วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2564

12 วัดในลําปาง...ที่ไม่ควรพลาด! (ตอนที่2)

 


“วัดจองคําพระอารามหลวง” ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านหวด ห่างจากตัวอำเภองาวไปทางทิศใต้ประมาณสิบกิโลเมตรตามถนนพหลโยธินลำปาง-งาว เป็นวัดศิลปะไทยใหญ่ผสมพม่า เป็นปูชนียสถานที่สำคัญของจังหวัดลำปาง ได้รับการสถาปนาให้เป็น พระอารามหลวงชั้นตรี เมื่อปีพุทธศักราช 2549 ในวโรกาสมหามงคลที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี 

 

ความโดดเด่นภายใน “วัดจองคำพระอารามหลวง” คือ “พระมหาเจดีย์พุทธคยา” ที่สร้างจำลองแบบขนาดเทียบเท่ากับพระมหาเจดีย์พุทธคยา ประเทศอินเดีย มีความสูง 53 เมตร ใช้เวลาในการก่อสร้างนานถึง 3 ปีเต็ม ในส่วนของลวดลายศิลปะรอบๆ องค์เจดีย์พุทธคยาแห่งนี้มีความวิจิตรตระการตา ทั้งลวดลายทางพระพุทธศาสนาแบบอินเดีย และการฉลุลวดลายอันงดงามลงบนองค์เจดีย์ จนเกิดเป็นผลงานศิลปะขนาดใหญ่ที่ดูแปลกตาหาชมได้ยากในเมืองไทย ภายในถูกตกแต่งออกมาได้อย่างโอ่โถงอลังการ ประดิษฐานพระพุทธรูปเอาไว้หลายองค์ เหมาะสำหรับคนที่อยากจะหาที่สงบๆ ในการนั่งทำสมาธิ หรือมาไหว้พระทำบุญ ปัจจุบันองค์เจดีย์นี้ได้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากของจังหวัดลำปาง นักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศต่างพร้อมใจกันเดินทางมาแสวงบุญที่องค์เจดีย์แห่งนี้ นอกจากนี้ยังมีหน่อต้นโพธิจากบริเวณพุทธคยาที่ตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาปลูกบริเวณข้างๆ พระเจดีย์อีกด้วย

 


อีกหนึ่งที่เป็นความภูมิใจของชาวลำปาง วัดพระเจดีย์ซาวหลัง” ตั้งอยู่ที่ตำบลต้นธงชัย ห่างจากตัวเมือง 1.5 กิโลเมตร ตามถนนสายลำปาง-แจ้ห่ม ลักษณะการก่อสร้างเป็นศิลปะแบบพม่าผสมศิลปะล้านนา องค์ใหญ่สุดอยู่ตรงกลาง แวดล้อมด้วยเจดีย์อีกสิบเก้าองค์ รวมกันแล้วเป็นยี่สิบองค์ ชาวบ้านจึงเรียกว่า “วัดเจดีย์ซาวหลัง” โดยคำว่า “ซาว” เป็นภาษาเหนือแปลว่า “ยี่สิบ” ด้านหน้าของเจดีย์แต่ละองค์ทำเป็นซุ้ม มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ข้างใน

 

จากประวัติมีว่าเมื่อ 500 ปี หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว มีพระอรหันต์จากอินเดียสองรูป ได้จาริกเผยแผ่พระพุทธศาสนามาถึงยังบริเวณนี้ เห็นสถานที่เงียบสงบเหมาะที่จะบำเพ็ญธรรม จึงใช้เป็นที่พำนักอาศัยปฏิบัติวิปัสนา และอบรมสั่งสอนพุทธศาสนิกชนในละแวกนั้น จนมีผู้ศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น ในครั้งนั้น “พญามิลินทร” ผู้แตกฉานในหลักธรรม ได้มาสนทนาซักถามปัญหาธรรมกับพระอรหันต์เถระทั้งสองรูป และมีความประสงค์จะทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา พระอรหันต์ทั้งสองรูปได้ใช้มือลูบศีรษะ มีเส้นเกศาติดมือมารูปละสิบเส้น แล้วมอบให้ พญามิลินทร นำมาสร้างเจดีย์ขึ้นยี่สิบองค์ แล้วนำเอาเส้นเกศาบรรจุในเจดีย์องค์ละเส้น

 


