วันพุธที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

กรมศิลป์แจงเหตุกำแพง100 ปีวัดยางกวงถล่ม ส่งวิศวกรสำรวจเร่งบูรณะ

 


เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2564 นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า สำนักศิลปากรที่ 7  เชียงใหม่  ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายของกำแพงวัดยางกวง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งพังถล่มลงมาหลังจากเกิดพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงในพื้นที่อำเภอเมืองเชียงใหม่ เมื่อคืนวันที่ 2 พฤษภาคมที่ผ่านมา พบว่า กำแพงวัดด้านทิศตะวันออกซึ่งเป็นกำแพงก่ออิฐเดิมสูงประมาณ 1.50  เมตร หนา 0.40  เมตร มีอายุการสร้างประมาณ 80-100  ปี อยู่ในเขตประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานวัดยางกวง  ได้พังเสียหายลงมาเป็นระยะทางยาวประมาณ 15  เมตร จากการตรวจสอบและวิเคราะห์ความเสียหายเบื้องต้นพบว่า  บริเวณด้านในของกำแพงที่พังเสียหาย มีการก่อสร้างศาลาบาตรและลานประทักษิณรอบ ๆ องค์เจดีย์วัดยางกวง ซึ่งก่อสร้างมาประมาณสิบปีแล้ว  มีการถมดินปนเศษอิฐหักรองพื้น และยกพื้นสูงกว่าพื้นถนนด้านนอก เมื่อมีปริมาณน้ำฝนที่มาก ทำให้น้ำฝนซึมลงสู่ชั้นดินด้านล่าง  ด้วยความสูงของการถมดินพื้นด้านในกำแพงมากกว่า 1.50  เมตร โดยอาศัยกำแพงก่ออิฐเดิมเป็นผนังที่รับแรงดันด้านข้าง ประกอบกับอายุการก่อสร้างกำแพง ซึ่งชำรุดทรุดโทรมตามกาลเวลาอยู่แล้ว  กำแพงก่ออิฐจึงไม่สามารถรับแรงดันดินด้านข้างจากภายในนี้ได้ทำให้เกิดเหตุดังกล่าว  



 


อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า เบื้องต้นทางสำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่  ได้ประสานกับหน่วยงานในท้องถิ่นในการขนย้ายเศษอิฐกำแพงที่พังทลายออก และขอความอนุเคราะห์องค์การบริหารส่วนจังหวัด, เทศบาลนครเชียงใหม่ ใช้กระสอบทรายปิดกั้นแนวกำแพงและใช้เป็นผนังรับแรงดันดินด้านข้างเป็นการชั่วคราวก่อน จากนี้จะส่งผู้เชี่ยวชาญจากกลุ่มวิศวกรรม สำนักสถาปัตยกรรม มาดำเนินการสำรวจและแนะนำแนวทางการบูรณะซ่อมแซม พร้อมทั้งมอบให้สำนักศิลปากรที่  7  เชียงใหม่ เร่งทำรูปแบบเพื่อบูรณะคืนสภาพเดิม ทั้งนี้ เจ้าอาวาสวัดยางกวงได้รับทราบและยินดีจัดหางบประมาณในการบูรณะซ่อมแซมวัดยางกวงภายใต้การกำกับดูแลและคำแนะนำของกรมศิลปากร

 

“วัดยางกวง” ตั้งอยู่ในเขตกำแพงดิน ทางทิศใต้ของเมืองเชียงใหม่ มีชื่ออีกอย่างว่า วัดน่างรั้ว บางครั้งก็เรียกว่า วัดหน่างรั้ว คำว่า หน่างรั้วเป็นคำพิ้นบ้านล้านนาตามพจนานุกรรมล้านนาของ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร. มณี พยอมยงค์ ให้ความหมายไว้ว่า หน่างรั้ว คือ รั้ว หรือแนวกัน ที่ทำให้คนหรือสัตว์เข้ามาติดแล้วออกไปไม่ได้ ซึ่งปรากฏในตำนานเมืองเชียงใหม่ว่า พญามังรายพญามังรายทรงโปรดให้ทำหน่างรั้วป้องกันข้าศึกไว้รอบเวียง

 

สันนิษฐานว่า วัดหน่างรั้ว น่าจะสร้างขึ้นในยุคต้นของราชวงศ์มังราย จากตำนานตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อครั้งพญามังรายทรงออกแสวงหาชัยภูมิเพื่อสร้างเมืองใหม่ พระองค์เสด็จออกจากเวียงกุมกาม และทรงแวะตั้งค่ายพักแรม ณ บริเวณแห่งนี้ โดยให้ทหารและเสนาอำมาตย์สร้างหน่างรั้ว กั้นรอบล้อมค่ายพักแรมไว้ เพื่อป้องกันภัยอันตรายทั้งมวล ในเวลาต่อมาที่แห่งนี้จึงได้ชื่อว่า วัดหน่างรั้ว แต่ยังไม่พบหลักฐานที่แน่ชัดว่าวัดนี้สร้างในสมัยใดและใครเป็นผู้สร้าง มีเพียงหลักฐานปรากฏในนิราศหริภุญชัย (พ.ศ. 2060)


 

