ก่อนอื่นต้องขอส่งกำลังใจให้กับชาวจังหวัดลำปางและพื้นที่ในเขตภาคเหนืออีกครั้ง
กับการที่ต้องเผชิญกับปัญหาวิกฤตหมอกควันอย่างหนักหน่วงอยู่ในขณะนี้ อย่างไรก็ตามขอให้ผ่านพ้นไปโดยเร็ว
เพื่อสุขภาพของทุกท่านปลอดภัยจากฝุ่นพิษ..
เมื่อเริ่มต้นด้วยเรื่องของปัญหาสุขภาพและสิ่งแวดล้อมไปแล้ว
สัปดาห์นี้จึงใคร่ขอกล่าวถึง
อาหารการกินที่เน้นเกี่ยวกับสุขภาพพ่วงด้วยการใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมมาฝากพี่น้องชาวเมืองรถม้ากันสักเล็กน้อย.....เพราะปัจจุบันคนไทยหันมาให้ความสำคัญกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น
โดยเฉพาะเรื่อง “อาหารการกิน” โดยหนึ่งในเทรนด์ที่กำลังได้รับความนิยม คือการบริโภคโปรตีนจากพืชที่ให้คุณค่าทางโภชนาการ
โดยเฉพาะ “อาหารจากพืช” หรือ “Plant-based
Food” โดยในปัจจุบันพบว่ากว่า 25
เปอร์เซ็นต์ของคนไทยบริโภคอาหารที่ทำจากพืช ทั้งนี้
ไม่เพียงแต่ผู้บริโภคที่ทานมังสวิรัติ หรือ เจ
แต่ยังรวมถึงกลุ่มผู้บริโภคที่ลดการบริโภคเนื้อสัตว์ ด้วยเหตุผลที่ใส่ใจด้านสุขภาพ
และเหตุผลในการช่วยเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
บริษัท เนสท์เล่ (ไทย)
จำกัด เล็งเห็นถึงพฤติกรรมการบริโภครูปแบบใหม่นี้ จึงเปิดตัวแบรนด์ระดับโลก ฮาร์เวสต์ กูร์เมต์ (HARVEST GOURMET™) นำเสนอผลิตภัณฑ์อาหารจากพืช
หรือ Plant-based Food เป็นครั้งแรกในประเทศไทย
เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจในการดูแลสุขภาพ และ
ใส่ใจสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น
เครือวัลย์ วรุณไพจิตร
ผู้อำนวยการบริหารหน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหาร และ เนสท์เล่ โพรเฟชชันนัล
ประจำภูมิภาคอินโดไชน่า กล่าวว่าจากผลสำรวจไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย
แสดงให้เห็นเทรนด์ของการรักสุขภาพมากขึ้น โดยผู้บริโภคเชื่อว่าการลดการบริโภคเนื้อสัตว์และหันมาบริโภค
“อาหารจากพืช” (Plant-based Food) เป็นอีกทางเลือกสำหรับการดูแลและใส่ใจสุขภาพ เราเรียกผู้บริโภคกลุ่มนี้ว่า Flexitarian ซึ่งหมายถึง กลุ่มคนที่ลดการรับประทานเนื้อสัตว์ลงในบางโอกาส เช่น
ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ในวันเกิดของตัวเอง หรืองดการรับประทานเนื้อสัตว์วันพระ
เป็นต้น ทว่ากลุ่มFlexitarian นี้ยังต้องการรับรสชาติของอาหารที่อร่อยคล้ายเนื้อสัตว์
และเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพที่ดี ซึ่งผลการสำรวจพบว่าในประเทศไทยมีผู้บริโภคที่มีไลฟ์สไตล์แบบนี้ถึงเกือบ
1 ใน 4 ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักได้แก่ กลุ่มคนรักสุขภาพ
(65%) และ กลุ่มควบคุมน้ำหนัก (20%) ด้วยวิสัยทัศน์ Good food, Good
life ของเนสท์เล่ที่มุ่งมั่นคิดค้นนวัตกรรมอาหารเพื่อชีวิตที่ดีของผู้บริโภค
จึงคิดค้นผลิตภัณฑ์ “อาหารจากพืช” ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั้งในด้านโภชนาการและรสชาติ
ภายใต้ชื่อแบรนด์ ฮาร์เวสต์ กูร์เมต์
“ฮาร์เวสต์ กูร์เมต์ นำเสนอนวัตกรรมอาหารจากพืช
(Plant-based Food) ซึ่งมีวัตถุดิบหลักมาจากพืช ผัก ผลไม้
เห็ดต่างๆ รวมไปถึงธัญพืช และถั่ว ที่มีโปรตีนสูง เป็นแหล่งของใยอาหาร
ไม่ใส่วัตถุกันเสีย แต่งสีธรรมชาติ แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งรสชาติอาหารที่อร่อย
มาในรูปแบบผลิตภัณฑ์หลากหลาย อาทิ เนื้อเบอร์เกอร์, เนื้อบดละเอียด, ไก่ย่างรมควัน,ไก่ชุบเกล็ดขนมปัง และ มีทบอล
ซึ่งล้วนมีส่วนประกอบหลักที่ทำจากโปรตีนพืช ได้แก่ พืชตระกูลถั่วจาก” เครือวัลย์ กล่าวเพิ่มเติม