เชื่อกันว่าหากใครนับได้ครบ 20 องค์ถือว่าเป็นคนมีบุญ ข้างหมู่พระเจดีย์มีวิหารหลังเล็ก ประดิษฐานพระพุทธรูปสำริดปางสมาธิ ศิลปะเชียงแสน ชาวบ้านเรียกว่า “พระพุทธรูปทันใจ” พระอุโบสถหลังใหญ่ซึ่งประดิษฐานพระประธานเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่มีพุทธลักษณะงดงาม บานประตูทั้งสามเป็นของโบราณ เขียนลวดลายรดน้ำละเอียดสวยงาม เสาซุ้มประตูหน้าต่างประดับลวดลายกระจกสีเป็นลักษณะศิลปะสมัยใหม่ และที่ศาลาการเปรียญเรือนไม้ชั้นเดียว ด้านหลังพระอุโบสถเป็น “พิพิธภัณฑสถานเขลางค์นคร” แสดงโบราณวัตถุที่ชาวบ้านนำมาถวาย เมื่อปี พ.ศ. 2526 ชาวบ้านได้ขุดพบพระพุทธรูปทองคำบริสุทธิ์หนัก 100 บาทสองสลึง มามอบให้แก่ทางวัดซึ่งพระพุทธรูปองค์นี้ชื่อว่า “พระแสนแซ่ทองคำ” เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสมัยล้านนา อายุราวพุทธศตวรรษที่ 21 ขนาดหน้าตักกว้าง 9 นิ้วครึ่ง สูง 15 นิ้ว เป็นพระพุทธรูปทองคำองค์แรกที่ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณวัตถุแห่งชาติ

 


วัดพระธาตุจอมปิง” เป็นวัดศิลปะแบบล้านนา และกลิ่นอายช่างชาวเมียนมาอยู่ด้วย พระธาตุสูง 34 เมตร โดดเด่นเห็นได้ชัดที่ลักษณะตัวของพระธาตุที่สวยงามอร่ามด้วยสีทอง และฐานเป็นลักษณะย่อมุม องค์พระธาตุภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ สันนิษฐานว่าวัดสร้างขึ้นสมัยพระนางจามเทวี และมีการบูรณะอีกครั้งในช่วงสมัยพระเจ้าติโลกราช

 

จุดเด่นสำคัญของวัดพระธาตุจองปิง คือ การเกิดเงาสะท้อนเป็นภาพสีธรรมชาติขององค์พระธาตุผ่านรูเล็กบนหน้าต่างมาปรากฏบนพื้นภายในพระอุโบสถ ทันทีที่ประตูไม้ของพระอุโบสถเล็กๆ ปิดสนิท ความมืดก็ครอบคลุมไปทั่วบริเวณ จนมองไม่เห็นแม้กระทั่งฝ่ามือตนเอง ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า คือ เงาของพระธาตุกลับหัวทอดลงมาบนผืนผ้าสีขาวด้านใน ซึ่งงดงามมีสีสันไม่ต่างจากองค์พระธาตุของจริงด้านนอก ซึ่งเงาพระธาตุที่เห็น ก็คาดว่าเกิดจากหลักการทางวิทยาศาสตร์ของกล้องรูเข็มนั่นเอง นอกจากนี้ ภายในวัดยังมีพิพิธภัณฑ์จัดแสดงโบราณวัตถุต่างๆ เช่น เศษภาชนะดินเผา ตะขอสำริด กำไลหิน กำไลสำริด ใบหอก  เป็นต้น ที่ขุดเจอในบริเวณวัดและพื้นที่ใกล้เคียงรวมถึงพระวิหารหลวง และพระอุโบสถที่มีความงดงามเรียบง่าย ผู้หลงใหลในศิลปะแบบล้านนาไม่ควรพลาดชม

 


อีกหนึ่งวัดเล็กๆ ตั้งอยู่ที่ถนนป่าไม้ ตำบลเวียงเหนือ “วัดประตูป่อง” เจดีย์วิหารสร้างเมื่อ พ.ศ. 2409 โดย เจ้าญาณรังษี ผู้ครองนครลำปาง โบสถ์เป็นฝีมือช่างสิบสองปันนา มีศิลปะลายจีนผสม ส่วนวิหารที่มีสถาปัตยกรรมแบบล้านนาพื้นบ้าน หากชื่นชอบศิลปะตามวัดแล้ว ไม่ควรพลาดชมวัด โดยวัดนี้มีสิ่งสำคัญทางประวัติศาสตร์ คือ ประตูเมืองโบราณ (ประตูป่อง) ที่มีซากหอรบสมัยพระยากาวิละ ได้ครองนครลำปาง โดยประตูแห่งนี้เป็นปราการต่อสู้ต้านทานทัพพม่าครั้งสำคัญเมื่อ พ.ศ. 2330

