
ในบรรดาวัดพม่าของเมืองลำปางนั้น
แต่ละวัดล้วนเก่าแก่และงดงามมีเอกลักษณ์ วัดศรีรองเมืองก็เป็นวัดหนึ่งที่มีชื่อเสียงด้วยสถาปัตยกรรมพม่าสมัยราชวงศ์คองบองตอนปลาย
สกุลช่างมัณฑะเลย์ วิหารของวัดได้ชื่อว่าเป็นวิหารไม้สักทองที่สวยที่สุดในเมืองลำปาง
เพียงเดินเข้าประตูมา ก็จะพบกับความใหญ่โตโอ่อ่าของวิหารที่ตั้งอยู่ตรงกลาง ดึงดูดความสนใจให้ต้องรีบเข้าไปชื่นชม
โดยที่หลายคนไม่เคยรู้ว่า วัดศรีรองเมืองยังมีความง่ายงามในอีกรูปแบบหนึ่ง
แทรกตัวอยู่ท่ามกลางร่มไม้ทางด้านข้างอย่างเจียมตน นั่นคือเวจกุฎี
หรือส้วมของพระสงฆ์ ซึ่งสร้างขึ้นอย่างวิจิตรบรรจงและมีอายุเก่าแก่มากกว่า 100
ปี
สมัยแรกสร้างเมื่อปี
พ.ศ. 2447 วัดศรีรองเมืองมีเพียงกุฏิหลังเล็ก ๆ พร้อมเวจกุฎี 4-5 หลัง โดยแบ่งแยกการใช้ไม่ปะปนกันระหว่างพระภิกษุ สามเณร และเจ้าอาวาส รูปแบบดั้งเดิมของเวจกุฎีที่วัดศรีรองเมืองเป็นส้วมหลุมดิน
ลึกราว ๆ 2-3 เมตร ใช้อิฐก่อเป็นฐานสูงราว 1 เมตร แล้วขุดหลุมฝังเสาทั้ง 4 ด้าน ใช้ไม้ตีเป็นฝาล้อมรอบ
ขนาดความกว้าง 2 เมตร ยาว 4 เมตร
มีบันไดทางขึ้น ส่วนหลังคาเป็นลักษณะซ้อนชั้น 3 ชั้น
ลดหลั่นกันลงมา เชิงชายคาแกะสลักลวดลายสวยงาม
พอวิหารไม้สักสร้างเสร็จ
พระก็ย้ายไปอยู่ที่วิหาร กุฏิหลังเล็กถูกรื้อถอน เหลือแต่เวจกุฎี ครั้นเมื่อเจ้าอาวาสรูปที่
3
มรณภาพ ก็ได้มีการรื้อถอนเวจกุฎีออกไปเพื่อก่อตั้งเมรุชั่วคราว เหลือหลังที่เคยเป็นของเจ้าอาวาสไว้เพียงหลังเดียว
ซึ่งก็คือหลังที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้นั่นเอง แต่น่าเสียดายที่เหลือไว้ให้ดูแค่โครงสร้างภายนอกเท่านั้น
ส่วนภายในหากแง้มประตูเข้าไปจะเห็นเพียงห้องโล่ง ๆ ที่พื้นโบกปูนปิดเรียบ ฝาผนังด้านหนึ่งเจาะช่องสี่เหลี่ยมไว้ระบายอากาศ
แม้เพียงภายนอกก็สวยงาม
ชมเพลินแล้ว ว่ากันตามตรง มองเผิน ๆ คล้ายกับบ้านพักรีสอร์ตเสียด้วยซ้ำ ด้วยหลังคาแป้นเกล็ดซ้อนชั้น
เหนือส่วนแหลมของปั้นลมมีเสากลึงประดับอยู่อย่างเหมาะเจาะ เชิงชายคาเป็นสังกะสีฉลุลายอ่อนช้อยโดยรอบ
เหนือประตูทางเข้าทำช่องลมโค้ง แต่ปิดทึบ ตรงกลางมีรูปหงส์สีทองอร่ามประดับโดดเด่น
พูดถึงเรื่องส้วม สมัยก่อนยามที่ต้องทำธุระหนัก
หรือเบา มักจะบอกกันว่า “ไปทุ่ง”
หรือ “ไปป่า”
สะท้อนให้เห็นถึงวิธีขับถ่ายของคนไทยสมัยก่อน
แต่นั่นไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมสำหรับพระสงฆ์ ส้วมพระจึงเป็นของจำเป็น
เพราะชาวบ้านคงอยากให้ท่านมีที่ขับถ่ายมิดชิดเป็นที่เป็นทางมากกว่าคนทั่วไป
เรื่องการขับถ่ายนั้น
ในพระวินัยได้บัญญัติไว้ว่า “...พึงทำศึกษาว่า
เราไม่อาพาธ 1. จักไม่ยืนถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ 2. จักไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะบนของสดเขียว 3. จักไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ...”
