หนุ่มเชียงใหม่ลอบขนยาเสพติดล็อตใหญ่ ซุกลังผลไม้ แต่ไม่รอดด่านเอ็กซเรย์ สภ.แม่พริก พบเป็นเคตามีน 186 กิโลกรัม สารภาพสิ้นเคยขนมาแล้ว 5 ครั้ง คนสั่งการเรียกตัวเองว่าผู้พัน ตำรวจเร่งขยายผลตามหาตัว ขณะที่ สภ.แม่สาย จ.เชียงราย ยึดไอซ์ 31 กิโลกรัม พร้อมผู้ต้องหา 3 คน

จำนวนผู้เข้าชม

เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 63 เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร.  พล.ต.ท.วิสนุ ปราสาททองโอสถ ผู้ช่วย ผบ.ตร.  พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผบช.ภ.5  ร่วมด้วยนายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผวจ.ลำปาง  พล.ต.ต.อนุชา อ่วมเจริญ ผบก.ภ.จว.ลำปาง  พล.ต.ต.ยุทธชัย พัวประเสริฐ  ผบก.ภ.จว.เชียงราย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่สาย และ สภ.แม่พริก จำนวนหนึ่ง ได้ร่วมกันแถลงข่าวผลการจับกุมเครือข่ายนักค้ายาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่ จ.ลำปาง และ จ.เชียงราย

โดย สภ.แม่พริก อ.แม่พริก จ.ลำปาง ได้จับกุมผู้ต้องหาลักลอบขนยาบ้าได้ 1 ราย  เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2563 เวลาประมาณ 18.30 น. ด่านตรวจยาเสพติด สภ.แม่พริก จ.ลำปาง คือ นายมโน   พุกเจริญ อายุ 28 ปี  อยู่บ้านเลขที่ 10 หมู่ 6 ต.ทุ่งข้าวพวง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่   พร้อมเคตามีนน้ำหนักประมาณ 186 กิโลกรัม

จากการสอบสวน ทราบว่า นายมโน ได้รับการประสานงานจากนายไก่ และนายเหยิน ซึ่งมีผู้สั่งการที่เรียกตัวเองว่าผู้พัน ได้ว่าจ้างให้มีการขนยาเสพติด  โดยเมื่อวันที่ 20 มี.ค.63 นายไก่ และนายเหยิน พร้อมวัยรุ่นอีก 4 คน ได้ขับรถยนต์โตโยต้า รีโว่ สีดำ ด้านหลังคลุมผ้าใบ ทะเบียน จ.เชียงใหม่ แต่ไม่ทราบหมายเลข  นำยาเสพติดมาที่บ้านเช่านายมโน เลขที่ 312 หมู่ 13 ต.เชียงดาว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่  ช่วยกันแพคของในบ้านนายมโน  เสร็จแล้วเก็บของไว้ในห้อง ต่อมาวันที่ 22 มี.ค.63 ประมาณ 12.00 น. นายเหยินได้ขับรถยนต์ อีซุซุ ดีแมค สีเทา มีโครงเหล็กสูง บรรทุกลังส้มมาเต็มลำมาที่บ้านเช่านายมโน และนำลังสม 17 ลัง ไปบรรจุยาเสพติดก่อนจะช่วยกันขนขึ้นรถยนต์ยี่ห้อ อีซุซุ สีขาว หมายเลขทะเบียน ยค 9027 เชียงใหม่ ของนายมโนและให้นายมโนขับรถออกมาตามเส้นทางหลัก จนกระทั่งมาถึงด่านตรวจยาเสพติด สภ.แม่พริก และถูกเรียกตรวจและนำเข้าอุโมงค์เอ็กซเรย์ พบวัตถุต้องสงสัยว่าเป็นยาเสพติด จึงได้นำมาตรวจค้นอย่างละเอียด  พบเป็นห่อสี่เหลี่ยมหุ้มด้วยกระดาษสีเงินซุกซ่อนอยู่ในลังบรรจุส้มจำนวน 17 ลัง ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเป็นเคตามีน น้ำหนักรวมประมาณ 186 กิโลกรัม

