วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

นั้งร้านชั้น 5 หักคนงานพลัดตก กระแทกพื้นดับอนาถ


คนงานก่อสร้างปีนขึ้นไปบนนั่งร้านชั้น 5 เพื่อรอรับของ แต่ไม้รับน้ำหนักไม่ไหวเกิดหัก จึงตกลงมากระแทกพื้นดับอนาถ เพื่อนคนงานอีก 2 คนได้รับบาดเจ็บ 

เมื่อเวลาประมาณ  09.30 น.วันที่  29 ก.ค. 57 ร.ต.ท.สุรเชษฐ สุริมา  พนักงานสอบสวนเวร สภ.เมืองลำปาง ได้รับแจ้งว่า เกิดเหตุคนตกจากตึกเสียชีวิตและมีผู้บาดเจ็บ บริเวณสถานที่ก่อสร้างอาคารภายในมหาวิทยาลัยราชภัฎลำปาง เลขที่ 119 หมู่ 9 ต.ชมพู อ.เมือง จ.ลำปาง จึงประสานแพทย์เวรโรงพยาบาลลำปางและเจ้าหน้าที่กู้ภัยอัมรินทร์ ร่วมตรวจสอบและให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ 

ที่เกิดเหตุ พบว่าสถานที่ดังกล่าวกำลังก่อสร้างอาคารเรียน บริการวิชาการและเอนกประสงค์ 9 ชั้น  ซึ่งมีการขึ้นโครงและผนังปูนแล้วบางส่วน เมื่อตรวจสอบด้านข้างฝั่งขวาของอาคาร ที่กำลังก่อสร้างเป็นหอประชุม โดยมีการตั้งโครงเหล็กและโครงไม้ ไว้สำหรับให้คนงานปีนป่ายและขนของขึ้นไปด้านบนได้  พบศพคนงานก่อสร้างเป็นชาย สภาพนอนตะแคงอยู่ที่พื้น เลือดไหลนอง สวมเสื้อแขนยาวสีน้ำเงิน กางเกงขายาวสีเทา สวมร้องเท้าบู๊ทยางสีดำ  จากการชันสูตรศพเบื้องต้น พบศีรษะและใบหน้าด้านขวาถูกกระแทกอย่างแรงมีบาดแผลแตกฉกรรจ์ ทราบชื่อต่อมาคือ นายสมพร มาบุตรรัตน์ อายุ 57 ปี อยู่บ้านเลขที่ 60 บ้านศรีปรีดา หมู่ 3 ต.บ้านแลง อ.เมือง จ.ลำปาง นอกจากนั้นยังพบผู้บาดเจ็บเป็นชาย 2 คน คือนายชรินทร์ พลมา เป็นนักศึกษาปี 3 คณะอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ม.ราชภัฎลำปาง และได้รับจ้างทำงานพาทไทม์ในช่วงปิดเทอม และนายแย้ แซ่ม้า อายุ 40 ปี  เป็นชาว จ.พะเยา เจ้าหน้าที่ได้นำส่งโรงพยาบาลไปก่อนหน้านี้ 

เพื่อนคนงานที่เห็นเหตุการณ์ ให้การว่า นายสมพร ได้ทำงานเป็นช่างไม้ ก่อนเกิดเหตุ ได้ปีนขึ้นไปอยู่ชั้น 5 โดยยืนอยู่บนนั่งร้าน ซึ่งทำจากแผ่นไม้ที่มาวางต่อกัน พร้อมกับเด็กคนงานอีก  2 คน เพื่อจะรอรับของแต่ปรากฏว่าแผ่นไม้ที่ยืนอยู่นั้นรับน้ำหนักไม่ไหวเกิดหัก ทำให้ทั้ง 3 คนตกลงมาจากชั้น 5 เด็กคนงานสองคนตกมาค้างอยู่ที่โครงไม้ได้รับบาดเจ็บ ส่วนนายสมพรโชคร้ายที่ร่างไม่มีอะไรรองรับ ตกลงศีรษะกระแทกพื้นอย่างจังจนเสียชีวิต  แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จะได้ทำการสอบสวนผู้บาดเจ็บอีกครั้ง


(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 989 ประจำวันที่ 1 - 7 สิงหาคม 2557)


Share:

