ลำปางพบผู้ป่วยเนื้อเน่าอาการลุกลามเข้าผ่าตัดที่โรงพยาบาลลำปาง
อาการปลอดภัยดี นายแพทย์สาธารณสุขเตือนอย่าตื่น โรคนี้โอกาสเสียชีวิตเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่นายแพทย์เชี่ยวชาญเผย ปี 62 พบป่วยลักษณะเดียวกัน 122 ราย แต่ไม่รุนแรง ซึ่งเกิดได้กับทุกคน
ควรรักษาความสะอาด
นายแพทย์ประเสริฐ
กิจสุวรรณรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดลำปาง
เปิดเผยว่า จากประวัติของผู้ป่วยรายนี้
ได้ไปตักกองขี้วัว และเกิดอาการผื่นผิวหนังคัน และมีตุ่มน้ำพอง
คนไข้ได้นำเข็มไปเจาะออกเอง จึงเกิดการติดเชื้อที่ผิวหนัง
ซึ่งแบคทีเรียจะมีอยู่หลายชนิด ถ้าเป็นชนิดที่ต้องการออกซิเจนในการเติบโตจะกินเนื้อเยื่อชั้นผิวด้านบน
ผู้ป่วยรายนี้ได้รับเชื้อโรคที่ไม่ต้องการออกซิเจนในการดำรงชีวิต
มีความรุนแรงประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ เชื้อโรคจึงได้ทะลุเนื้อเยื่อเข้าไปทางผิวหนัง
ลึกเข้าไปในชั้นของกล้ามเนื้อ
การรักษา คนไข้แต่ละคนการรับเชื้อโรคกับภูมิต้านทานของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน
เมื่อไปโรงพยาบาลก็ให้ยาฆ่าเชื้อและยาปฏิชีวนะ แต่เชื้อรุนแรงครอบคลุมไม่ถึง
จึงทำให้เชื้อโรคลงไปกินเนื้อเยื่อชั้นล่าง เกิดภาวการณ์อักเสบในชั้นกล้ามเนื้อ
จึงต้องส่งมาโรงพยาบาลใหญ่เพื่อทำการผ่าตัดระบายเชื้อออก ล่าสุดอาการปลอดภัยแล้ว ซึ่งโรคนี้สามารถรักษาให้หายได้
เพียงแต่จะมีบาดแผลรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ที่ดูไม่สวยงาม ส่วนโอกาสการเสียชีวิตจากโรคนี้ มีเพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นในกรณีที่มารักษาไม่ทัน ที่ลำปางมีเจอผู้ป่วยแบบประปราย
ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ทางสุขภาพของเรา
เชื้อโรคนี้มีหลายตัว
เป็นไปได้ว่าเชื้อโรคกลุ่มนี้มักเจอตามพื้นดินและพื้นที่สกปรก อาชีพเกษตรกรถ้าจะเข้าไร่นา ขอให้สวมรองเท้า
หากมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ภูมิต้านทานไม่ดี ก็ไม่ควรเสี่ยง
โรคนี้เกิดได้กับทุกคน เพียงแต่ส่วนใหญ่ประเทศไทยประกอบอาชีพเกษตรกรเป็นหลัก
เวลาลงไร่นาไม่ชอบสวมรองเท้ายาง เวลาเป็นบาดแผลต้องรักษาให้ถูกต้อง และมาพบแพทย์
ด้านนายแพทย์วรินทร์เทพ
เชื้อสำราญ นายแพทย์เชี่ยวชาญด้านเวชกรรมป้องกัน กล่าวเพิ่มเติมว่า จากรายงานในช่วง
3 ปีที่ผ่านมา มีผู้ป่วยติดเชื้อลักษณะชั้นเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อปีละประมาณ 100 คน อาการหนักบ้างน้อยบ้างแล้วแต่กรณีไป จากรายงานของโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขในจังหวัดลำปาง
ปี 2562 เจอผู้ป่วย 122 ราย แต่ไม่ใช่ผู้ที่มีอาการรุนแรงทั้งหมด สำหรับผู้ป่วยรายนี้เป็นการติดเชื้อที่มีการลุกลามค่อนข้างมาก
แต่ก็ได้รีบการรักษาและอาการปลอดภัยดีแล้ว ส่วนการที่ทำให้แผลลุกลามหนักมีหลายปัจจัย เช่น
การทำความสะอาดแผลที่ไม่ถูกวิธี
เมื่อมีความผิดปกติแล้วไม่มาพบแพทย์ หรือผู้ป่วยมีโรคประจำตัว เป็นต้น
ฝากเตือนกรณีที่เป็นแผลไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่
ควรมีการทำแผลทำความสะอาดอย่างถูกวิธี หากอาการไม่ดีขึ้นให้ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลให้วินิจฉัยว่าแผลมีการลุกลามถึงขั้นไหน
โดยเฉพาะผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเบาหวาน ภูมิต้านทานจะทำงานไม่ดี
มีอาการชาตามมือตามเท้า บางทีเมื่อเกิดแผลจะไม่รู้ตัว นายแพทย์วรินทร์เทพ กล่าว
สำหรับ Necrotizing Fasciitis คือ โรคแบคทีเรียกินเนื้อหรือโรคเนื้อเน่า เป็นภาวะติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณเนื้อเยื่ออ่อนที่อาจส่งผลให้ผิวหนังและกล้ามเนื้อถูกทำลายได้
ผู้ป่วยอาจมีอาการร้อนบริเวณผิวหนัง ผิวเปลี่ยนเป็นสีแดง
รู้สึกเจ็บปวดบริเวณแผลซึ่งจะรู้สึกปวดมากขึ้น โดยการติดเชื้ออาจลุกลามไปอย่างรวดเร็ว
รวมทั้งอาจมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น อ่อนเพลีย เวียนศีรษะ มีไข้ คลื่นไส้
หรือท้องเสีย เป็นต้น แม้โรคนี้จะพบได้น้อย แต่อาจทำให้ป่วยรุนแรงจนเสียชีวิตได้
ผู้ป่วยจึงต้องไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที
อาการของโรคแบคทีเรียกินเนื้อหรือโรคเนื้อเน่า
ระยะแรกหลังการติดเชื้อภายใน 1 วัน ผู้ป่วย Necrotizing
Fasciitis อาจมีอาการเจ็บป่วยที่ไม่รุนแรง คือ ผิวหนังบริเวณรอบๆ บาดแผลร้อนหรือมีสีแดง
รู้สึกปวดบาดแผลมากผิดปกติ
บริเวณที่เกิดการติดเชื้อเกิดการเปลี่ยนสี หรือมีของเหลวซึมออกมา
มีตุ่มแดงเล็กๆ
ถุงน้ำ จุดดำ หรือความผิดปกติอื่น ๆ
เกิดขึ้นบนผิวหนังร่วมกับเกิดความเจ็บปวดบริเวณดังกล่าว
ซึ่งอาการบนผิวหนังมักกระจายออกไปและทำให้รู้สึกเจ็บปวดมากแบบไม่สัมพันธ์กับแผล
ตึงบริเวณกล้ามเนื้อ มีอาการคล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่ เช่น อ่อนเพลีย
เหนื่อยล้า มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ เป็นต้น มีภาวะขาดน้ำ โดยมีอาการ
เช่น กระหายน้ำ ปัสสาวะน้อย เป็นต้น
หลังจากนั้น
เมื่อติดเชื้อไปแล้ว 3-4 วัน
ผู้ป่วยอาจมีอาการรุนแรงมากขึ้น เช่น บริเวณที่เกิดการติดเชื้ออาจมีอาการบวม
มีผื่นสีม่วงขึ้น หรือมีตุ่มน้ำสีเข้มที่ส่งกลิ่นเหม็น ผิวหนังอาจเกิดการเปลี่ยนสี
และเนื้อเยื่อที่ตายแล้วอาจหลุดลอกออก เป็นต้น และเมื่อการติดเชื้อเข้าสู่วันที่ 4-5
ผู้ป่วยอาจมีภาวะวิกฤติ ได้แก่ ความดันโลหิตต่ำ ช็อก หรือหมดสติได้
สาเหตุของโรคแบคทีเรียกินเนื้อหรือโรคเนื้อเน่า
Necrotizing
Fasciitis เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น สเตรปโตค็อคคัส กลุ่มเอ (Group A Streptococcus)
คลอสตริเดียม (Clostridium) เคล็บเซลลา
(Klebsiella) สแตฟิโลค็อกคัส ออเรียส (Staphylococcus
Aureus) อีโคไล (E. Coli) และแอโรโมแนส
ไฮโดรฟิลา (Aeromonas Hydrophila) เป็นต้น
ซึ่งเชื้ออาจปล่อยสารพิษทำลายเนื้อเยื่อผิวหนังและกล้ามเนื้อจนส่งผลให้เนื้อเยื่อตายได้
โดยเชื้อแบคทีเรียเหล่านี้สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทั้งทางผิวหนังหรือกระแสเลือดผ่านทางแผลถูกบาด
แผลถลอก รอยข่วน แมลงกัดต่อย การใช้เข็มฉีดยา หรือแผลผ่าตัด
โดยผู้ที่เสี่ยงต่อโรคนี้
ได้แก่ ผู้ที่ติดแอลกอฮอล์หรือฉีดสารเสพติด ผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์ ผู้ป่วยโรคผิวหนัง
ผู้ป่วยโรคหัวใจหรือโรคปอดเรื้อรัง
ผู้ป่วยเบาหวานหรือมะเร็ง
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1240 วันที่ 2 - 8 สิงหาคม 2562)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น