“การทำเกษตรอินทรีย์ มีข้อดีมากมาย
สิ่งแรกคือดีกับตัวเองที่ไม่ต้องไปคลุกคลีกับสารเคมี ดีกับชีวิตคนในครอบครัว ดีต่อสิ่งแวดล้อม และเกษตรอินทรีย์สามารถกำหนดราคาตลาดของตัวเองได้ ซึ่งต้องเป็นราคาที่ผู้บริโภคยอมรับได้ และเราลดการใช้สารเคมีที่ต้นน้ำ
เพื่อรักษาประโยชน์ของคนปลายน้ำ” ณัฐวุฒิ
แก้วอ่อน ประธานกลุ่มเกษตรอินทรีย์ริมวัง กล่าว
กลุ่มเกษตรอินทรีย์ริมวัง ตั้งอยู่ที่ อ.วังเหนือ
จ.ลำปาง ซึ่งเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ก่อตัวขึ้นจากการน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง
รัชกาลที่ 9 ด้วยการปลูกพืชผสมผสาน
และการงดใช้สารเคมีทุกชนิด
เป็นการรวบรวมสมาชิกที่มีแนวคิดเดียวกันมาร่วมกันผลิตสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพออกสู่ตลาด
และยังมีการจัดสรรปันส่วนรายได้จากการทำการตลาดที่ชัดเจนให้ผลประโยชน์กับสมาชิกอีกด้วย
นายณัฐวุฒิ
แก้วอ่อน ประธานกลุ่มเกษตรอินทรีย์ริมวัง กล่าวว่า เริ่มจากที่ตนทำสวนริมวังก่อน มีแนวคิดจะใช้ชีวิตตามรอยในหลวง ร.9 โดยการปลูกพืชผสมผสาน
ประกอบกับเห็นวิถีชีวิตเดิมของชาวบ้านในพื้นที่คือการปลูกพืชเชิงเดี่ยว
ส่วนพืชผักจะซื้อกินกันเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งได้เล็งเห็นว่าพื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่สามารถทำการเกษตรได้
แต่ทำไมชาวบ้านยังซื้อผักบริโภคกันอยู่
เลยคิดหาแนวทางปรับเปลี่ยนความคิดของเกษตรกรให้หันมาปลูกผักกินเอง เลยทำสวนริมวังขึ้นมาเป็นต้นแบบ
โดยการปลูกผักกินเอง ส่วนที่เหลือก็นำไปขาย ซึ่งการทำเช่นนี้เป็นการสร้างธรรมชาติที่ดี ลดการใช้สารเคมีที่ต้นน้ำ
เพื่อรักษาประโยชน์ของคนปลายน้ำ
หลังจากทำเกษตรได้ประมาณ
6 ปี ก็มีน้องๆผู้ที่สนใจเข้ามาขอให้ตั้งกลุ่มเกษตรขึ้น
เพื่อต้องการที่จะเข้ามาใช้ชีวิตในพื้นที่โดยการทำการเกษตร กฎเกณฑ์ของกลุ่มต้องมีความสมัครใจและเรียนรู้สม่ำเสมอ ไม่มีเป้าหมายการของบสนับสนุนมาทำเล่น
แต่หากของบสนับสนุนเข้ามาต้องทำอย่างจริงจังและชัดเจนเห็นผล โดยตั้งกลุ่มมาได้ 2 ปีเศษ
มีสมาชิก 17 คน ซึ่งได้ผ่านการตรวจรับรองแปลงแบบมีส่วนร่วม (Participatory
Guarantee System : PGS)
แล้ว และกำลังเริ่มรับสมัครสมาชิกเพิ่มเพื่อดำเนินการเป็นเกษตรแปลงใหญ่
โดยจะมีสมาชิกประมาณ 30 คน
สำหรับการบริหารจัดการในกลุ่ม
นายณัฐวุฒิ บอกว่า ตลาดแรกที่ได้นำผลผลิตออกจำหน่าย คือตลาดในหมู่บ้านก่อน ถ้ามีผลผลิตมากพอก็ไปส่งออกแต่ก็ยังอยู่ในโซนพื้นที่อยู่
เช่น ขายตามตลาดนัดของอำเภอ คนที่นำผักไปขายก็จะได้ค่าการตลาดจากกลุ่ม
โดยตั้งกฎไว้ว่าค่าการตลาดแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ 25 เปอร์เซ็นต์เป็นของคนขาย และอีก 5
เปอร์เซ็นต์หักเข้ากลุ่มเป็นค่าบริหารจัดการ นอกจากนั้นจะมีการออมเงินกันเดือนละ 100 บาท เป็นกองกลางในการบริหารจัดการ ซึ่ง 5
เปอร์เซ็นต์ก็จะหักเข้าไปในส่วนนี้ ถ้าค่าการตลาดมีมากพอก็จะจ่ายเป็นเงินปันผลให้กับสมาชิก จากนั้นก็มีการขยายออกไปขายในตลาดจังหวัด
และตลาดต่างจังหวัดด้วย
ทางกลุ่มโชคดีที่ได้เข้าร่วมกับโครงการ
Safe
for sure ของคณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฎลำปาง สามารถช่วยกลุ่มเกษตรอินทรีย์ได้เข้าถึงการตรวจมาตรฐานสินค้าตั้งแต่ต้นทางก่อนนำออกไปยังปลายทางได้ เพื่อทำให้กลุ่มสามารถปรับปรุงผลผลิต ไม่ให้ผลผลิตเกิดปัญหาภายหลัง เท่ากับเป็นการการันตีแหล่งผลิตด้วย
อยากให้มีโครงการต่อไปในระยะยาว ให้มีหน่วยงานกลางเข้ามาการันตีให้เกษตรกรได้
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น