นอกเหนือจากวัดพระธาตุลำปางหลวงแล้ว
ดูเหมือนวัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดารามจะเป็นวัดยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนเมืองลำปางเรา
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่มากับบริษัททัวร์
ฝรั่งหลายคนต่างอมยิ้มเมื่อเข้าไปในมณฑปที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นวิหาร
แล้วแหงนหน้าเห็นเทวดาเด็ก หรือทูตแห่งสวรรค์ ประดับอยู่บนเพดาน แสดงถึงอิทธิพลจากศิลปะตะวันตกในยุคนั้น
ที่สื่อถึงความรุ่งเรือง รื่นเริง และสรวงสวรรค์
ศิลปกรรมที่วัดแห่งนี้จึงนับว่ามีความหลากหลาย
โดยมีการผสมผสานศิลปะล้านนา พม่า และศิลปะตะวันตกเข้าไว้ด้วยกันอย่างน่าสนใจ
เห็นได้ชัดจากวิหารที่สร้างขึ้นเมื่อปี
พ.ศ. 2452 โดยเป็นอาคารเรือนยอดซ้อนชั้นที่ภาษาพม่าเรียกว่า “เปี๊ยะดั๊ด” มาจากคำว่า ปราสาท ในภาษาสันสกฤต
หมายถึงอาคารที่มีหลังคาซ้อนเป็นชั้น ๆ สื่อถึงเขาพระสุเมรุ ศูนย์กลางของจักรวาล
ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปบัวเข็มอันศักดิ์สิทธิ์
ลักษณะของวิหารเปิดโล่ง ตกแต่งด้วยงานประดับกระจกอย่างที่นิยมในศิลปะพม่า
โดยวัสดุประเภทนี้ช่วยสะท้อนคติความเป็นเมืองแก้วในสวรรค์
ที่เชื่อว่ามีวิมานประดับด้วยแก้วมณี ทั้งนี้ ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 25
ช่างพม่าได้รับวิทยาการด้านการประดิษฐ์แก้วและกระจกมาจากชาติตะวันตก
จากนั้นสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในแบบของตนเองได้อย่างลงตัว โดยมีช่างฝีมือคนสำคัญ
คือ “อูชเวโอ” เป็นเจ้ากรมหุงแก้วของราชสำนักพม่า
สมัยพระเจ้ามินดง เมื่ออูชเวโอเรียนจบจากประเทศฝรั่งเศส
เขาได้กลับมาตั้งโรงงานผลิตแก้วขึ้นในเมืองมัณฑะเลย์ นับจากนั้นมา
การใช้แก้วและกระจกตกแต่งสถาปัตยกรรมก็แพร่หลายออกไปอย่างรวดเร็ว
และแพร่มาถึงล้านนาในที่สุด
เพดานวิหารยังแพรวพราวไปด้วยงานปูนปั้นประดับกระจกปิดทอง
นอกจากรูปเทวดาเด็กแล้ว ยังมีกระต่ายประดับอยู่ฝั่งตะวันตกของวิหาร
เป็นสัญลักษณ์ของดวงจันทร์มาตั้งแต่โบราณ นอกจากนี้ อย่าลืมมองหาสิงโต ม้า มงกุฎ
และอักษรตัว T ที่มองดูแล้วคล้ายตราสัญลักษณ์แบบตะวันตก
มีการสันนิษฐานว่าอาจเป็นตราบริษัทสัมปทานไม้ของอังกฤษในเมืองลำปาง
แต่ที่น่าสนใจคือภาษาพม่าที่กำกับอยู่ โดย รศ. อุบลรัตน์ พันธุมินทร์
คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แปลได้ว่า “ฝีมือช่างมัณฑะเลย์” จึงเป็นไปได้ที่อาคารและงานประดับทั้งหมดจะเป็นผลงานของช่างจากเมืองมัณฑะเลย์
สำหรับเจดีย์ที่อยู่ด้านหลังวิหาร
ศาสตราจารย์ ดร. ศักดิ์ชัย สายสิงห์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี
มหาวิทยาลัยศิลปากร สันนิษฐานว่า น่าจะมีอายุอยู่ในราวต้นพุทธศตวรรษที่ 21
