
ดูเหมือนว่า
สตรอว์เบอร์รีจะเป็นผลไม้ยอดนิยมในการนำมาสังเคราะห์เลียนแบบกลิ่นและรสชาติมากที่สุด
น่าจะพอ ๆ กับส้ม ตั้งแต่น้ำผลไม้ ขนมต่าง ๆ น้ำยาล้างจาน ยาสีฟัน ยันแชมพู อ้อ
ถุงยางอนามัยก็ด้วย
ในช่วงฤดูหนาวเราต่างเฝ้ารอที่จะได้กินสตรอว์เบอร์รีสดฉ่ำหอมหวาน
มากกว่านั้น การได้ไปเดินเฉิดฉายกลางไร่สตรอว์เบอร์รี
พร้อมกับก้มลงเก็บผลสตรอว์เบอร์รีด้วยมือของตนเอง ก็เป็นอะไรที่ฟินสุด ๆ
เมื่อก่อนคนลำปางคงต้องดั้นด้นไปแถวอำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่
ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแหล่งปลูกสตรอว์เบอร์รีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
โดยปลูกกันมากถึง 3,000
กว่าไร่ แต่เดี๋ยวนี้ เมืองลำปางเราก็มีไร่สตรอว์เบอร์รีแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นที่ไร่สตรอว์เบอร์รี่ฟาร์มแม่ต๋ำ อำเภอเสริมงาม
และไร่สตรอว์เบอร์รีปางมะโอ อำเภอแม่ทะ ซึ่งกำลังกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีคนพูดถึงอย่างมาก
สตรอว์เบอร์รีเป็นผลไม้ชนิดแรก
ๆ
ที่มีการนำเข้ามาขยายพันธุ์เพื่อปลูกทดแทนฝิ่นและการทำไร่เลื่อนลอยของชาวไทยภูเขา
ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และด้วยความที่ได้รับพระราชทานพันธุ์มาเพื่อการวิจัยปรับปรุงพันธุ์และเสาะหาพันธุ์ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และภูมิอากาศของประเทศไทย
การตั้งชื่อนำหน้าพันธุ์ที่ได้จากทุกงานวิจัยจึงใช้ชื่อว่า “พันธุ์พระราชทาน” แล้วจึงตามด้วยหมายเลขพันธุ์ หรือหมายเลขแปลง
ปัจจุบันมีสตรอว์เบอร์รีพันธุ์พระราชทาน
ได้แก่ พันธุ์พระราชทาน 50
ซึ่งตรงกับปีกาญจนาภิเษก พันธุ์พระราชทาน 70 และ
72 ที่ตรงกับพระชนมพรรษา พันธุ์พระราชทาน 60 ตรงกับปีที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี
และสำหรับพันธุ์พระราชทาน 80 ตรงกับพระชนมพรรษา 80 พรรษา เมื่อปี พ.ศ. 2550
สตรอว์เบอร์รีส่วนใหญ่ที่ปลูกกันในเมืองลำปางเป็นพันธุ์พระราชทาน
80 เป็นสตรอว์เบอร์รีกินผลสด ซึ่ง ดร. ณรงค์ชัย พิพัฒน์ธนวงศ์
ผู้อำนวยการสถาบันค้นคว้าและพัฒนาระบบนิเวศเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ซึ่งเป็นหัวหน้าโครงการวิจัย ตลอดจนคณะนักวิจัย Hiroshi Akagi อาสาสมัครมูลนิธิโครงการหลวง รวมทั้งนายเวช เต๋จ๊ะ
นักวิจัยอาสาสมัครมูลนิธิโครงการหลวง ร่วมกันปรับปรุงพันธุ์จนได้สตรอว์เบอร์รีพันธุ์พระราชทาน
80 ที่มีรสชาติหวานอร่อยถูกใจคนไทย
ทั้งนี้
โดยการนำเมล็ดพันธุ์ลูกผสมจากประเทศญี่ปุ่นมาปลูก ทดสอบ
และคัดสายพันธุ์ครั้งแรกในฤดูกาลผลิตปี พ.ศ. 2545 ณ
แปลงทดลองของสถานีวิจัยดอยปุย สถาบันค้นคว้าและพัฒนาระบบนิเวศเกษตร