กฤษฎา ผามั่ง
เชฟผู้เชี่ยวชาญ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวถึงประสบการณ์ในการปรุงอาหารด้วยผลิตภัณฑ์อาหารจากพืช
(Plant-based Food) ว่ารสชาติและเนื้อสัมผัสของอาหารที่ปรุงจากผลิตภัณฑ์ฮาร์เวสต์
กูร์เมต์นั้น อร่อยใกล้เคียงเนื้อจริง เพราะใช้บีทรูทสกัดเข้มข้น
หรือแครอทสกัดเข้มข้น ในการแต่งสีธรรมชาติให้เนื้อดูมีสีแดงคล้ายเนื้อจริง
และใช้น้ำมันมะพร้าวในการเพิ่มความชุ่มฉ่ำให้เนื้อสัมผัส
และมีลักษณะคล้ายไขมันแทรก นอกจากนี้ยังสามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายเมนู
ไม่ว่าจะเป็น อาหารตะวันตก, อาหารฟิวชั่น
และอาหารสไตล์โมเดิร์นไทย
ในขณะเดียวกัน “อาหารจากพืช”
(Plant-based
Food) ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้ที่รักสุขภาพ
นอกจากมีโปรตีนสูงแล้ว ยังเป็นแหล่งของใยอาหาร โดยเฉพาะถั่วเหลือง
ซึ่งจัดเป็นโปรตีนที่สมบูรณ์ มีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายครบถ้วน
โดยผู้บริโภคควรเลือกรับประทานอาหารจากพืช
ให้หลากหลายเพื่อให้ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ ซึ่งตามหลักโภชนาการแล้ว
ร่างกายควรได้รับปริมาณโปรตีน 1 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กก.
เพราะร่างกายต้องใช้โปรตีนในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ซ่อมแซมร่างกาย
และใช้เป็นพลังงานเมื่อถึงคราวจำเป็น
อีกหนึ่งปัจจัยหลักที่ผู้บริโภคเริ่มหันมาบริโภค
“อาหารจากพืช” (Plant-based Food) และลดหรือหลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อสัตว์
มีสาเหตุมาจากความต้องการช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งแบรนด์ ฮาร์เวสต์ กูร์เมต์ เดินหน้าในเรื่องการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเช่นกัน

ทาธฤษ กุณาศล
ผู้จัดการฝ่ายบริการการเกษตร บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวถึงประโยชน์ของการบริโภคอาหารจากพืชที่ช่วยส่งเสริมความอย่างยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมว่า โดยพื้นฐานการทำเกษตรกรรมจะผลิตก๊าซเรือนกระจก
อาทิ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และ มีเทน น้อยกว่าการทำฟาร์มปศุสัตว์ ทั้งนี้เพราะสัตว์จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่บรรยากาศเมื่อหายใจ
ในขณะที่พืชจะดูดซับก๊าซดังกล่าวและช่วยทำให้อากาศบริสุทธิ์ขึ้น
โดยการปล่อยอ๊อกซิเจนออกมาในกระบวนการสังเคราะห์แสง นอกจากนี้ ในการทำเกษตรกรรมยังใช้พื้นที่ดิน
ทรัพยากรน้ำ และพลังงานไฟฟ้าน้อยกว่าการทำฟาร์มปศุสัตว์อีกด้วย ตัวอย่างเช่น
การผลิตเนื้อวัว 1 กิโลกรัม จะต้องใช้ทรัพยากรน้ำตลอดกระบวนการผลิตถึง 15,000 ลิตร ในขณะที่ ถั่วเหลือง 1 กิโลกรัม ใช้ทรัพยากรน้ำเพียง 1,800 ลิตร ดังนั้น การที่เรารับประทานอาหารจากพืชมากขึ้น ก็จะช่วยให้เราใช้ทรัพยากรธรรมชาติลดลง
และลดการสร้างก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศโลกอีกด้วย
นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้บริโภคที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์เน้นใส่ใจสุขภาพมาพร้อมกับรสชาติถูกปาก
ในขณะเดียวกันก็ไม่ละเลยต่อสิ่งแวดล้อมด้วย...เห็นว่ามีวางจำหน่ายแล้วตั้งแต่เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
โดยสามารถติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.nestleprofessional.co.th/harvest-gourmet
กอบแก้ว แผนสท้าน...เรื่อง
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น