 


ที่ชื่อว่า “วัดประตูป่อง” ก็เพราะว่า วัดนี้ตั้งอยู่บริเวณประตูเมืองเก่าลำปาง คือประตูป่อง อันเป็นที่มาของชื่อวัด เมื่อไปถึงวัดประตูป่องเราจะพบซุ้มประตูเข้าวัดที่มีความงดงามด้วยลวดลายปูนปั้นที่อ่อนช้อย วิจิตรแบบศิลปะแบบล้านนา เมื่อเราเดินมาใต้ซุ้มประตูแล้วแหงนหน้าขึ้นไป จะพบรูป “พระราหู” อยู่กลางเพดานซุ้มประตู เมื่อผ่านซุ้มประตูมาแล้วจะพบวิหารล้านนาแบบปิด หลังคาด้านหน้าซ้อน 3 ชั้น หน้าบันของวิหารเป็นไม้แกะสลักลวดลายปิดทองประดับกระจกแบบล้านนา มีรูป “พระราหู” อยู่เหนือประตูเข้าวิหาร ด้านหน้าบันไดขึ้นวิหารมีรูป “มกรคายนาค” และ “รูปปั้นสิงห์” ที่ดูแปลกตาสีสันจัดจ้านสวยงาม

 


ถัดมาด้านขวาคือ โบสถ์ (ห้ามผู้หญิงเข้า) ด้านหน้าโบสถ์มีเสาหงส์ และ ตุงกระด้าง มีลวดลายประดับสวยงามมาก บันไดขึ้นอุโบสถ จะมีรูปปั้นคชสีห์ที่สวยงาม ด้านหน้าโบสถ์นั้นมีวิหารเล็กๆ อยู่ด้วย เป็นวิหารน้อยประดิษฐานพระอุปคุต ตามความเชื่อว่า พระอุปคุตมหาเถระ เป็นพระอรหันต์ที่มีพุทธานุภาพและมีฤทธิ์มาก สามารถปราบพญามารและสิ่งชั่วร้ายที่จะมาทำลายพิธีกรรมใหญ่ๆ ได้ จึงนิยมสร้างวิหารเล็กๆ ประดิษฐานพระองค์ท่าน เพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้าย และมารต่างๆ ที่จะเข้ามาที่โบสถ์

 


วัดสำคัญคู่กับจังหวัดลำปางมาช้านานอีกแห่ง “วัดปงสนุก” หรือ “วัดปงสนุกเหนือ”  ตั้งอยู่ในเขต ต.เวียงเหนือ อ.เมือง สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยเจ้าอนันตยศ ซึ่งเป็นราชบุตรของพระนางจามเทวีแห่งหริภุญไชย (จังหวัดลำพูนในปัจจุบัน) เมื่อครั้งเสด็จมาสร้างเขลางค์นคร (จังหวัดลำปางในปัจจุบัน) เมื่อปี พ.ศ. 1223

 

ทั้งนี้ชื่อของ “วัดปงสนุก” มีบางตำนานกล่าวไว้ว่าเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2364 เมืองลำปางและเมืองเชียงใหม่ยกทัพเข้าตีเมืองเชียงแสน แต่เมื่อไม่สามารถต้านทานความแข็งแกร่งได้ชาวเมืองเหล่านั้นจึงถูกต้อนมายังฝั่งเวียงเหนือของนครลำปาง โดยหนึ่งในกลุ่มชนนั้นก็มีชาวปงสนุกรวมอยู่ด้วย และขณะเดียวนั้นชาวเมืองพะเยาก็ได้อพยพมายังฝั่งเวียงเหนือเพื่ออาศัยอยู่เช่นเดียวกัน ต่อมาเมื่อบ้านเมืองสงบแล้วชาวพะเยาก็ย้ายกลับบ้านเกิดเมืองนอนของตน เหลือไว้แต่เพียงชาวปงสนุกที่ยังคงอยู่ ดังนั้นจึงได้เรียกชื่อวัดและชื่อหมู่บ้านตามเผ่าพันธุ์ของตนเอง และคำว่า “ปงสนุก” หมายถึง “พงศ์เผ่าแห่งความรื่นเริง”

 

