วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

ผู้ตรวจการแผ่นดิน หารือปัญหารุกป่าม่อนแจ่ม พบผู้ครอบครองเป็นรายเดิม แต่ใช้พื้นที่ผิดวัตถุประสงค์ เสนอให้เข้าเจรจาชาวบ้าน คืนพื้นที่เป็นเกษตรกรรม

 

จำนวนผู้เข้าชม เว็บเคาน์เตอร์ 

วันที่  4 พฤศจิกายน 2563 พลเอก วิทวัส รชตะนันทน์ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน พร้อมด้วยนายวทัญญู ทิพยมณฑา รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน พันโท เทพจิต วีณะคุปต์ ผู้อำนวยการสำนักสอบสวน 4 และคณะ ร่วมประชุมหารือกับนายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายศรัญญู มีทองคำ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายกมล นวลใย ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 (เชียงใหม่) นายสมบูรณ์ ธีรบัณฑิตกุล ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จังหวัดเชียงใหม่ นายวัน ม่วงมา นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโป่งแยง ผู้แทนอำเภอแม่ริม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาการบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่ริม (ม่อนแจ่มและพื้นที่ใกล้เคียง) ตำบลโป่งแยง และตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ นำที่ดินไปใช้ประกอบธุรกิจที่พัก – รีสอร์ท ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการหลวงฯ

 พลเอก วิทวัส รชตะนันทน์ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้ลงพื้นที่ดอยม่อนแจ่มเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงตามที่มีการร้องเรียนจากผู้ประกอบการธุรกิจที่พักในพื้นที่ม่อนแจ่ม เนื่องจากได้รับความเดือดร้อนกรณีกรมป่าไม้ประกาศให้ระงับการประกอบธุรกิจและดำเนินคดีอาญาในข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่ริม (ม่อนแจ่มและพื้นที่ใกล้เคียง) ตำบลโป่งแยง และตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ อีกทั้งมีคำสั่งให้รื้อถอนสถานประกอบการนั้น ทั้งนี้ พบว่าป่าแม่ริมเป็นป่าต้นน้ำลำธารจัดอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 เอ มีขนาดพื้นที่กว่า 140,000 ไร่  โดยมีพื้นที่ที่โครงการหลวงหนองหอยขอใช้เพื่อให้ราษฎรอยู่อาศัยทำการเกษตรประมาณ 2,000 ไร่ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ราษฎรในพื้นที่ใช้ที่ดินทำเกษตรกรรมทดแทนการปลูกฝิ่น ซึ่งมีราษฎรเข้าร่วมโครงการหลวงประมาณ 600 กว่าราย มีพื้นที่กว่า 900 แปลง แต่ปัจจุบันได้มีการแปรสภาพการใช้ประโยชน์ของที่ดินจากเกษตรกรรมเป็นธุรกิจที่พัก – รีสอร์ท จำนวน 113 ราย โดยเป็นกลุ่มที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบความถูกต้องของสิทธิการใช้ประโยชน์ที่ดิน จำนวน 82 ราย และมีผู้ถูกดำเนินคดีแล้ว 31 ราย เนื่องจากเข้าข่ายกระทำความผิดชัดเจน นำที่ดินไปใช้ไม่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของโครงการหลวงหนองหอย เนื่องจากพื้นที่ม่อนแจ่มยังคงเป็นพื้นที่ป่าลุ่มน้ำชั้น 1 เอ รวมทั้งมีการบุกรุกพื้นที่ป่าเพิ่มเติม เปลี่ยนมือเจ้าของ หรือขายกิจการให้นายทุนนอกพื้นที่ แต่ราษฎรที่ทำเกษตรกรรมในพื้นที่ตามโครงการหลวงฯ เดิมและไม่มีการบุกรุกเพิ่มเติมจะไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีนี้


