
เมื่อเวลาประมาณ 09.00 น.วันที่ 11 ก.พ. 63
นางแสงจันทร์ มูลซาว ผู้ใหญ่บ้านห้วยคิง หมู่ 6 ต.แม่เมาะ
อ.แม่เมาะ พร้อมด้วยนายวิวัฒน์ ปินตา
แกนนำชาวบ้าน ได้นำชาวบ้านประมาณ 300 คน เดินทางมายังที่ว่าการอำเภอแม่เมาะ
เพื่อขอทราบความคืบหน้ากรณีการอพยพราษฎรบ้านห้วยคิง หมู่ 6 จำนวน 450
หลังคาเรือน แต่ขณะนี้ยังมีการยืดเยื้อ
เนื่องจากยังไม่มีการจ่ายค่าชดเชยให้ชาวบ้านที่บุกรุกพื้นที่ป่า หมู่ 8 บ้านเมาะหลวง ที่เป็นพื้นที่รองรับการอพยพ จำนวน 63
ราย
ทำให้ไม่สามารถเข้าไปดำเนินการปรับพื้นที่เพื่อรองรับการอพยพของราษฎรบ้านห้วยคิงได้
นายนิมิตร ผดุงศิลป์ไพโรจน์ นายอำเภอแม่เมาะ
กล่าวว่า กรณีผู้บุกรุก 63 ราย
ทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พิจารณาก่อนจะเข้า ครม.
มีข้อสังเกตว่าราษฎรบ้านเมาะหลวงเข้าไปครอบครองพื้นที่ทำกินก่อนปี 2541 จึงได้รับการอนุโลมตามกฎหมาย
แต่ก็มีข้อสังเกตว่าการให้ความช่วยเหลือราษฎรทั้ง 63
ราย จะต้องไม่ใช่บุคคลในครอบครัวที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากรัฐแล้ว
และต้องเป็นผู้ถือครองที่ดินอยู่เดิม
เพื่อป้องกันไม่ให้มีการช่วยเหลือซ้ำซ้อน
ต่อมาเลขาธิการคณะรัฐมนตรียังได้มีการขอความเห็นจากคณะกรรมการกฤษฎีกาว่ากรณีดังกล่าวจะจ่ายค่าชดเชยได้หรือไม่ กฤษฎีกาได้มีความเห็นว่า
การจ่ายค่าชดเชยที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ให้แก่ราษฎรบ้านเมาะหลวง จำนวน 63 ราย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ราษฎรตามหลักมนุษยธรรม
ไม่ใช่เป็นการช่วยเหลือซ้ำซ้อน
ขณะที่ความเห็นของกรมป่าไม้บอกว่า 63 ราย
เคยเป็นผู้ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐแล้วตามมติ ครม. 30
มิ.ย.41 เรื่องการแก้ปัญหาที่ดินทำกิน เพราะฉะนั้นความเห็นจึงขัดแย้งกัน ที่ประชุมคณะอำนวยการฯจึงมีการหารือไปยังกฤษฎีกาอีกครั้ง
อยู่ระหว่างรอข้อสรุป
นายวิวัฒน์ ปินตา แกนนำชาวบ้าน กล่าวว่า
นับตั้งแต่การเรียกร้องรวมมาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว
และถ้านับตั้งแต่ มติ ครม.เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 56 เป็นเวลา 7
ปี ตลอดเวลาที่ผ่านมาชาวบ้านรอคอยคำตอบจากหน่วยงานราชการว่าทุกอย่างจะสะเด็ดน้ำเมื่อไร ขณะที่ 3 หมู่บ้าน
ต.บ้านดง อ.แม่เมาะ มีมติ ครม.ออกมาพร้อมกันแต่ได้มีความคืบหน้าไปแล้ว 70 เปอร์เซ็นต์
ส่วนหมู่บ้านห้วยคิง ม.6
ประสบปัญหามีผู้บุกรุกเข้าไปในพื้นที่รองรับการอพยพ ยังไม่มีการจ่ายค่าชดเชย ทางกรมป่าไม้ก็ไปให้ความเห็นขัดแย้งกับกฤษฎีกาอีก
จึงต้องตีความกันไปมา
ตนเองคิดว่าไม่เห็นจะต้องย้อนกลับไปถามอีก
เพราะอย่างไรกฤษฎีกาก็จะให้ความเห็นกลับมาเหมือนเดิม
ทำให้ชาวบ้านต้องมานั่งรอคำตอบอีกโดยไม่รู้ว่าต้องรอนานอีกเท่าไร
ตอนนี้ชาวบ้านต้องการความชัดเจนว่าการอพยพจะสิ้นสุดเมื่อไร