ซึ่งก็ชัดเจนเลยว่า ห้ามพระสงฆ์ “ไปทุ่ง” อย่างชาวบ้าน
ในพระวินัยปิฎกได้ระบุลักษณะของเวจกุฎีที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้สงฆ์ใช้
รวมถึงกำหนดข้อห้ามในการใช้ไว้หลายข้อ ข้อควรปฏิบัติและรายละเอียดในการขับถ่ายต่าง
ๆ เหล่านี้ ได้กลายมาเป็นข้อกำหนดรูปลักษณ์ของเวจกุฎีและเขียง (แผ่นรองรับเท้า) สำหรับขับถ่าย
ทั้งที่พบในศรีลังกาและไทย
ในขุททกวัตถุขันธกะบรรยายเอาไว้ว่า
แต่เดิมพระภิกษุต่างพากันปัสสาวะไม่เป็นที่เป็นทาง ทำให้อารามสกปรกและมีกลิ่นเหม็น
ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงทรงบัญญัติให้สงฆ์ปัสสาวะในที่ใดที่หนึ่งเป็นการเฉพาะ
และอนุญาตให้ใช้หม้อมีฝาปิดรับปัสสาวะ แต่การนั่งปัสสาวะลงในหม้อก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก
พระพุทธองค์จึงอนุญาตให้ใช้เขียง หรือแผ่นรองรับเท้า เพื่อถ่ายปัสสาวะ
ส่วนการถ่ายอุจจาระก็ทำนองเดียวกันกับการถ่ายปัสสาวะ
คือแต่เดิมพระภิกษุต่างพากันอุจจาระจนอารามสกปรกและมีกลิ่นเหม็น พระพุทธองค์จึงอนุญาตให้ทำหลุมสำหรับถ่ายอุจจาระ
และเพื่อป้องกันไม่ให้ปากหลุมพัง จึงทรงอนุญาตให้กรุผนังและปากหลุมด้วยอิฐ หิน ไม้
ซึ่งสิกขาบทข้อนี้น่าจะเป็นที่มาของการกรุหลุมถ่ายอุจจาระด้วยอิฐ หรือศิลาแลง
เช่นที่พบในลังกา สุโขทัย และกำแพงเพชร นอกจากนี้ หลุมอุจจาระบางแห่งอยู่ต่ำจนน้ำท่วมขัง
จึงทรงอนุญาตให้ถมพื้นให้สูง ตลอดจนก่อยกสูงด้วยอิฐ หิน หรือไม้ เพื่อความสะดวก
และเพื่อป้องกันไม่ให้มีการพลัดตกลงไปในหลุมได้
จึงอนุญาตให้ทำเขียงรองรับเท้าไว้เหนือปากหลุม
ด้วยเหตุนี้ พระสงฆ์จึงมีส้วมใช้เป็นการเฉพาะมาตั้งแต่สมัยโบราณ
ซึ่งยืนยันได้จากการที่นักโบราณคดีขุดค้นพบชิ้นส่วนส้วมตามเมืองโบราณหลายแห่ง เช่น
สุโขทัยและกำแพงเพชร รวมถึงวัดเก่าแก่ที่สามโคก ปทุมธานี
ทั้งนี้ นักโบราณคดีได้พบหลักฐานที่ชี้ว่า
ส้วมเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยเท่าที่พบในขณะนี้ เป็นส้วมสมัยสุโขทัย อายุราวพุทธศตวรรษที่
19-20
หรือราว 700 ปีมาแล้ว โดยพบบริเวณเชิงเขาพระบาทน้อย
เมืองเก่าสุโขทัย ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่สุโขทัย ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง
สำหรับเวจกุฎีวัดศรีรองเมือง
ความงามแบบสมถะตั้งอยู่อย่างสงบเสงี่ยมในอีกฟากหนึ่งของวิหารอันโอฬารตระการตา
สิ่งก่อสร้างหลังน้อยสะท้อนให้เห็นถึงศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาในอีกแง่มุมหนึ่งว่าแม้แต่ส้วมของพระ
ช่างฝีมือก็มิได้ละเลยที่จะรังสรรค์ให้สวยงาม
จนอาจทำให้ใครบางคนหยุดยืนอย่างชื่นชมตรงหน้าส้วมอยู่เป็นนานก็ได้
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น