วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

บทเรียนจากสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา คงยังไม่มีคุณค่าพอให้ใครจดจำ เดินทางกี่ครั้งก็ยังไม่กักตัว

 


          การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 วนลูปกลับมาอีกครั้ง หลังจากเกิดขึ้นอย่างหนักหน่วงเมื่อช่วงเดือนเมษายน 64 ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนั้น จ.ลำปาง มีผู้ติดเชื้อมากถึง 262   คน และมีผู้เสียชีวิต 2 ราย  โดยลักษณะของการติดเชื้อมาจากคนนอกพื้นที่นำเชื้อเข้ามาแพร่ระบาดในชุมชน  ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นจากเคสงานบวช อ.แจ้ห่ม  และ เคสจากการดื่มสังสรรค์กันในพื้นที่ อ.งาว  ทำให้มีผู้ป่วยในพื้นที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องถึง 30 คน จนต้องปิดหมู่บ้านเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด

          ในการแพร่ระบาดระลอกเดือนเมษายนนั้น  จะเห็นได้ว่า มีผู้ที่รู้ตัวว่าติดเชื้อโควิด-19   และตั้งใจเดินทางกลับมายัง จ.ลำปาง เป็นจำนวนมาก ทำให้ยอดผู้ป่วยในจังหวัดเพิ่มขึ้น  ถึงแม้จังหวัดจะไม่ได้ห้ามการเดินทางเข้าพื้นที่ แต่ก็ได้ขอความร่วมมือแล้วว่า ขอให้งดการเดินทางเพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดสู่ครอบครัว และสังคม  ซึ่งมีการเดินทางเข้ามาอย่างต่อเนื่อง มีทั้งผู้ที่กักตัวตามมาตรการ และไม่กักตัว ทำให้ จ.ลำปาง มีผู้ป่วยสะสมมากถึง 262 คน

 จนช่วงต้นเดือนมิถุนายน 64 จึงเข้าสู่ภาวะปกติ ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน ที่ผ่านมา เป็นวันที่ผู้ป่วยทุกคนรักษาหาย ผู้ติดเชื้อในพื้นที่ จ.ลำปาง กลายเป็น 0  รวมทั้งหมด 31 วัน  ขณะเดียวกันได้ ขอความร่วมมือให้คนที่เดินทางมาจากพื้นที่ควบคุมสูงสุด 10 จังหวัด ต้องกักตัว 14 วัน และสแกน “ลำปางชนะ” รายงานตัวต่อผู้นำชุมชน และ อสม.  เพื่อให้ จ.ลำปาง ยอดผู้ป่วยเป็น 0 ต่อเนื่องตลอดไป  

แต่ก็ต้องผิดหวัง เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 64 พบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่อีกครั้ง

เป็นชาย 2 คน อายุ 24 ปี และ  26 ปี  ชาว อ.เมืองลำปาง เดินทางไป จ.กรุงเทพฯ และ จ.นนทบุรี เพื่อดูงานธุรกิจขายเนื้อวัว หลังเดินทางกลับมาถึง จ.ลำปาง  ไม่ได้กักตัวทันทีแต่ได้ไปซื้อของและซื้ออาหารที่ห้างหลายแห่ง จนทราบว่าเจ้าของร้านเนื้อที่ไปดูงานติดเชื้อโควิด จึงได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อ และเป็นผู้ป่วยยืนยัน 2 รายใหม่ของ จ.ลำปาง  และผู้ป่วยคนที่ 3 คนที่ 4 ก็ตามมาติดๆ

          ในการระบาดช่วงเดือนมิถุนายน 64 ครั้งนี้  ทาง จ.กรุงเทพฯ ได้มีการสั่งปิดแคมป์ ทำให้แรงงานต่างๆกลับบ้านเกิด  ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนมีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัดกระจายทั่วประเทศ หรือที่เรียกว่า “ผึ้งแตกรัง”  รวมทั้งผู้ป่วยที่อยู่กรุงเทพฯ ไม่มีเตรียงให้รักษา  การเดินทางกลับบ้านจึงเป็นหนทางที่ดีที่สุด

