“สมุนไพรไทย” หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่เป็นจุดแข็งของประเทศไทยเป็นภูมิปัญญารุ่นต่อรุ่น เปี่ยมคุณประโยชน์ ปลอดภัยไร้สารเคมี ผู้คนส่วนใหญ่นิยมนำมาใช้เป็นวัตถุดิบปรุงอาหาร ทำเครื่องสำอาง และยาทางการแพทย์
เริ่มจาก “ฟ้าทะลายโจร” มีสรรพคุณแก้ไข้
แก้อักเสบ แก้เจ็บคอ เป็นสมุนไพรพื้นบ้านรสขมที่นิยมนำมาใช้รักษาหวัดตั้งแต่โบราณ
ซึ่งประกอบไปด้วยสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพหลากชนิด เช่น ไดเทอร์ปีนอยด์ (Diterpenoids)
ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) และโพลีฟีนอล (Polyphenols)
ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและการติดเชื้อ
ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และอาจช่วยบรรเทาอาการหวัดได้
โดย “กรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก” พบว่า สารสำคัญแอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) ใน ฟ้าทะลายโจร
น่าจะมีศักยภาพในการช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อโคโรนาเข้าเซลล์และป้องกันการแบ่งตัวของโคโรนาไวรัสได้
ทางกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
จึงได้ร่วมมือกับคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และองค์การเภสัชกรรม (อภ.)
ดำเนินการศึกษานำร่องผลของยาสารสกัดฟ้าทะลายโจรขนาดสูง ต่อผู้ป่วยโรคโควิด-19 หลังจากการวิจัยในหลอดทดลอง
พบว่า มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อและยังยั้งการแบ่งตัวของไวรัสได้
อีกหนึ่งสมุนไพรไทย
ที่กำลังมาแรง “กระชายขาว” ซึ่งได้รับการยืนยันว่า “สารสกัดกระชายขาว”
เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยหนึ่งที่มีฤทธิ์ในการช่วยต่อต้านโรครัสโควิด-19 ได้ ทำให้เชื้อไวรัสไม่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เมื่อเชื้อไม่ขยายตัว เม็ดโลหิตขาวซึ่งมีหน้าที่สร้างภูมิคุ้นกันก็จะสามารถสร้างภูมิขึ้นมาคุ้มกันได้มากเพียงพอที่จะฆ่าเชื้อโรคได้
โดยในหลอดทดลอง นักวิจัย ม.มหิดล
เร่งพัฒนาสารสกัดกระชายขาวเพื่อใช้เป็นยาสำหรับโรคโควิด-19 คาดว่าใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปี
ในการวิจัยและพัฒนาให้สำเร็จ โดยโครงการวิจัยต้านเชื้อไวรัสโคโรนาจากสมุนไพรไทย
เป็นความร่วมมือระหว่าง คณะวิทยาศาสตร์ ม.มหิดล คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
ม.มหิดล และศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELS ...แน่นอนว่าเมื่อมีข่าวเผยแพร่ออกจาก
ทำให้ขณะนี้มีการนำกระชายขาวมาทำเป็นน้ำกระชายดื่มกัน
ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของความหวังที่หลายคนเชื่อว่าจะช่วยป้องกันโควิด-19
อีกหนึ่งสุดยอดสมุนไพร
“พลูคาว” มีชื่อท้องถิ่นได้หลายชื่อ
เช่น พลูคาว ผักคาวตอง ผักก้านตอง ในประเทศไทยพบมากทางภาคเหนือ ภาคกลาง
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยภาคเหนือและอีสานใช้เป็นผักจิ้มน้ำพริก
หรือกินกับลาบอย่างเอร็ดอร่อย ซึ่งยังมีข้อมูลจากสถาบันวิจัย
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในปี 2548 ได้ระบุว่า
พลูคาวสามารถรักษาภาวะภูมิแพ้ หอบหืด เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ การแพ้อาหาร
ทั้งยังสามารถรักษาภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
และช่วยเสริมภูมิต้านทานให้แก่ร่างกายได้อีกด้วย
นอกจากนั้นยังได้มีงานวิจัยออกมาสนับสนุนอีกเช่นกันว่า พลูคาวมีฤทธิ์ทำลาย
และยับยั้งเชื้อไวรัสได้หลายชนิด คือ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ เอดส์ เริม
และไวรัสที่ทำให้เป็นโรคมือเท้าปากเปื่อย
โดยปัจจุบันนี้ในประเทศจีนมีการใช้พลูคาวเป็นส่วนผสมในตำรับยารักษาโรคที่เกิดจากไวรัส
และมีการจดสิทธิบัตรไว้หลายรายการ
เช่นเดียวกับสมุนไพรพื้นบ้านที่ใช้กันมายาวนาน “ขมิ้นชัน” มีแทบทุกครัวเรือนไทย
ได้มีการนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเพิ่มสีสันแต่งกลิ่น
