
เพราะนโยบายสวัสดิการแห่งรัฐ
มาจากคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าที่ผู้ที่จะถูกเสนอชื่อเป็นอันดับ
1
เป็นนายกรัฐมนตรีนั่งหัวโต๊ะ มีรัฐมนตรีอย่างน้อย 3 คน ร่วมลงมติ ได้แก่ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายสุวิทย์
เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และนายกอบศักดิ์
ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
อนาคตของพรรคพลังประชารัฐก็ดูสดใสกาววาวอย่างยิ่ง
เป็นการตกเขียว
ก่อนการเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์
2562 ซึ่งพรรคการเมืองทั่วไป จะเริ่มหาเสียงได้ราววันที่ 2
มกราคม 2562 นี่จึงไม่ต้องสงสัย
และส่งให้ศาลใดตีความว่า ผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ เพราะคนไทยทั้งหลายที่เขาไม่ได้กินแกลบ
ย่อมเข้าใจดีว่า นี่คือการหาเสียง !
ภายใต้นโยบาย และการเข้าถึงเงิน
ความช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจน จำนวน 11.4
ล้านคน อีกทั้งเงินของขวัญปีใหม่คนละ 500 บาท ย่อมเป็นความพึงพอใจของชาวบ้าน
และอาจทำให้เห็นภาพอนาคตยากยิ่งที่จะอธิบายว่า การใช้จ่ายเงินภาครัฐจำนวนมหาศาลนี้
จะส่งผลอย่างไร
เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม
ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันแรกในการเบิกจ่ายเงินของขวัญปีใหม่
ประชาชนจำนวนมากต่างพากันไปเข้าคิวต่อแถวกันยาวเหยียด เพื่อใช้บัตรคนจน
กดเงินจากตู้เอทีเอ็ม ของธนาคารกรุงไทย ในบางจังหวัดภาคอีสาน
ผู้สื่อข่าวไปถามชาวบ้านที่ใช้สิทธิคนจน กดเงินออกมาใช้จ่าย
ว่าใช้สิทธิสวัสดิการแห่งรัฐแล้ว เมื่อถึงคราวเลือกตั้งจะเลือกพรรคใด
คำตอบคือเลือกพรรคอื่นที่ไม่ใช่พรรคพลังประชารัฐ แต่นั่นก็เป็นคนไม่กี่คนที่ถูกตั้งคำถาม
คนไทยจำนวนมากที่ผูกพันอยู่กับระบบอุปถัมภ์
ก็ย่อมเห็นได้ว่า สิ่งที่พวกเขาได้มาในวันนี้ ก็เพราะนโยบายรัฐ
ที่มีพรรคพลังประชารัฐเป็นผู้สนับสนุน
จังหวัดลำปาง
ก็มีวิวาทะว่าด้วยบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระหว่างนายดาชัย เอกปฐพี
ว่าที่ผู้สมัครส.ส.ลำปาง พรรคพลังประชารัฐ และนางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ อดีต
ส.ส.พะเยาพรรคเพื่อไทย แต่ก็จบไปในที่สุด โดยที่นางลดาวัลลิ์
อาจสับสนว่าเรื่องราวนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
เมื่อเธอไม่ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวในเรื่องนี้แต่อย่างใด
การประกาศโครงการ “บัตรคนจน”
ทำให้ผู้มีสิทธิสามารถใช้บัตรนี้สองรูปแบบ คือ (1) ใช้ลดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
ได้แก่ ค่าน้ำ ค่าไฟ ก๊าซหุงต้ม และค่าเดินทาง และ (2) ใช้สำหรับซื้อสินค้าต่างๆ
จากร้านธงฟ้า และร้านค้าที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด โดยผู้มีรายได้ต่ำกว่า 100,000
บาทต่อปีจะได้วงเงิน 200 บาทต่อเดือน
และผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปีจะได้วงเงิน 300
บาทต่อเดือน
การให้วงเงินให้ผู้ถือบัตรคนจนนำไปซื้อสินค้าตามร้านที่กำหนดแทนที่จะให้เป็นตัวเงิน
ทำให้เกิดปัญหาเรื่องการนำวงเงินในบัตรไปแลกเป็นเงินสดแล้ว ยังทำให้เกิดข้อคำถามว่า
โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นการช่วยเหลือคนจน หรือคนรวยกันแน่ เพราะสินค้าส่วนใหญ่ในร้านธงฟ้า
ล้วนมาจากผู้ประกอบการรายใหญ่ทั้งสิ้น
นี่กลับจะไปเพิ่มช่องว่างระหว่างคนรวย
กับคนจนมากขึ้นหรือไม่
เพราะเมื่อรัฐถ่ายเทกระเป๋าเงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไปยังผู้ประกอบการ
พวกเขาก็จะร่ำรวยขึ้น ในขณะที่คนจนจนลง หรือยังมีรายได้เท่าเดิม
ความเหลื่อมล้ำเหมือนเดิม และอาจไปไกลจนถึงสิ่งที่นายบรรยง พงษ์พานิช
อดีตคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ
โพสต์ในเฟสบุ๊คส่วนตัวว่า ประเทศไทยเป็นอันดับ 1 ในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำมากที่สุดในโลก
พูดกันชัดๆว่า
พรรคพลังประชารัฐ ใช้นโยบายสวัสดิการแห่งรัฐ ใช้เงินของรัฐ หาเสียงล่วงหน้า
ตลอดจนใช้คำพ้องเสียง พลังประชารัฐ สวัสดิการแห่งรัฐ เป็นถ้อยคำที่ตอกย้ำแบรนด์
พปชร.เป็นวิธีการที่ชาญฉลาด แต่ฉลาดแบบหมาจิ้งจอก คือฉลาดแบบมีเล่ห์กล
หรือจะเรียกให้เข้าใจง่าย ก็คือฉลาดแกมโกง
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1209 วันที่ 14 - 20 ธันวาคม 2561)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น