จ.ลำปาง ได้ผุดโครงการ “รับคนลำปางกลับบ้าน” เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ใน จ.กรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้รับการรักษาที่บ้านเกิด โดยไม่ต้องนอนรอความหวังว่าจะมีเตียงหรือไม่หลังจากเปิดโครงการมาตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน  64  ได้มีการติดต่อประสานงานเข้ามาเรื่อยๆ จนถึงวันที่ 6 กรกฎาคม 64  รวมผู้ป่วยที่เข้าร่วมโครงการแล้วจำนวน 28 คน ขณะที่มีผู้ป่วยชาวลำปาง ที่ตรวจพบว่าติดเชื้อในพื้นที่ จ.ลำปาง รวม 21 คน กระจายใน 5 อำเภอ  คือ อ.เมืองลำปาง อ.เกาะคา อ.แม่พริก อ.วังเหนือ และ อ.เมืองปาน และผู้ป่วยที่เป็นคนต่างจังหวัดที่ตรวจพบเชื้อและเข้ารักษาตัวที่ จ.ลำปาง  จำนวน 4 คน    รวมผู้ป่วยสะสมจำนวน 53 คน 

          การที่ จ.ลำปางมีโครงการรับคนลำปางกลับบ้าน เป็นเรื่องที่ดี ผู้ป่วยที่เดินทางมาเข้าในระบบทุกคนโดยการตรงไปโรงพยาบาลทำให้เชื้อไม่แพร่กระจาย   แต่ก็ยังมีคนลำปางเองที่ฝ่าฝืนมาตรการจังหวัด โดยการเดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงแต่ไม่กักตัว จนติดเชื้อและลามไปติดครอบครัว

          ตัวอย่างจาก ผู้ป่วยรายที่ 16 ชายอายุ 35 ปี ชาว อ.เกาะคา ที่เดินทางไป จ.กรุงเทพฯ และกลับมาไม่ได้มีการกักตัว ยังคงไปดื่มสังสรรค์กับเพื่อนรวม 5 คน ทำให้มีการแพร่เชื้อสู่ญาติพี่น้อง และหลานวัย 5 ขวบ จนทำให้เด็กนักเรียนจำนวนมากกลายเป็นกลุ่มเสี่ยง รวมถึงบุคคลอื่นๆที่ใกล้ชิดรวมทั้งหมด 73  คน ซึ่งเคสนี้ มีผู้ติดเชื้อจากผู้ป่วยรายที่ 16 จำนวน 4 คน   

          อีกรายที่น่าจับตามองคือ ผู้ป่วยรายที่ 42 หญิงสาว อายุ 29 ปี ชาว อ.เกาะคา ทำงานอยู่โลตัสเอ็กเพลส สาขารีเจนท์ลอร์จ  โดยทราบว่าเพื่อนเดินทางมาจากกรุงเทพฯ มาพักที่หอพักด้วย 2 วัน แต่ไม่ได้มีการกักตัว เดินทางออกไปรับประทานอาหารกับเพื่อนคนดังกล่าว หลายร้านในตัวเมืองลำปาง  และมาทำงานตามปกติ จนกระทั่งมีอาการป่วยจึงไปตรวจและพบว่าติดเชื้อโควิด   

          แม้จะมีบทเรียนให้เห็นมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง  จากประสบการณ์การแพร่ระบาดถึง 3 ครั้งที่ผ่านมา ว่าเชื้อโควิดที่แพร่ระบาดส่วนใหญ่เกิดจากการเดินทางเข้าไปคลุกคลีอยู่ในพื้นที่เสี่ยง และกลับมาภูมิลำเนาโดยไม่มีการกักตัว 14 วัน  รวมถึงเกิดจากการดื่มกิน สังสรรค์ด้วยกันเป็นหมู่คณะ 

          รู้ทั้งรู้ แต่ก็ยังทำ

หลายคนอาจจะคิดว่า  บทเรียนเหล่านี้ คือบทเรียนราคา  หรือว่าคือบทเรียนที่ราคายังไม่ได้แพงมากถึงมากที่สุด พอที่จะให้ใครจดจำ หรือต้องรอให้เกิดการสูญเสียถึงขั้นเสียชีวิตก่อน  จึงจะหันมารักษามาตรการกันอย่างเคร่งครัด

Share:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์