โรงไฟฟ้าแม่เมาะเตรียมนำเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่ง
ที่แปรรูปจากเศษวัสดุเหลือทิ้งในพื้นที่เก็บเกี่ยว มาใช้เป็นเชื้อเพลิงร่วม
โดยจะเริ่มนำเข้าใช้จริงในระบบการผลิตของโรงไฟฟ้าแม่เมาะเครื่องที่ 12
และ 13 ปลายปี 2564 ถือเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งแรกของประเทศไทยที่ใช้ระบบการเผาไหม้ร่วม
(Co-Firing)
ทั้งนี้
การใช้เชื้อเพลิงชีวมวลร่วมกับถ่านหินในกระบวนการผลิตกระแสไฟฟ้า
จะช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของ ก๊าซเรือนกระจกที่มีผลต่อสภาพภูมิอากาศและชั้นบรรยากาศของโลก
ทั้งยังช่วยลดกิจกรรมการเผาวัสดุทางการเกษตรกลางแจ้ง อันเป็นแหล่งกำเนิด Hot
Spot และ ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ตลอดจนส่งเสริมรายได้แก่วิสาหกิจชุมชนในการรวมกลุ่มซื้อขายเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรอีกด้วย
เนื่องมาจากปัญหาหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก
กลายเป็นปัญหาสำคัญของภาคเหนือซึ่งมักจะเกิดขึ้นทุกต้นปี
ด้วยสาเหตุหลักจากการเผาชีวมวลในพื้นที่เกษตรและไฟป่า
ทั้งที่เกิดขึ้นในพื้นที่และเกิดขึ้นในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน
ทำให้หลายปีที่ผ่านมาจังหวัดในภาคเหนือติดอันดับเมืองที่มีมลพิษทางอากาศน่าเป็นห่วงที่สุดในโลก
อีกทั้งปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกยังตื่นตัวกับการจัดการกับภาวะเรือนกระจก
ซึ่งประเทศไทยได้ให้ความสำคัญในประเด็นดังกล่าวโดยร่วมลงนามความตกลงเพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกิจกรรมต่างๆ
ภายในประเทศ โดย กฟผ.
เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่ตั้งเป้าลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในระบบการผลิตกระแสไฟฟ้า
ตลอดจนให้ความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ
ในการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าอย่างจริงจัง
ปี
2560 ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะได้ทำวิจัยเกี่ยวกับการนำเศษวัชพืชทางการเกษตรอย่าง
ข้าว ข้าวโพด อ้อย มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน เป็นต้น
มาแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่ง (Biomass Pellet) ซึ่งผลการวิจัยพบว่าเชื้อเพลิงชีวมวลมีค่าความร้อนเพียงพอที่สามารถนำมาเผาไหม้ร่วมกับถ่านหิน
(Co-Firing) โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเครื่องจักรในระบบการผลิตกระแสไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าแม่เมาะ
หากนำมาใช้ในสัดส่วนที่เหมาะสม จึงเกิดแนวคิดการใช้เชื้อเพลิงชีวมวลร่วมกับถ่านหินในกระบวนการผลิตกระแสไฟฟ้าดังกล่าว.
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น