“วิหารพระเจ้าพันองค์” หลังนี้เองที่ได้รับรางวัลการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมดีเด่นจากยูเนสโก้เมื่อปี 2008 ที่ผ่านมา (Award of Merit Wat Pongsanuk; Asia-Pacific Heritage Awards for Culture Herritage Conservation from UNESCO Year 2008)โดยวิหารพระเจ้าพันองค์ที่ได้รับรางวัลหลังนี้สร้างด้วยไม้ เป็นสถาปัตยกรรมเก่าแก่ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่เพียงแห่งเดียวของประเทศ ตัวอาคารแสดงถึงการรวบรวมทั้งงานด้านจิตรกรรม สถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างไทย จีน พม่า ผสมผสานเข้าไว้ด้วยกันอย่างสวยงาม โครงสร้างของวิหารมีลักษณะเป็นมณฑปเปิดโล่งตรงกลางประดิษฐานพระพุทธรูปสี่องค์ พระพักตร์แต่ละองค์ก็หันออกไปยังทิศทั้งสี่ ในส่วนของหลังคามีลักษณะซ้อนกันสามชั้นซึ่งตกแต่งไว้อย่างสวยงาม รวมไปถึงเสาสี่เหลี่ยมที่ค้ำตัววิหารก็มีลวดลายอันน่าวิจิตรปรากฏให้เห็นอยู่แทบทุกต้น และบริเวณด้านบนรอบในของตัววิหารนั้นได้รับการประดับด้วยพระพิมพ์องค์เล็กจำนวนมากถึง 1,080 องค์ นี่จึงเป็นที่มาของชื่อ วิหารพันองค์ ที่ใช้เรียกกันอย่างติดปาก

 


ปิดท้ายที่ “วัดอักโขชัยคีรี” ตั้งอยู่บนเนินเขาริมถนนสายลำปาง-แจ้ห่ม ทางหลวงหมายเลข 1035 บริเวณกิโลเมตรที่ 50-51 ด้านซ้ายมือ มีทางขึ้น 2 ทางคือ ทางเดินขึ้นบันไดด้านหน้าหรือขับรถขึ้นทางถนนด้านหลัง โบสถ์และเจดีย์เป็นแบบล้านนาอยู่ใกล้เคียงกัน

 


จุดเด่นของวัดอักโขชัยคีรี คือ วิหาร เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่เรียกว่า พระศากยมุณีคีรีอักโขมีความสูง 5 วา 2 ศอก ปาง พระพุทธรูปปางเปิดโลกพระพุทธรูปอยู่ในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ทั้งสองห้อยลงข้างพระวรกาย เป็นกิริยาทรงเปิดโลกทั้ง 3 ได้แก่ เทวโลก ยมโลก และ มนุษยโลก ให้มองเห็นถึงกันหมดด้วยพุทธานุภาพ เหล่าเทวดาในสวรรค์มองเห็นมนุษย์และสัตว์นรก มนุษย์มองเห็นเทวดาและสัตว์นรก สัตว์นรกมองเห็นมนุษย์และเทวดา แล้วจึงเสด็จลีลาลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ สู่สังกัสสนครในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่ที่ชาวแจ้ห่มให้ความเคารพศรัทธามาก

 


อีกกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดชมคือ ปรากฏการณ์ภาพเงาสะท้อนพระธาตุเจดีย์ ลักษณะเช่นเดียวกับวัดพระธาตุจอมปิง เงาพระธาตุเจดีย์นั้นจะปรากฏอยู่ที่เดิมตลอดทั้งวัน ยิ่งอากาศดีฟ้าใสมีแสงส่องสว่างภาพยิ่งชัดเจน ขณะชมจะต้องปิดวิหารไม่ให้แสงเข้าจนมืดภาพมหัศจรรย์เงาสะท้อนจึงจะปรากฏมี 2 จุด สามารถชมได้ตั้งแต่ เวลา 07.00-17.00 น. นักท่องเที่ยวสามารถชมวิวทิวทัศน์รอบๆ ที่สวยงาม ของอำเภอแจ้ห่มได้แบบ 360 องศา อีกด้วย

 

ครบถ้วน 12 วัดในลำปาง...ที่ไม่ควรพลาด” ไปแล้ว ทว่าภายในเมืองรถม้าแห่งนี้ เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าก็ยังวัดอีกจำนวนมากที่มีความน่าสนใจ ทั้งในเรื่องของความงดงามทางศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี การท่องเที่ยวและในเชิงประวัติศาสตร์ ในโอกาสหน้าจะรวบรวมมานำเสนอให้ผู้อ่านได้ทำความรู้จักกันอีกนะคะ

 กอบแก้ว แผนสท้าน...เรื่อง

Share:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์