นับแต่ล้านนาถูกพม่ายึดครอง เป็นเวลา 200 กว่าปี ทำให้วัดวาอารามต่าง ๆ ในเมืองเชียงใหม่ถูกละทิ้งตกอยู่ในสภาพวัดร้างเป็นจำนวนมาก วัดยางกวงก็เป็นหนึ่งในจำนวนวัดร้างทั้งหลายเหล่านั้น จวบจนปี พ.ศ. 2339 พญากาวิละได้ยกทัพกลับมาขับไล่พม่าครั้งสุดท้ายออกจากล้านนา และได้กวาดต้อนเอาชนเผ่าไทยจากเขตเชียงรุ้งสิบสองปันนาและเชียงตุงให้มาอยู่ในเมืองเชียงใหม่ หรือที่เรียกกันว่า เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง ผู้คนทั้งหลายที่ถูกกวาดต้อนมาจากทางเหนือมีกลุ่มหนึ่งเป็นชาวไทยเขินมาจากบ้านยางกวงเมืองเชียงตุงเข้ามาอยู่รอบๆ วัดหน่างรั้ง และได้ช่วยกันฟื้นฟูบูรณะวัดแห่งนี้จนเจริญรุ่งเรือง และภายหลังได้เปลี่ยนชื่อวัดนี้เป็น วัดยางกวง เหมือนในเชียงตุง เพื่อเป็นอนุสรณ์ว่าพวกเขามาจากบ้านนายางกวงเชียงตุง ต่อมาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 วัดยางกวงแห่งนี้กับกลายเป็นวัดร้างอีก

 

สำหรับลักษณะความสำคัญของ “วัดยางกวง” รูปทรงเจดีย์เป็นทรงมณฑป 8 เหลี่ยม ที่มีเครื่องยอดเป็นทรงระฆัง 8 เหลี่ยม รวมถึงส่วนบัลลังก์ ปล้องไฉนและปลียอด ลักษณะเด่นที่ปรากฏพบเห็นนี้ มีเพียงเจดีย์ที่วัดยางกวงแห่งเดียว

 


ตามตำนานที่ได้ศึกษากันก็พอจะประมาณได้ว่า สร้างขึ้นในช่วงเวลาที่ล้านนาเป็นเอกราชคือ ในระยะตั้งแต่ ปี พ.ศ. 1839-2100 หรือประมาณพุทธศตวรรษที่ 20 ซึ่งอยู่ในรัชกาลของพญาติโลกราช (พ.ศ.1985-2030) และมีการบูรณะเจดีย์อีกครั้งในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 21 หรือราวต้นรัตนโกสินทร์ (ตรงกับสมัยพระเจ้ากาวิละ) ต่อมาได้ทำการบูรณะอีกครั้งในสมัยรัชกาลปัจจุบัน ซึ่งได้รับเมตตาจากพระเดชพระคุณพระเทพวรสิทธาจารย์ รองเจ้าคณะภาค 7 เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร เป็นประธานในการบูรณะจนแล้วเสร็จ ส่วนซุ้มจระนำขององค์พระเจดีย์นั้น ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นประทับนั่ง ที่ยังคงปรากฏอยู่ในบางซุ้ม

 

อย่างไรก็ตามเมื่อช่วงปลายปี 2563 ที่ผ่านมา สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ ได้เปิดเผยผลการศึกษาทางด้านโบราณคดีของวิหารวัดยางกวง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ โดยเฉพาะประเด็นการพบฐานพระพุทธรูปประดับด้วยกระจกจีนซึ่งเป็นที่ฮือฮาอย่างมากเมื่อครั้งมีการเปิดเผยภาพ ซึ่งจากการศึกษาได้พบพัฒนาการทางสถาปัตยกรรมถึง 4 ยุคสมัยด้วยกัน คือ

 

ยุคที่ 1 เป็นอาคารสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบบลดชั้น ด้านหน้า 3 ชั้น และด้านหลัง 3 ชั้น ฐานอาคารเป็นฐานหน้ากระดานซ้อนกัน 3 ชั้น โดยในยุคที่ 1 นี้สามารถแบ่งได้เป็น 2 สมัยย่อย คือ สมัยที่ 1 ปรากฏร่อยรอยฐานพระและแนวแท่นบูชาที่ค่อนข้างเรียบง่าย สะท้อนถึงสภาวะทางเศรษฐกิจของชุมชนผู้สร้างที่ยังไม่มั่นคงมากนัก

 

ยุคที่ 2 ปรากฏร่องรอยการตกแต่งฐานพระด้วยลายปูนปั้นประดับกระจกจืน จากลักษณะทางสถาปัตยกรรมผังอาคารที่ปรากฏแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลจากกลุ่มวัฒนธรรมเชียงตุง ซึ่งสอดคล้องกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่พระยากาวิละได้กวาดต้อนผู้คนจากเมืองเชียงตุงลงมาตั้งถิ่นฐานในเมืองเชียงใหม่เมื่อปี พ.ศ.2345 จึงกำหนดอายุของสิ่งก่อสร้างยุคที่ 1 ทั้ง 2 สมัย ครอบคลุมช่วงระยะเวลาตั้งแต่ พ.ศ. 23502450

 

ยุคที่ 3 อาคารวิหารเหลือสภาพเพียงฐานลานโล่ง มีเพียงหลังคาคลุมเฉพาะองค์พระประธาน ส่วนฐานพระถูกสร้างทับด้วยคอนกรีตแบบเรียบง่าย ซึ่งสภาพดังกล่าวเป็นผลมาจากการที่ผู้คนอพยพหนีภัยสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่งผลให้สภาพอาคารทรุดโทรม สามารถกำหนดอายุวิหารยุคที่สามได้ระหว่าง พ.ศ.25002549

 

ยุคที่ 4 เป็นอาคารวิหารสมัยใหม่คอนกรีตเสริมเหล็ก ส่วนฐานและผนังก่ออิฐ สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2549 และใช้มาจนถึง พ.ศ. 2560



กอบแก้ว แผนสท้าน...เรื่อง

 

Share:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์