
ในบรรดาอุทยานแห่งชาติทั่วประเทศไทย
ดูเหมือนว่าอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนของเรา จะมีความโดดเด่นกว่าใครเขาก็ตรงที่มีพร้อมทั้งน้ำตก
บ่อน้ำพุร้อน และห้องอาบน้ำแร่ที่ออกแบบอย่างสวยงาม อยู่ในบริเวณเดียวกัน
สามารถท่องเที่ยวได้อย่างสะดวกสบาย เราจึงได้เล่นน้ำตกที่เย็นฉ่ำ
สลับไปนอนแช่น้ำแร่จนเนื้อตัวสบายเบาหวิว
เมื่อพูดถึงคำว่า
“บ่อน้ำพุร้อน” เราอาจนึกไปถึงภาพของน้ำใต้ดินผุดพุ่งขึ้นมาสร้างความตื่นตาตื่นใจให้ผู้ชม
แต่บ่อน้ำพุร้อนแจ้ซ้อนไม่ได้เป็นเช่นนั้น บ่อน้ำพุร้อนของเรามีพื้นที่ราว 3 ไร่
มีบ่อน้ำพุร้อนอยู่ 9 บ่อ ลักษณะเป็นบ่อตื้น ๆ
หลายบ่อรวมอยู่ในบริเวณที่ระเกะระกะไปด้วยก้อนหินน้อยใหญ่ เมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ
จะพบว่า แต่ละบ่อมีแค่ฟองอากาศผุดปุด ๆ ขึ้นมาจากข้างใต้เท่านั้น ไม่เห็นเป็น “บ่อน้ำพุร้อน”
ตรงไหน นั่นเพราะเรานำไปเปรียบเทียบกับน้ำพุร้อนสันกำแพง หรือน้ำพุร้อนที่ฝางของเชียงใหม่
ซึ่งมีน้ำใต้ดินพุ่งขึ้นมาเป็นระยะ ของเราน่าจะเรียกว่า “บ่อน้ำร้อน” ก็พอ
อันที่จริงจะเรียกว่า
บ่อน้ำพุร้อน บ่อน้ำร้อน โป่งน้ำร้อน หรือโป่งเดือด ก็ได้ทั้งนั้น
เพราะเป็นชื่อที่เรียกแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น แต่นักวิชาการกลับใช้คำว่า
“พุน้ำร้อน”
พุน้ำร้อนมีความสัมพันธ์กับบริเวณที่เปลือกโลกมีการเคลื่อนตัว
เมื่อเปลือกโลกเคลื่อนตัว จะเกิดรอยคดโค้ง หรือรอยเลื่อนของชั้นหินขึ้น
ทำให้ความร้อนที่อยู่ใต้พิภพถ่ายเทมาถึงบริเวณนี้ เมื่อน้ำใต้ดิน
ซึ่งก็คือน้ำจากผิวโลกที่ซึมผ่านรอยแยก หรือช่องโพรงในหิน ซึมลึกลงไปใต้พื้นผิวโลก
น้ำใต้ดินจะมีความร้อนสูงจนกลายเป็นไอน้ำ
และดันให้น้ำร้อนใต้ดินพุ่งกลับขึ้นมาสู่ผิวดิน กลายเป็นพุน้ำร้อนในที่สุด
พุน้ำร้อนบางแห่งมีแก๊สและแร่ธาตุจากใต้พื้นโลกไหลปะปนขึ้นมาด้วย อาทิ
กลิ่นกำมะถัน ซึ่งเรามักได้กลิ่นเวลาเดินเข้าใกล้พุน้ำร้อน คล้าย ๆ กลิ่นของไข่ต้ม
ชวนให้คิดไปว่า
เอ...นี่นักท่องเที่ยงพากันมาต้มไข่ในบ่อน้ำพุร้อนมากเสียจนทั่วบริเวณอบอวลไปด้วยกลิ่นไข่ต้มกระนั้นหรือ
พุน้ำร้อนมีหลายลักษณะ
บางแห่งที่มีกำลังแรงไม่มาก ก็จะมีเพียงน้ำรินไหล หรือเดือดปุด ๆ
แต่บางแห่งมีกำลังแรงมาก ถึงขนาดทำให้น้ำพุ่งขึ้นมาจากใต้ดิน
โดยมีไอน้ำและแก๊สพุ่งออกมาด้วย
พุน้ำร้อนลักษณะนี้มักมีแรงอัดดันให้น้ำพุ่งขึ้นมาเป็นพัก ๆ เมื่อหมดแรงส่ง
น้ำจะหยุดพุ่ง จนเมื่อสะสมกำลังได้มากพอ ก็จะดันน้ำและไอน้ำให้พุ่งขึ้นมาได้อีก
นักวิชาการเรียกพุน้ำร้อนชนิดนี้ว่า “กีเซอร์” น้ำพุร้อนที่อำเภอฝาง
