เมื่อวันที่
3 พ.ย.63 พลเอก วิทวัส รชตะนันทน์
ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน พร้อมด้วยนายวทัญญู ทิพยมณฑา รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน
พันโทเทพจิต วีณะคุปต์ ผู้อำนวยการสำนักสอบสวน 4 และคณะ ลงพื้นที่ม่อนแจ่ม ร่วมกับนายกมล
นวลใย ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 (เชียงใหม่) และนายพีระชาติ เรืองประดิษฐ์
หัวหน้าศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย
เพื่อติดตามแก้ไขปัญหาการบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่ริม
(ม่อนแจ่มและพื้นที่ใกล้เคียง) ตำบลโป่งแยง และตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม
จังหวัดเชียงใหม่ นำที่ดินไปใช้ประกอบธุรกิจที่พัก – รีสอร์ท
ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการหลวงหนองหอย
ชี้หน่วยงานต้องพิสูจน์สิทธิให้ชัดเจน มุ่งรักษาป่าพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 เอ
วางแนวทางสร้างวิสาหกิจชุมชนอย่างเหมาะสมยั่งยืน
พลเอก
วิทวัส รชตะนันทน์ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เปิดเผยว่า
ตามที่มีผู้ประกอบการธุรกิจที่พักในพื้นที่ม่อนแจ่มร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน เนื่องจากได้รับความเดือดร้อน
กรณีถูกกรมป่าไม้ดำเนินคดีอาญาในข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ
และประกาศให้ระงับการประกอบธุรกิจ อีกทั้งมีคำสั่งให้รื้อถอนสถานประกอบการนั้น ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
พร้อมพบปะประชาชนที่เดือดร้อนจากกรณีดังกล่าว
โดยพบว่าป่าแม่ริมเป็นต้นน้ำลำธารจัดอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 เอ
มีขนาดพื้นที่กว่า 13,000 ไร่ เป็นพื้นที่ที่โครงการหลวงหนองหอยขอใช้ประมาณ 2,000 ไร่
มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ราษฎรในพื้นที่ใช้ที่ดินทำเกษตรกรรมทดแทนการปลูกฝิ่น
ซึ่งมีราษฎรเข้าร่วมโครงการประมาณ 900 กว่าราย
แต่ปัจจุบันได้มีการแปรสภาพการใช้ประโยชน์ของที่ดินจากเกษตรกรรมเป็นธุรกิจที่พัก –
รีสอร์ท จำนวน 113 ราย โดยเป็นกลุ่มที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบสิทธิ์
จำนวน 82 ราย และถูกดำเนินคดีแล้ว 31 ราย เนื่องจากเข้าข่ายกระทำความผิดชัดเจน
นำที่ดินไปใช้ไม่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของโครงการหลวงหนองหอย
รวมทั้งมีการบุกรุกพื้นที่ป่าเพิ่มเติม เปลี่ยนมือเจ้าของ
หรือขายกิจการให้นายทุนนอกพื้นที่ แต่ราษฎรที่ทำเกษตรกรรมในพื้นที่ตามโครงการหลวงฯ
เดิมและไม่มีการบุกรุกเพิ่มเติมจะไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีนี้
พลเอก
วิทวัส กล่าวต่อว่า สำหรับการพิสูจน์สิทธิในที่ดินทำกิน
ว่าราษฎรอยู่อาศัยมาก่อนประกาศเขตป่า 2507
หรือก่อนการประกาศให้โครงการหลวงฯ เข้ามาใช้พื้นที่ม่อนแจ่ม
ให้นำมติคณะรัฐมนตรี 30 มิถุนายน 2541 และมติคณะรัฐมนตรี 11 พฤษภาคม 2542
ที่ให้นำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ 2545
มาใช้ในการพิสูจน์สิทธิการครอบครองใช้ประโยชน์ที่ดิน ดังนั้น
จึงต้องอาศัยทั้งการอ่านภาพถ่ายแผนที่ทางอากาศและการสำรวจรับรองแนวเขตเมื่อปี 2552
มาประกอบในการพิสูจน์สิทธิการทำประโยชน์ในแต่ละแปลง
นอกจากนี้
ผู้ตรวจการแผ่นดินจะเร่งหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อวางแผนแม่บทบริหารจัดการพื้นที่และการอยู่ร่วมกันของชุมชน
เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความปลอดภัย
สามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติโดยไม่ทำลายซึ่งกันและกัน
คงไว้ซึ่งทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ดังเดิม
อาจมีการพัฒนาในรูปแบบวิสาหกิจชุมชนหรือการท่องเที่ยวเชิงเกษตรเพื่อส่งเสริมระบบเศรษฐกิจชุมชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น