ปีนกำเพงวัดงัดประตูวิหาร ขโมยตู้บริจากเงินหมื่น


โจรใจบาป แอบปีนรั้วกำแพงวัดเข้าไปงัดประตู พระวิหาร จนเสียหายก่อนที่จะเอาไปอุ้มตู้บริจาค ที่ตั้งอยู่หน้าพระประธานวัด ไปสองตู้ หลบหนีไป กว่าเจ้าอาวาสจะมารู้เรื่องก็เมื่อมาเปิดประตูพระวิหาร พบถูกงัดทำลายเสียหายไปแล้วรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ คาดคนร้ายมีหลายคน เพราะเงินในตู้บริจาคมีจำนวนมาก และรู้ความเคลื่อนไหวภายในเป็นอย่างดี 

เมื่อวันที่ 29 ก.ค.57 เวลา 09.15 น. ร.ต.ท.สุรเชษฐ์ สุริมา พนักงานสอบสวนเวร สภ.เมือง ลำปาง ได้รับแจ้งจาก พระมหาบุญเชิด ฐาณะวโร เจ้าอาวาส วัดบ้านฟ่อน ว่ามีคนงัดประตูพระวิหาร วัดบ้านฟ่อน หมู่ 2 ต.ชมพู อ.เมือง จ.ลำปาง และขโมยตู้บริจาคไป จึงร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวน และสายตรวจ ต.ชมพูเข้าตรวจสอบ 

เมื่อไปถึงพบพระมหาบุญเชิด ฐาณะวโร เจ้าอาวาส นายจักรพงษ์ ธรรมใจ ประธานชุมชน และชาวบ้านบ้านฟ่อน ได้เข้าร่วมตรวจสอบร่องรอย ของคนร้ายที่ทำการงัดแงะที่ประตูทางเข้าพระวิหาร จนประตูได้รับความเสียหาย ก่อนที่จะเข้าไปภายในพระวิหาร ยกเอาตู้บริจาคของวัด ซึ่งเป็นตู้ไม้สัก ที่ตั้งหน้า พระประธาน หลบหนีออกไป จำนวน 2 ตู้  ซึ่งคนร้ายไม่ได้ทิ้งร่องรอยหรือหลักฐานไว้แต่อย่างใด มีเพียงร่องรอยความเสียหาย ที่ประตูตอนงัดประตูพระวิหารเข้ามาเท่านั้น

เบื้องต้นจากการสอบถาม พระมหาบุญเชิด ฐาณะวโร เจ้าอาวาส วัดบ้านฟ่อน ทราบว่า ปกติวัดจะปิดประตู ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง และจะปิดคล้องกุญแจพระวิหารทุกคืน เนื่องจากว่ามีกลุ่มวัยรุ่นชอบมานั่งมั่วสุมอยู่หน้าวัด จนกระทั่ง ช่วงเช้าวันนี้ได้มาเปิดไขกุญแจ ที่ประตูทางเข้าหลังองค์พระประทาน ตามปกติเพื่อที่จะไปเปิดประตูหน้าพระวิหาร แต่พบว่าประตูหน้าถูกงัดเสียหาย จึงได้ไปตรวจสอบว่ามีองค์พระสูญหายไปหรือไม่ เบื้องต้น ยังอยู่ครบ แต่กลับพบว่า ตู้บริจาค 2 ตู้ ตั้งอยู่หน้าพระประธานหายไป ซึ่ง ในตู้ดังกล่าว มีเงินคาดว่าไม่ต่ำหลักหมื่น เพราะตั้งแต่ต้นปีมายังไม่ได้เปิดเอาเงินภายในออกมานับเลย จึงรีบแจ้งประธานชุมชนก่อนที่จะแจ้งให้เจ้าหน้าที่ มาตรวจสอบและเก็บหลักฐานเพื่อสืบหาตัวคนร้ายต่อไป 

ขณะเดียวกัน จุดเกิดเหตุไม่ได้มีการติดตั้งวงจรปิดไว้ เนื่องจากอยู่ระหว่างจัดงบสรรประมาณ ส่วนที่อื่นๆภายในวัด มีการติดตั้งไว้บางส่วน ซึ่งคาดว่ากลุ่มคนร้ายน่าจะมีไม่ต่ำกว่า 2 คน ที่มาก่อเหตุครั้งนี้และ รู้ความเคลื่อนไหวภายในวัดเป็นอย่างดี เพราะรู้ว่ากล้องวงจรปิดอยู่ตรงไหน และได้ปีนข้ามกำแพงวัดเข้ามาในช่วงดึกเพื่อก่อเหตุ ซึ่งพยานระบุว่า เห็นกลุ่มวัยรุ่นที่เคยถูกจับตัวได้ก่อนหน้านี้ ที่เคยขโมยเงินบริจาค ค่าห้องน้ำ มาป้วนเปี้ยน เมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา จนกระทั่งเช้า ตู้บริจาคกู้มาถูกขโมยไป ซึ่งเจ้าหน้าที่จะได้เชิญตัวมาสอบสวนปากคำว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ 