จังหวัดเชียงใหม่ ก็เข้าข่ายกีเซอร์ด้วย
บ่อน้ำพุร้อนไม่ใช่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่หาดูได้ทุกภาคของประเทศไทย
ภาคอีสานไม่มีบ่อน้ำพุร้อนแม้แต่แห่งเดียว ทว่ามีอยู่กระจัดกระจายในภาคกลาง
ภาคตะวันตก และภาคตะวันออก รวมกัน 16 แห่ง
อยู่ในภาคเหนือมากที่สุดถึง 50 แห่ง รองลงไปคือภาคใต้ มีอยู่
25 แห่ง รวมแล้วประเทศไทยมีบ่อน้ำพุร้อนทั่วประเทศ 91
แห่ง
ฤดูที่เหมาะที่สุดที่จะไปเที่ยวบ่อน้ำพุร้อน
คือ ช่วงปลายฝนต้นหนาว เนื่องจากสภาพป่ายังเขียวครึ้มอยู่
อีกทั้งบริเวณบ่อน้ำพุร้อนในช่วงเช้าและเย็น
จะเป็นช่วงที่ไอน้ำจากบ่อน้ำพุร้อนปะทะกับความเย็นของอากาศโดยรอบ
เกิดเป็นม่านหมอกไอน้ำลอยปกคลุมสวยงามราวกับภาพฝัน
นอกจากความรื่นรมย์ทางสายตา
เรายังสามารถสัมผัสบ่อน้ำพุร้อนแจ้ซ้อนได้อย่างใกล้ชิดจาก 2 กิจกรรม
กิจกรรมแรก
คือ การนอนแช่น้ำแร่ในห้องอาบน้ำแร่ กล่าวกันว่า เนื้อตัวที่เบาสบายขึ้นหลังการอาบน้ำแร่นั้น
เป็นผลมาจากการที่เลือดไหลเวียนดีขึ้น เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงจะไปขยายหลอดเลือด
ทำให้หัวใจสูบฉีด เลือดส่งไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายดีขึ้น นอกจากนั้น
น้ำแร่ยังบำบัดความปวดเมื่อยได้ และช่วยขจัดสิ่งสกปรกออกจากรูขุมขน
ช่วยให้ผิวพรรณผุดผ่อง
ส่วนกิจกรรมที่สอง
ใครต่อใครที่มาเที่ยวบ่อน้ำพุร้อนแจ้ซ้อน (และแน่นอน
มันคือธรรมเนียมของการเที่ยวบ่อน้ำพุร้อนทั่วประเทศ) มักไม่พลาดการต้มไข่ในน้ำแร่
ด้วยการถือกระเช้าเล็ก ๆ ใส่ไข่ไก่ หรือไข่นกกระทา
ติดไม้ติดมือมาหย่อนทิ้งไว้ในบ่อน้ำพุร้อน เมื่อถึงเวลาก็เดินมายกเก็บขึ้นไป
มีซอสขวดหนึ่งก็อร่อยกันได้ทั้งครอบครัว แต่ถ้าจะให้ดูเป็นเรื่องเป็นราวเข้าขั้นมืออาชีพ
ก็ต้องเมนูนี้ “ยำไข่น้ำแร่”
ยำไข่น้ำแร่
คือ ไข่ไก่ต้มในบ่อน้ำพุร้อนที่มีอุณหภูมิเฉลี่ย 73 องศาเซลเซียส
โดยระยะเวลาดีที่สุดที่ได้รับการพิสูจน์และรับรองอยู่ที่ 17 นาที
อันเป็นเวลาที่ไข่แดงจะสุกแข็ง ในขณะที่ไข่ขาวยังเหลวอยู่ จากนั้นนำไข่ไปยำ
โดยราดน้ำยำที่ปรุงด้วยน้ำมะนาว น้ำปลา พริก หอมซอย โรยหน้าด้วยกุ้งแห้งป่น
ดูเหมือนอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนของเราจะครบครันไปด้วยประโยชน์หลายอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นการได้ผ่อนคลายอารมณ์จากการชื่มชมธรรมชาติที่สวยงาม
แช่น้ำแร่ร้อนแล้วก็หายปวดเมื่อย ผิวพรรณผ่องใส แถมยังได้อิ่มอร่อยจากเมนูเบา ๆ
ที่อุดมไปด้วยโปรตีนและสมุนไพร อืม...ช่างดีงามต่อสุขภาพแบบองค์รวมจริง ๆ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น