ร่วมสมัยกับพระธาตุลำปางหลวง
รูปแบบเจดีย์ที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ได้รับการบูรณะมาแล้ว
แต่ยังคงเค้าโครงของเดิมรูปแบบเดียวกับพระธาตุลำปางหลวง
อันเป็นลักษณะเฉพาะของเจดีย์ทรงระฆังในเมืองลำปาง
ด้านชื่อของวัดนั้น
เกิดจากการรวมวัดพระแก้วดอนเต้ากับวัดสุชาดารามเข้าไว้ด้วยกัน โดยชื่อนำมาจากชื่อเดิมของสถานที่แห่งนี้
ซึ่งตำนานพระแก้วดอนเต้ากล่าวว่า สมัยที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมา
ที่นี่มีชื่อเรียกว่า ม่อนดอนเต้า ส่วน ศ. สุรพล ดำริห์กุล คณะวิจิตรศิลป์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เชื่อว่า
ชื่อนี้คงเกี่ยวข้องกับตำนานที่เล่าถึงนางสุชาดาได้พบแก้วมรกตในผล “บะเต้า” หรือแตงโม
จากนั้นพระอินทร์ได้นำไปสลักเป็นพระพุทธรูปเรียกว่า “พระแก้ว” ก่อนจะประดิษฐานไว้
ณ วัดแห่งนี้ จนนางสุชาดาเสียชีวิตแล้ว
จึงอัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดพระธาตุลำปางหลวงจนถึงปัจจุบัน
กล่าวกันว่า
พระแก้วองค์นี้มีชื่อและพุทธลักษณะคล้ายกับพระแก้วมรกตที่ประดิษฐาน ณ
วัดพระแก้วที่กรุงเทพฯ โดยทำด้วยหินสีเขียว ขนาดหน้าตักกว้าง 6 นิ้วครึ่ง
เล็กกว่าพระแก้วมรกตเพียงเล็กน้อย เป็นศิลปะแบบเชียงแสนรุ่นหลัง ปางสมาธิราบ
มีชายสังฆาฏิยาวรูปแฉก ที่สำคัญมีประวัติว่าเคยประดิษฐานอยู่ที่วัดพระแก้วดอนเต้าฯ
เหมือนกันอีกด้วย
มาถึงวัดพระแก้วดอนเต้าฯ
แล้ว ไม่ควรพลาดที่จะไปชมวัดสุชาดารามด้วย
วัดแห่งนี้ถูกผนวกเป็นวัดเดียวกับวัดพระแก้วดอนเต้าฯ
ทำให้เกิดชื่อวัดที่แสนอ่อนช้อยว่า “วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม” อุโบสถและวิหารหลังเดิมของวัดมีปูนปั้นและลายคำที่สร้างขึ้นราวต้นพุทธศตวรรษที่
24 ถึงกลางพุทธศตวรรษที่ 25 ซึ่งมีเหลืออยู่เพียงไม่กี่แห่งในตัวเมืองลำปาง
วัดสุชาดารามสร้างขึ้นบริเวณที่เป็นบ้านของนางสุชาดา
โยมอุปัฏฐากวัดพระแก้วดอนเต้า เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีของนาง
หลังจากที่นางได้รับโทษประหารชีวิตด้วยความเข้าใจผิดและมาปรากฏความจริงในภายหลัง
วิหารของวัดสะท้อนสถาปัตยกรรมล้านนาสกุลช่างเชียงแสน
มีปราสาทเฟื้องวางอยู่กลางสันหลังคา อันมีความหมายเกี่ยวกับเขาพระสุเมรุ
หน้าวิหารจะเห็นหน้าแหนบ หรือหน้าบันไม้แกะสลักลวดลายพลิ้วไหวมีชีวิตชีวายิ่งนัก
ภายในวิหารยังน่าตื่นตาด้วยงานไม้และจิตรกรรมฝาผนังในส่วนต่าง ๆ
นับเป็นความงามที่สถิตอยู่ท่ามกลางมุมสงบทางด้านทิศใต้
ใครได้มาชมเป็นต้องหลงใหลในผลลัพธ์ที่สุดแสนลงตัวของวัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม
เมื่อศิลปะแบบตะวันตกเดินทางมาพบกับพม่าและล้านนา
(ร้อยเื่รื่องราว ฉบับที่ 925 วันที่ 10-16 พฤษภาคม 2556)