ล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัวคนร้ายได้ พบว่าเป็นวัยรุ่น 4 ราย  โดยได้นำตัวไปสอบสวนและดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว


(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 989 ประจำวันที่ 1 - 7 สิงหาคม 2557)


Share:

ขนยาบ้า ภ แสน ผ่านเถิน แวะล้างรถคาแคร์ เจอ ตร. รวบ


สองหนุ่มชาวเชียงใหม่แวะเข้าร้านล้างอัดฉีดรถยนต์ ตำรวจเถินขับรถตรวจตราผ่านไปพบ แต่ทั้งคู่ได้แสดงท่าทางพิรุธจึงเข้าตรวจสอบ แต่สองหนุ่มขับรถหนีอย่างรวดเร็ว จึงแจ้งตำรวจในพื้นที่ตามสกัดจนรวบไว้ได้ ค้นในรถพบยาบ้ากว่า 4 แสนเม็ด 

เมื่อวันที่ 30 ก.ค.57 ที่หน้าห้อง กร.อมน.ลำปาง ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดลำปาง นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง พลตรี อุกฤษณ์  อากาศวิภาต ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 32 ค่ายสุรศักดิ์มนตรี พล.ต.ต.พรชัย พักตร์ผ่องศรี ผบก.ภ.จว.ลำปาง  พ.ต.อ.สมนึก ขอผล ผกก.สภ.เถิน ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาลักลอบขนยาเสพติดในพื้นที่ อ.เถิน จำนวน 2 ราย คือ นายอาทนนท์ แสนสิริ อายุ 44 ปี อยู่บ้านเลขที่ 156 หมู่ 11 ต.ท่าวังตาล อ.สารภี จ.เชียงใหม่ นายฉัตรดนัย หรือปรีชา ชยุตเดขาการ อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 201 หมู่ 8 บ้านป่าอ้อ ต.น้ำแพร่ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่  พร้อมด้วยเงินสดจำนวนหนึ่งพร้อมบัตรเอทีเอ็ม และบัตรเครดิต และยาบ้า จำนวน 400,400 เม็ด

พล.ต.ต.พรชัย ได้เปิดเผยถึงพฤติกรรมผู้ต้องหาว่า  ขณะ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เถิน กำลังปฏิบัติหน้าที่ออกตรวจตราความเรียบร้อยอยู่นั้น ได้ขับรถผ่านเต็นท์ล้างอัดฉีดรถแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.เถิน ปรากฏว่าพบรถต้องสงสัยสองคันคือรถยนต์ปิกอัพ อีซูซุ ทะเบียน ผค 8143 เชียงใหม่ จอดล้างรถอยู่ ขณะนั้นมี รถยนต์ปิกอัพโตโยต้า ผค 6440 เชียงใหม่ ขับมาจอด และคนในรถแสดงอาการพิรุธ ก่อนที่รถทั้งสองคันจะเร่งเครื่องรถหลบหนีไป ทันไดนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้วิทยุขอกำลังเสริมและตามไล่สกัดจับได้ที่ บริเวณหน้าวัดสบคือ หมู่ 10 ต.ล้อมแรด อ.เถิน จ.ลำปาง ได้รถ 1 คันคือ รถยนต์ปิกอัพอีซูซุ ทะเบียน ผค 8143 เชียงใหม่  โดยมีนายอานนท์ แสนสิริ เป็นผู้ขับขี่  ตรวจพบยาบ้าซุกซ่อนอยู่ใต้เบาะนั่งแค๊ปและคอนโซลหน้ารถ 400,400 เม็ด ส่วนรถยนต์ปิกอัพ โตโยต้า ผค 6440เชียงใหม่ ได้ขับหลบหนีไปทาง อ.ลี้ จ.ลำพูน เจ้าหน้าที่ประสาน สภ.ลี้ สกัดจับได้ผู้ต้องหา คือนายนายฉัตรดนัย หรือปรีชา ชยุตเดชากร  ทั้งสองยอมรับสารภาพว่ารับยาบ้าจากเชียงใหม่จะไปส่งในพื้นที่ กทม.ในราคา ค่าจ้าง 1 แสนบาท แต่ก็มาถูกจับจนได้ 

นอกจากนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองกำกับการสืบสวน จ.ลำปาง ได้นำผู้ต้องหารายย่อยมมาร่วมแถลงผลการจับกุมครั้งนี้ด้วยประกอบด้วยของกลางยาบ้า 3,512 เม็ด อาวุธปืนขนาด .38 สองกระบอก พร้อมเครื่องกระสุน ผู้ต้องหา 4 คน มาร่วมแถลงข่าวด้วย 