        พลเอก วิทวัส กล่าวต่อว่า จากการประชุมหารือร่วมกันในวันนี้ได้ข้อสรุปว่า ผู้ถือครอง 82 รายเป็นผู้ถือครองรายเดิม เพียงแต่ใช้ที่ดินผิดวัตถุประสงค์ไปในเชิงพาณิชย์ ซึ่งในพื้นที่โครงการหลวงฯ จะต้องยึดถือตามแนวทางเดิม คือ เกษตรกรรมพื้นที่สูง และต้องใช้พื้นที่ภายในกรอบกฎหมายของกรมป่าไม้ ขณะนี้จังหวัดเชียงใหม่ได้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อเจรจากับประชาชนที่ใช้ที่ดินผิดวัตถุประสงค์ว่าจะมีแนวทางให้กลับมาทำตามวัตถุประสงค์เดิมได้อย่างไร สำหรับการพิสูจน์สิทธิในที่ดินทำกิน ว่าราษฎรอยู่อาศัยมาก่อนประกาศเขตป่า 2507 หรือก่อนการประกาศให้โครงการหลวงฯ เข้ามาใช้พื้นที่ม่อนแจ่มนั้น ให้นำมติคณะรัฐมนตรี 30 มิถุนายน 2541 และมติคณะรัฐมนตรี 11 พฤษภาคม 2542 ที่ให้นำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ 2545 มาใช้ในการพิสูจน์สิทธิการครอบครองใช้ประโยชน์ที่ดิน ดังนั้น จึงต้องอาศัยทั้งการอ่านภาพถ่ายแผนที่ทางอากาศและการสำรวจรับรองแนวเขตเมื่อปี 2552 มาประกอบในการพิสูจน์สิทธิการทำประโยชน์ในแต่ละแปลง ซึ่งในชั้นนี้เชื่อว่า ราษฎรกลุ่มนี้ไม่น่าจะมีหลักฐานที่เชื่อว่าจะได้สิทธิ์ในที่ดินบริเวณนี้




ทั้งนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดินได้มีข้อเสนอแนะว่า 1) ให้จังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 (เชียงใหม่) สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จังหวัดเชียงใหม่ โครงการหลวงหนองหอย และประชาชนในพื้นที่ ร่วมกันจัดทำแผนแม่บทการบริหารจัดการบนพื้นที่ม่อนแจ่มเพื่อพัฒนาชุมชนและประชาชนให้มีคุณภาพชีวิตและรายได้ที่ดี สามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติที่มีคุณค่าโดยพึ่งพาซึ่งกันและกัน และคงไว้ซึ่งทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ 2) ให้ชุมชนม่อนแจ่มจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนมาดำเนินการทั้งเกษตรกรรม และการท่องเที่ยวเชิงเกษตร เพื่อส่งเสริมระบบเศรษฐกิจชุมชนในพื้นที่โครงการหลวงหนองหอย – ม่อนแจ่มให้ยั่งยืน



 “ผู้ตรวจการแผ่นดินไม่ได้มีหน้าที่เพียงแก้ปัญหาทางด้านกฎหมายเท่านั้น  แต่มุ่งหวังที่จะเห็นประชาชนในพื้นที่ม่อนแจ่มอาศัยอยู่กับธรรมชาติอย่างเหมาะสม โดยมีจังหวัดเชียงใหม่และหน่วยงานในพื้นที่เป็นกำลังสำคัญที่จะคอยช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ที่นับเป็นข้อต่อสำคัญที่จะสื่อสารกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ให้มีความรู้ความเข้าใจถึงข้อเท็จจริงและผสานความร่วมมือต่าง ๆ ทั้งนี้ ขอให้ทุกฝ่ายคำนึงถึง 5 ข้อหลักใหญ่ คือ 1) มุ่งรักษาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่  2) มุ่งรักษาธรรมชาติป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่ริม (ม่อนแจ่มและพื้นที่ใกล้เคียง) ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 เอ 3) คำนึงถึงรายได้ของประชาชนในพื้นที่ให้มีความเหมาะสมกับการดำเนินการตามแผนแม่บท 4) คณะทำงานที่จังหวัดแต่งตั้งต้องทำงานร่วมกับโครงการหลวงอย่างใกล้ชิด และ 5) ขอให้ประชาชนในพื้นที่ได้มีส่วนร่วมในการจัดทำแผนแม่บทด้วย” พลเอก วิทวัส กล่าว

 

Share:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์