต ส.ส.พะเยาพรรคเพื่อไทย แต่ก็จบไปในที่สุด โดยที่นางลดาวัลลิ์ อาจสับสนว่าเรื่องราวนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อเธอไม่ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวในเรื่องนี้แต่อย่างใด

การประกาศโครงการ “บัตรคนจน” ทำให้ผู้มีสิทธิสามารถใช้บัตรนี้สองรูปแบบ คือ (1) ใช้ลดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ได้แก่ ค่าน้ำ ค่าไฟ ก๊าซหุงต้ม และค่าเดินทาง และ (2) ใช้สำหรับซื้อสินค้าต่างๆ จากร้านธงฟ้า และร้านค้าที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด โดยผู้มีรายได้ต่ำกว่า 100,000 บาทต่อปีจะได้วงเงิน 200 บาทต่อเดือน และผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปีจะได้วงเงิน 300 บาทต่อเดือน

การให้วงเงินให้ผู้ถือบัตรคนจนนำไปซื้อสินค้าตามร้านที่กำหนดแทนที่จะให้เป็นตัวเงิน ทำให้เกิดปัญหาเรื่องการนำวงเงินในบัตรไปแลกเป็นเงินสดแล้ว ยังทำให้เกิดข้อคำถามว่า โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นการช่วยเหลือคนจน หรือคนรวยกันแน่ เพราะสินค้าส่วนใหญ่ในร้านธงฟ้า ล้วนมาจากผู้ประกอบการรายใหญ่ทั้งสิ้น

นี่กลับจะไปเพิ่มช่องว่างระหว่างคนรวย กับคนจนมากขึ้นหรือไม่ เพราะเมื่อรัฐถ่ายเทกระเป๋าเงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไปยังผู้ประกอบการ พวกเขาก็จะร่ำรวยขึ้น ในขณะที่คนจนจนลง หรือยังมีรายได้เท่าเดิม ความเหลื่อมล้ำเหมือนเดิม และอาจไปไกลจนถึงสิ่งที่นายบรรยง พงษ์พานิช อดีตคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ  โพสต์ในเฟสบุ๊คส่วนตัวว่า ประเทศไทยเป็นอันดับ 1 ในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำมากที่สุดในโลก

พูดกันชัดๆว่า พรรคพลังประชารัฐ ใช้นโยบายสวัสดิการแห่งรัฐ ใช้เงินของรัฐ หาเสียงล่วงหน้า ตลอดจนใช้คำพ้องเสียง พลังประชารัฐ สวัสดิการแห่งรัฐ เป็นถ้อยคำที่ตอกย้ำแบรนด์ พปชร.เป็นวิธีการที่ชาญฉลาด แต่ฉลาดแบบหมาจิ้งจอก คือฉลาดแบบมีเล่ห์กล หรือจะเรียกให้เข้าใจง่าย ก็คือฉลาดแกมโกง


(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1209 วันที่ 14 - 20 ธันวาคม 2561)
Share:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์