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อำเภอเมืองฯ จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 สตรอว์เบอร์รีพันธุ์พระราชทาน 80 ก็ได้ถูกขยายต้นพันธุ์โดยวิธีผลิตต้นไหลแบบธรรมดาและการเพาะเลี้ยงต้นเนื้อเยื่อปลอดโรค
เพื่อใช้ปลูกทดสอบในพื้นที่แปลงทดลองของสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง อำเภอฝาง
จังหวัดเชียงใหม่ และในปี พ.ศ. 2547 เป็นต้นมา
ได้มีการศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมทางด้านการเจริญเติบโต การให้ผลผลิต
คุณภาพของผลผลิตและรสชาติ ความทนทานต่อศัตรูพืช
รวมทั้งการผลิตไหลและต้นไหลสำหรับการขยายต้นพันธุ์ให้แก่เกษตรกร จนได้ผลเป็นที่พอใจ
ความโดดเด่นของสตรอว์เบอร์รีพันธุ์พระราชทาน
80 อยู่ที่รูปร่างของผลที่สวยงาม โดยทั่วไปเป็นทรงกรวย ถึงทรงกลมปลายแหลม
ผิวไม่ขรุขระ เนื้อผลแน่น สีแดงสดใส รสชาติหวาน เมื่อผลสุกเต็มที่จะมีกลิ่นหอมจัด
อีกทั้งทนทานต่อโรคแอนแทรคโนสและราแป้ง สามารถปลูกเป็นการค้าได้ในพื้นที่ที่มีความสูง
800 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง นอกจากนี้
ยังต้องการความหนาวเย็นปานกลาง คือ ประมาณ 15-18 องศาเซลเซียส
เป็นเวลา 20-30 วัน
เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างตาดอกอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการปลูกสตรอว์เบอร์รีจะใช้วิธีปลูกต้นไหล
ซึ่งก็คือส่วนของลำต้นเหนือดินที่ทอดไปตามพื้นและแตกหน่อใหม่ พร้อมกับราก
เพื่อเติบโตเป็นต้นสตรอว์เบอร์รีใหม่นั่นเอง
การปลูกต้นไหลจะต้องนำไปปลูกไว้บนที่สูง
เพื่อให้เกิดการพัฒนาตาดอกและเพื่อความแข็งแรงก่อนปลูก
โดยจะปล่อยให้ได้รับอากาศเย็นในเวลากลางคืน ซึ่งจะทำให้ออกดอกเร็วกว่าต้นไหลที่ผลิตบนพื้นราบ
หลังจากนั้น ต้นไหลจะถูกนำไปปลูกในแปลงที่ปกติจะเป็นแปลงที่อยู่ในแนวเหนือ-ใต้
เพื่อให้ต้นได้รับแสงเต็มที่ อันจะมีผลต่อการเจริญเติบโตและสีของผล
และยังต้องคลุมแปลงด้วยฟางข้าว หรือใบตองตึง เพื่อช่วยลดปัญหาผลเน่า
สตรอว์เบอร์รีอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดและยังมีวิตามินซีสูง
เป็นผลไม้เมืองหนาวที่หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู โดยเฉพาะอย่างยิ่งพันธุ์พระราชทาน 80 นั้น
กว่าจะมาถึงมือเรา ให้เราได้ลองลิ้มชิมรสกันต้องผ่านเรื่องราวมากมาย
ก่อนฤดูหนาวจะจากไป สตรอว์เบอร์รีสักหยิบมือหนึ่งนอกจากจะให้ความรื่นรมย์ในรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์แล้ว
ต้นกำเนิดและการเดินทางของชนิดพันธุ์นี้ ล้วนมีที่มาที่ไป
และมีค่ามากกว่าจะใช้เป็นคำด่าว่าเสียดสีกันเสียอีก
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น