พระราชดำรัสพร้อมลายพระหัตถ์ ในโอกาสที่คณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฎิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่
เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2562
ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชทานมายังพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ตามที่ได้ขอพระบรมราชานุญาต กลายเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายรวบรัด ตัดตอน และสรุปเอาว่า
ปมถวายสัตย์ที่ยืดเยื้อยาวนานมาหลายวันนั้น จบแล้ว
บางคนถึงกับฟันธงว่า
การยืนยันจะอภิปรายเรื่องนี้ต่อไปในสภาผู้แทนราษฎร กระทบกระเทือนจิตใจคนไทยที่รักชาติและสถาบัน
“ขอเตือนสติพรรคฝ่ายค้านกันอีกครั้ง
โปรดระมัดระวังอย่างยิ่ง ในการอภิปราย ในสภาผู้แทนราษฎร ทำอย่างไรที่จะไม่พาดพิง
และกระทบกระเทือนจิตใจคนไทยและสถาบันฯ พรรคฝ่ายค้านใหญ่อย่างเพื่อไทยน่าจะรู้เท่าทันเกมการเมือง
ที่พยายามลากทุกเรื่องลงมาด้วยครับ”
คำเตือนของสมชาย แสวงการ
วุฒิสมาชิก ยังฟาดงวงฟาดงา ไปถึงนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ซึ่งยังคงยืนยันที่จะอภิปรายปมถวายสัตย์ต่อไปด้วย
โดยนายปิยบุตร ระบุว่าแม้ผู้ตรวจการแผ่นดิน จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว
แต่สภาผู้แทนราษฎรยังสามารถพิจารณาญัตติดังกล่าวได้
โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมาก่อน
“เป็นถึงเลขาธิการพรรค
อดีตอาจารย์สอนกฎหมาย ไม่รู้จริงหรือแกล้งไม่รู้ครับ ไม่ยุติหรือต้องการไม่ยุติ
พยายามดึงลากถูเข้าสภาเพื่ออภิปรายต่อตามคาด”
คำถามก็คือ
พระบรมราชานุญาตให้นำพระราชดำรัสพร้อมลายพระหัตถ์ พระราชทานนายกรัฐมนตรีนั้น ปมถวายจะสิ้นสุดไปพร้อมกับการอัญเชิญพระราชดำรัสมาแสดงต่อสื่อมวลชนหรือไม่
คำตอบคือไม่ คำว่าไม่
อธิบายด้วยหนังสือ “หลังม่านการเมือง” เขียนโดยนายวิษณุ เครืองาม
เมื่อนานมาแล้ว โดยเขียนไว้ว่า ในสมัยนายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี
ได้มีการขอพระบรมราชานุญาต นำพระราชดำรัสมาตีพิมพ์เป็นลายลักษณ์อักษร
เข้ากรอบรูปสวยงาม แจกครม.ทุกคน เพื่อให้เป็นเครื่องเตือนใจในการทำงาน
ทั้งที่ยุคนายบรรหาร
ศิลปอาชา ไม่ได้มีปมถวายสัตย์ไม่ครบ
การทำให้พระราชดำรัสกลายเป็นเงื่อนไข
ปิดปมถวายสัตย์ จึงเป็นคนละเรื่องเดียวกัน กับการหาคำตอบว่า การถวายสัตย์ซึ่งไม่ควรจะผิดพลาดเลยสำหรับนายกรัฐมนตรี
ถูกต้อง ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่จะต้องรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
ส่วนเรื่องทางการเมือง
ก็ควรต้องเดินหน้าต่อไป ตามวิถีของการเมืองในระบอบประชาธิปไตย พล.อ.ประยุทธ์
จันทร์โอชา ก็ต้องพยายามปรับตัวให้เคยชินกับการเป็นนายกรัฐมนตรี
ที่ต้องรับผิดชอบต่อสภาที่มาจากประชาชน ไม่ว่าตัวเองจะพึงพอใจหรือไม่ก็ตาม
คาดว่า
ญัตติอภิปรายเป็นการทั่วไปโดยไม่ลงมติในสภา จะได้รับการบรรจุในวาระ ในห้วงสัปดาห์นี้
คือวันที่ 11 หรือ 12
กันยายน แต่อาจเป็นการพิจารณาเป็นวาระลับ เนื่องเพราะฝ่ายรัฐบาลเชื่อว่าอาจมีประเด็นที่กระทบไปถึงสถาบัน
และคาดว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
จะออกมาในเวลาไล่เรี่ยกัน เพราะความเคลือบแคลงสงสัยเรื่องปมถวายสัตย์
มีคำถามที่เกี่ยวพันไปถึงความเป็นโมฆะในการบริหารราชการแผ่นดินต่อไป โดยที่ไม่มีการถวายสัตย์
หรือเมื่อศาลรัฐธรรมนูญรับไว้วินิจฉัย คณะรัฐมนตรีจะต้องหยุดปฎิบัติหน้าที่หรือไม่
เรื่องปมถวายสัตย์ยังไม่จบแน่นอน
ทั้งที่ควรได้ข้อยุติมาก่อนหน้านี้แล้ว หากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตระหนักถึงบทบาท
หน้าที่ ความรับผิดชอบ ของนายกรัฐมนตรีในยุคสภาประชาธิปไตย
ไม่ใช่สภาตรายางเช่นในยุคสภานิติบัญญัติอีกแล้ว
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1244 วันที่ 6 - 19 กันยายน 2562)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น