และรสชาติของอาหาร รวมถึงใช้เป็นเครื่องสำอาง
นอกจากนั้นยังมีคุณประโยชน์มากมายที่แฝงอยู่ ซึ่งเรียกได้ว่า ขมิ้นชัน
เป็นขุมทรัพย์แห่งเอเชียเลยก็ว่าได้ มีผลจากงานวิจัยพบว่า เคอร์คูมินอยด์ (curcuminoids)
ในขมิ้นชัน สามารถช่วยต้านอาการอักเสบ
บรรเทาอาการปวดในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม ยับยั้งเซลล์มะเร็งได้หลายชนิด
บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน รวมไปถึงต้านเชื้อแบคทีเรีย
ไวรัสได้ดีเช่นกัน
นอกจากนี้ยังมี
"กระเทียม" เป็นพืชที่นิยมนำมาใช้รักษาหวัดอย่างยาวนาน
เพราะเชื่อว่ากระเทียมอาจมีคุณสมบัติต้านเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย
อีกทั้งยังอุดมไปด้วยสารชีวภาพหลากชนิด เช่น อาร์จีนีน (Arginine) โอลิโกแซ็คคาไรด์ (Oligosaccharides) ฟลาโวนอยด์ (Flavoniods) ซีลีเนียม (Selenium) และอัลลิซิน (Allicin) ที่อาจช่วยรักษาหวัดได้การใช้กระเทียม
จะช่วยรักษาอาการเจ็บคอ มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย
และช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยส่วนใหญ่นำกระเทียมมาปอกเปลือกสับให้ละเอียด แล้วรับประทานแบบสดๆ แต่อย่างไรก็ตาม การบริโภคกระเทียมอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้
เช่น ปากเหม็น มีกลิ่นตัว แสบร้อนกลางอก ปวดท้อง
โดยเฉพาะการบริโภคกระเทียมสดอาจทำให้อาการเหล่านี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
ในขณะเดียวกัน
"หอมแดง" ซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้หายใจสะดวกและโล่งขึ้น จึงเป็นสมุนไพรที่คนเฒ่าคนแก่นิยมนำมาทุบให้แตกแล้ววางไว้ใกล้
ๆ ศีรษะเพื่อให้เด็กสูดดมตามความเชื่อว่าช่วยรักษาหวัดได้
ในทางวิทยาศาสตร์หอมแดงมีสารประกอบกลุ่มออร์กาโนซัลเฟอร์ (Organosulfur) เช่น ไดแอลลิลไดซัลไฟด์ (Diallyl
Disulphide) ไดแอลลิลไตรซัลไฟด์ (Diallyl Trisulfide) เอสอัลลิลซิสเทอีน (S-Allyl
Cysteine) และอัลลิซิน (Allicin) เชื่อว่ามีคุณสมบัติต้านการอักเสบและอาจช่วยรักษาโรคหวัดอันเกิดจากเชื้อไวรัสได้
มาต่อกันที่
"ขิง" มีสรรพคุณแก้ไอและขับเสมหะ โดยมีการทดลองพบว่า
น้ำขิงแก่ ต้มน้ำเดือนนาน 30 นาที ทำให้เม็ดเลือดขาวชนิดแมคโครฟาส
จับกินไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ดีขึ้น
ซึ่งวิธีการรับประทานนั้นก็คือนำเอาขิงแก่มาหั่นให้เป็นแว่น ตำและคั้นเอาน้ำ
หรือนำมาต้มกับน้ำเปล่า 1 ลิตร โดยต้มประมาณ 5 นาที แล้วตักเอาขิงออก เอาแต่น้ำขิงมาดื่มขณะอุ่นๆ โดยดื่มครั้งละ 1
แก้ว เช้า กลางวันและเย็น น้ำขิงจะช่วยลดน้ำมูกลงได้
หรือจะนำมาผสมกับน้ำมะนาว เติมเกลือเล็กน้อย แล้วดื่ม
และคุณทราบหรือไม่ว่า
"ตะไคร้" สมุนไพรไทยที่เป็นส่วนหนึ่งในอาหารหลายๆ จานของบ้านเรานั้น สามารถใช้รักษาหวัด หวัดใหญ่ แก้ไข้ แก้ปวดหัว
ปวดท้อง เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เพิ่มภูมิคุ้มกันได้ดีเยี่ยม ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
แก้อักเสบ และต้านไวรัสไข้หวัด เพียงแค่บุบต้นตะไคร้ 3-4 ต้นให้แตก นำมาต้มกับน้ำเปล่า 1 ลิตรให้เดือด
แล้วยกลง รินเอาแต่น้ำมาจิบบ่อยๆ ตลอดทั้งวัน
เพราะตะไคร้ก็เป็นสมุนไพรแก้คัดจมูกที่ได้ผลดีเช่นกัน
แถมยังช่วยแก้อาการน้ำมูกไหลจากหวัดได้อีกด้วย
นับว่า “สมุนไพรไทย” อันเป็นผลิตผลจากธรรมชาติที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองคนไทยมายาวนานนั้น
ล้วนมีสรรพคุณที่มีประโยชน์ หาได้ไม่ยาก อีกทั้งยังสามารถนำมาปรับใช้ได้ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้ร่างกายเราแข็งแรงได้อีกด้วย
ทว่าต้องไม่ลืมว่าสมุนไพรแต่ละชนิดนอกจากจะมีคุณสมบัติในแง่ดีต่อสุขภาพแล้ว
ในสมุนไพรบาง่ชนิดก็มีข้อจำกัดด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในคนที่มีโรคประจำตัว
จึงจะเป็นต้องศึกษาอย่างละเอียดหรือได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญประกอบด้วย
กอบแก้ว แผนสท้าน...เรื่อง
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น