นายมโน   ให้การว่า ได้มีการขนยาเสพติดดังกล่าวมาจากบ้านเช่าของตนที่ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เพื่อนจะนำส่งไปปลายทาง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา  ได้ค่าจ้าง ครั้งละ 200,000 บาท นายไก่ นำมาให้ที่บ้าน ก่อน 50,000 บาท หลังเสร็จงานจะจ่ายอีก 150,000 บาท โดยตนเองเคยรับจ้างขนยาเสพติดมาแล้ว 5 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อประมาณ เดือน ต.ค.62 โดย ซุกช่อนไปกับลังผลไม้ (มะม่วง) เป็นยาเสพติด ไม่ทราบว่าจะเป็น ยาบ้า / ไอซ์ หรือคีตามีน  ครั้งที่ 2 ประมาณเดือน พ.ย.62 รอบ 1 ซุกช่อนไปกับลังผลไม้ (ส้ม) เป็น เฮโรอีน  ครั้งที่ 3 ประมาณเดือน พ.ย.62 รอบ 2  ซุกช่อนไปกับลังผลไม้ (ส้ม) เป็นยาเสพติด ไม่ทราบว่าจะเป็น ยาบ้า / ไอซ์ หรือคีตามีน  ครั้งที่ 4  วันที่ 4 มี.ค.63 ซุกช่อนไปกับลังผลไม้ (ส้ม) เป็น เฮโรอีน และครั้งที่ 5 วันที่ 22 มี.ค. 63 ซุกช่อนไปกับลังผลไม้ (ส้ม) เป็นเคตามีน 186 กิโลกรัม ซึ่งถูกจับกุมได้ดังกล่าว 

ในส่วนคดียาเสพติดของ สภ.แม่สาย จ.เชียงราย  สามารถจับกุมผู้ต้องหาลักลอบขนยาเสพติดได้จำนวน 3 ราย พร้อมของกลางยาไอซ์จำนวน 31 กิโลกรัม คือ นายปัณณวัฒน์ ทรายหมอ อายุ 23 ปี  อยู่บ้านเลขที่ 37 ม.9 ต.สันทราย อ.แม่จัน จ.เชียงราย   นายอนุสรณ์ แก้วเทพ อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่ 199 ม.8 ต.แม่จัน อ.แม่จัน จ.เชียงราย และ น.ส.นา อายุ 16 ปี ราษฎร ต.หงาว อ.เทิง จ.เชียงราย

โดยเจ้าหน้าที่ได้ทำการติดตามพฤติกรรมของนายอนุสรณ์ แก้วเทพ ทราบว่า ร่วมกับพวกหลายคน ลักลอบขนยาเสพติดโดยส่งผ่านบริษัทขนส่งเอกชนใน จ.เชียงราย ไปยังผู้รับภาคกลางและภาคใต้  จึงได้ติดตามความเคลื่อนไหวมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 22 มี.ค. 63 เวลา 20.40 น.พบรถกระบะยี่ห้ออิซูซุ สีบรอนด์ หมายเลขทะเบียน บย 1692 ลำพูน ขับมุ่งหน้าไปถามถนน อ.แม่จัน จ.เชียงรายด้วยความเร็ว จึงได้ติดตามไปสกัดไว้ และคุมตัวนายปัณณวัฒน์ ทรายหมอ ผู้ขับขี่ และ น.ส.นา ผู้โดยสาร ได้ 2 ราย พร้อมกับยาเสพติดบรรจุอยู่ในกระสอบ 2 กระสอบวางไว้ท้ายกระบะ เปิดดูเป็นยาไอซ์บรรจุในถุงชาจีนถุงละ 1 ก.ก. รวม 31 ถุง   เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ได้รับการว่าจ้างจากนายอนุสรณ์ให้ขนยาเสพติด ค่าจ้าง 30,000 บาท  โดยใช้วิธีนำส่งผ่านบริษัทขนส่งเอกชน ซึ่งตนเองกำลังจะนำไปส่ง ได้เคยลักลอบส่งโดยวิธีนี้สำเร็จมาแล้วหลายครั้ง  ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขยายผลจับกุมตัวนายอนุสรณ์ แก้วเทพ ได้ที่บ้านพักใน อ.แม่จัน จ.เชียงราย และแจ้งข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครอบเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย ก่อนนำตัวทั้ง 3 คนไปดำเนินคดี