จึงมายื่นหนังสือไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด
และขอให้แจ้งข่าวสารให้ชาวบ้านได้รู้ความเคลื่อนไหวตลอดเวลาด้วย
ถ้าป่าไม้ยังไม่ดำเนินการใดๆทั้งที่มอบพื้นที่ให้กับ กฟผ.แล้ว ชาวบ้านจะรวมตัวกันไปแจ้งความ มาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่กับกรมป่าไม้ที่ไม่จัดการกับผู้บุกรุก 63 ราย
เราจะให้เวลาไปจนถึงสิ้นเดือน ก.พ.นี้
ถ้ายังไม่มีคำตอบเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ว่าฯ
ชาวบ้านก็จะไปเจอกันที่ศาลากลางอีกครั้ง
จากนั้น นางแสงจันทร์ มูลซาว ผู้ใหญ่บ้านห้วยคิง พร้อมด้วยชาวบ้าน
ได้ร่วมกันยื่นหนังสือให้กับนายอำเภอแม่เมาะ
เพื่อส่งต่อไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง ให้เร่งรัดดำเนินการในเรื่องดังกล่าว
ก่อนจะแยกย้ายกันกลับ โดยจะนัดมาฟังคำตอบอีกครั้งในวันที่ 4 มี.ค. 63 นี้
หากไม่มีความคืบหน้าจะเดินทางไปแจ้งความทันที
สำหรับความเป็นมาการอพยพราษฎรบ้านห้วยคิง หมู่
6 ในปี 2556
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้อพยพราษฎร 5 หมู่บ้าน
รวมถึงราษฎรบ้านห้วยคิง หมู่ที่ 6 ด้วย
โดยให้อพยพไปบริเวณบ้านเมาะหลวง หมู่ที่ 8 ต.แม่เมาะ
อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ เนื้อที่ 590
ไร่
(คณะกรรมการพิจารณาการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติให้ความเห็นชอบการใช้พื้นที่ดังกล่าวแล้ว)
ซึ่งมีราษฎรจำนวน 63 ราย
ได้เข้าครอบครองใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าวอยู่
ทำให้ไม่สามารถดำเนินการอพยพราษฎรบ้านห้วยคิง หมู่ที่ 6
ให้เข้าไปอาศัยในพื้นที่รองรับดังกล่าวได้ โดยราษฎรจำนวน 63
รายนี้ได้ร้องขอต่อทางราชการว่า หากจะเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่แปลงดังกล่าว
ขอให้ทางราชการชดเชย เยียวยา ค่าที่ดินต้นไม้ และสิ่งปลูกสร้าง
ตามมาตรฐานราคาของกรมชลประทานเช่นเดียวกันกับราษฎร 5
หมู่บ้านที่จะขออพยพตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2556
คณะกรรมการอำนวยการอพยพราษฎร 5 หมู่บ้าน พิจารณาแล้วมีมติให้จ่ายค่าชดเชย เยียวยา ค่าที่ดิน ต้นไม้
และสิ่ง ปลูกสร้าง
โดยใช้หลักเกณฑ์และราคาประเมินในราคามาตรฐานของกรมชลประทานรอบบัญชีราคาประเมินปี 2556
เป็นจำนวนเงิน 72,800,561 บาท
กระทรวงพลังงานจึงนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบให้จ่ายค่าชดเชยฯ
ในที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิในพื้นที่บ้านเมาะหลวง
ซึ่งเป็นพื้นที่รองรับการอพยพของราษฎรบ้านห้วยคิง หมู่ที่ 6 แต่เรื่องยังยืดเยื้อ
เนื่องจากมีการขอความเห็นไปยังกฤษฎีกา ว่าควรจะจ่ายค่าชดเชยให้กับราษฎร 63 รายหรือไม่ จนล่วงเลยมา 7 ปี ชาวบ้านไม่ได้รับความคืบหน้า
จึงรวบตัวกันมาติดตามทวงถามดังกล่าว
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น