จากขยะแต่ละวันในตลาดสดต้นยาง
ต.พิชัย อ.เมือง จ.ลำปาง มีปริมาณสูงไม่แพ้ตลาดสดทั่วไป เจ้าของตลาดหัวใส
ใช้แนวคิดกระบวนการคัดแยกขยะ จัดสรรพวกขยะเปียกจากเศษพืชไปทำน้ำหมักชีวภาพ
เพื่อนำเป็นปุ๋ยธรรมชาติใช้ในแปลงผักปลอดเคมีสร้างรายได้อย่างน่าทึ่ง
เสาร์คำ ฟูใจ
ชาวบ้านในพื้นที่ชุมชนบ้านใหม่ หมู่ที่ 13 ต.พิชัย อ.เมือง จ.ลำปาง ผู้มีอาชีพเป็นเกษตรกรมานาน
ต่อมาได้มีโอกาสทำธุรกิจให้เช่าแผงตลาดสด จนกลายเป็นเจ้าของตลาดสด
ต้นยางมาจนถึงทุกวันนี้ เล่าว่า พื้นเพเดิมเป็นชาวบ้านตำบลเสด็จ ก่อนหน้านี้เขาทำอาชีพการเกษตร
ปลูกสับปะรด และทำไร่ทำสวนมาหลายรูปแบบ ต้องพึ่งพาปุ๋ยเคมี
ส่งผลให้ต้นทุนค่อนข้างสูง สุดท้ายอาชีพการเกษตรก็ไปไม่รอด จึงหันมาทำอาชีพเสริม
โดยหาพื้นที่ให้เช่าแผงเป็นตลาดเล็กๆ ที่ตำบลพิชัย ซึ่งกลายเป็นตลาดสดต้นยางที่ได้รับความนิยมมากในขณะนี้
ควบคู่ไปกับการทำเกษตรในสวนที่บ้านของตนเอง พื้นที่ราว 1.5 ไร่เรื่อยมา
โดยเน้นปลูกพืชผักสวนครัวแบบผสมผสาน
ไว้กินในบ้าน ส่วนที่เหลือก็ขายตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
หัวใจสำคัญของการทำเกษตรของเขา เป้าหมายแรกคือทำอย่างไรลดการใช้สารเคมี
เพื่อไม่ต้องแบกภาระทุนและ มีผักปลอดภัยไร้สารเคมีให้กับผู้บริโภคในท้องถิ่น
เสาร์คำ จึงศึกษาหลักการทำเกษตรธรรมชาติ
ที่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพทดแทนการใช้สารเคมี
เมื่อพิจารณาถึงแนวทางทำน้ำหมักชีวภาพก็พบว่า
ที่ในแต่ละวันตลาดต้นยางมีขยะจำนวนมาก เขาจึงใช้กระบวนการคัดแยกขยะ และก็ได้รับร่วมมือจากร้านค้าขายผักผลไม้
เพื่อแยกเอาเศษพืชผักออกจากขยะทั่วไปก่อนไปทิ้งลงจุดรวมขยะของตลาด ไปเป็นวัตถุดิบส่วนผสมของการทำน้ำหมักชีวภาพ
ซึ่งในระยะแรกเขาก็ได้ทดลองทำน้ำชีวภาพหลายสูตร
พัฒนาไปจนได้ส่วนผสมที่เหมาะสมเป็นของตัวเอง ได้น้ำหมักชีวภาพเป็นปุ๋ยน้ำ และปุ๋ยหมักอินทรีย์อื่นๆ
ไปใช้ในแปลงพืชผักได้ผลดี พืชผักที่เขาปลูกในสวน งอกงามเติบโตสมบูรณ์ ขายได้ราคา
เพราะเป็นผักปลอดสารเคมี แต่ ‘เสาร์คำ’ ก็ยังขายในราคาย่อมเยาให้ชาวบ้านซื้อผักปลอดเคมีได้ในราคาปกติทั่วไป
นอกจากนี้ยังมีไม้ผล ที่ปลูกสลับกันสามารถเก็บเกี่ยวหมุนเวียนทำรายได้ตลอดทั้งปี
ทุกวันนี้เขามีรายได้เพิ่มจากการขายผลผลิตเกษตร
จากพืชผักไม่กี่ชนิดทุกวันนี้เขาปลูกทั้งผักเชียงดา ชะอม กล้วยน้ำหว้า มะนาว
มะพร้าว มะปราง ลำไย เงาะ และทุเรียน โดยพืชหลักที่ได้สร้างรายได้ให้กับครอบครัว
คือ กล้วยน้ำหว้า และชะอม ซึ่งรายได้ที่ได้จากการจำหน่ายกล้วยน้ำหว้า
อยู่ที่ประมาณ 700-1,000 บาทต่อเดือน ส่วนชะอมสามารถสร้างรายได้ไม่น้อยกว่า 500-600 บาทต่อวัน
และในช่วงหน้าแล้งของทุกปีระหว่างช่วงเดือนมกราคม ถึง เมษายน
ราคาผักชะอมยังสามารถพุ่งสูงขึ้นไปได้อีก โดยสามารถที่จะขายผักชะอมได้ถึงประมาณ 1,500-2,000 บาทต่อวัน
แถมที่ตลาดยังช่วยลดปัญหาขยะล้นในระบบการกำจัดอีกด้วย
ทำแยกขยะได้ผลดีต่อการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อมในตลาด ควบคู่ไปกับการได้วัตถุดิบปุ๋ยอินทรีย์
“วิถีแห่งการจัดการแบบธรรมชาติให้ผลในทางบวกเสมอ” เสาร์คำ
บอกด้วยความภาคภูมิใจว่า สิ่งที่เขาได้จากการทำขยะให้กลายเป็นทุนของการเกษตร
เป็นเรื่องที่ภาคภูมิใจ
อยากให้คนในชุมชนและคนทั่วไปลองเอาวิธีนี้ไปใช้สำหรับการทำเกษตรลดสารเคมี เพราะเขายืนยันว่าการเกษตรที่เราใช้สารเคมี
ทำเท่าไหร่ก็ต้องแบกต้นทุนเป็นจำนวนมาก ความอยู่รอดหรือผลกำไรก็มีความเสี่ยง
แต่เมื่อใช้ ปุ๋ยจากธรรมชาติ ทำให้ต้นทุนน้อยมาก ปัญหาก็น้อย ผลกำไรดี
ปลูกพืชที่คนนิยมกิน เก็บเกี่ยวขายได้ทั้งปี ยิ่งจะทำให้มีรายได้ดี
ส่วนเรื่องขยะ เขามองว่า
การจัดการแยกขยะในตลาดเบื้องต้นก่อนจะนำไปสู่กระบวนการทิ้งทำลายตามระบบ
เป็นเรื่องที่มีผลโดยรวมต่อสภาพแวดล้อมในตลาด
ลดภาระการจัดการขยะของชุมชนด้วยเช่นกัน
แนวทางการนำขยะมาสร้างเป็นเงินของ
เสาร์คำ ฟูใจ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการเพิ่มมูลค่าของเหลือใช้
ไปช่วยสร้างอาหารสะอาดปลอดภัยขายให้ลูกค้าตลาดและในชุมชนที่ควรเอาอย่างน่าชื่นชม
เรื่อง
- ศชากานท์ แก้วแพร่
ภาพ
- ชาญณรงค์ ปันเต สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดลำปาง
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1234 วันที่ 21 - 27 มิถุนยน 2562)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น