(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 989 ประจำวันที่ 1 - 7 สิงหาคม 2557)



Share:

ทุบหัว ฆ่าโหด รองนายก ทต. รวบกิ๊กสาวเสริมสวย ฉกบิกอัพใช้หนี้แสน



ฆ่าทุบหัวรองนายกเทศบาลตำบล ขับออกจากบ้านหายไปข้ามวัน เจออีกทีเป็นศพถูกฆ่าทุบหัวในผ้าห่มโยนทิ้งข้างทาง ภรรยามาดูศพถึงลมจับบอกสามีกำลังมีกิ๊กอยู่กับหญิงสาวเจ้าของร้านเสริมสวยใน อ.แจ้ห่ม ตำรวจตามตัวมาสอบสวนพร้อมลูกพี่ลูกน้อง เค้นนานกว่า 5 ชั่วโมง จึงเปิดปากสารภาพ ลวงผู้ตายมาหาที่ร้าน และให้น้องชายใช้ไม้ตีจนเสียชีวิต ก่อนจะนำรถยนต์ปิกอัพไปใช้หนี้ให้แฟนเก่า

เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 29 ก.ค. พ.ต.อ.อานุภาพ เกื้อหนุน ผกก.สภ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง รับแจ้งมีพบศพถูกฆ่าตายอยู่ข้างถนนสายลำปาง-แจ้ห่ม ช่วงหลัก กม.ที่ 39-40 เขตบ้านสาป่าก่อ หมู่ 5 ต.บ้านสา อ.แจ้ห่ม จึงไปออกไปสอบร่วมกับ พ.ต.อ.สังเวียน อินตากูล ผกก.กก.สส.ภ.จว.ลำปาง พ.ต.ท.สุเทพ แก่นราช รอง.ผกก.สส.สภ.แจ้ห่ม พ.ต.ท.ทวี หมุดดี พนักงานสอบสวน สภ.แจ้ห่ม พร้อมชุดสืบสวน สภ.แจ้ห่ม ชุดสืบสวน ภ.จว.ลำปาง เจ้าหน้าที่ตำรวจจากศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 5 ลำปาง แพทย์เวร รพ.แจ้ห่ม และเจ้าหน้าที่กู้ภัยแจ้ห่ม ในที่เกิดเหตุพบศพผู้เคราะห์ร้ายถูกห่อพันด้วยผ้าห่มผืนใหญ่สีชมพู 2 ชั้น มัดด้วยเชือกอย่างแน่นหนาถูกโยนทิ้งอยู่ข้างถนนจึงได้ร่วมกันแกะผ้าห่มออกเพื่อทำการชันสูตรพลิกศพ พบผู้ตายชื่อนายกิตติพงษ์ สายพรม อายุ 61 ปี มีตำแหน่งเป็นรองนายกเทศมนตรีตำบลนาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง อยู่บ้านเลขที่ 32/1 หมู่ 7 ต.นาครัว อ.แม่ทะ ถูกตีด้วยของแข็งเข้าที่ศีรษะด้านหลังอย่างแรงจนกะโหลกยุบ โดยสภาพศพสวมเสื้อยืดแขนสั้นสลับขาว-ดำ สวมกางเกงขายาวแบบยีนฟอก และสวมถุงเท้าสีดำแต่ไม่มีรองเท้า รถปิกอัพอีซูซุ ดีแมคซ์ 4 ประตู สีดำ ทะเบียน กท 5338 ลำปาง และโทรศัพท์มือถือของผู้ตายได้หายไป คาดเสียชีวิตมานานประมาณ 8-10 ชั่วโมง 

จากการสอบสวน นางจินดา สายพรม อายุ 59 ปี ภรรยาของนายกิติพงษ์ พร้อมญาติๆที่มาดูศพ และกำลังอยู่ในอาการโศกเศร้าเสียใจให้การกับเจ้าหน้าที่ด้วยน้ำตานองหน้าว่า  เมื่อวันที่ 28 ก.ค.สามีได้ขับรถยนต์กระบะออกจากบ้านไปประชุมที่ศาลากลางจังหวัด แล้วขาดการติดต่อไป ซึ่งตนเองสงสัยว่าสามีจะแอบไปพบหญิงสาวคนหนึ่งที่เปิดร้านเสริมสวยใน อ.แจ้ห่ม จึงเกรงว่าสามีจะเกิดอันตรายเพราะทราบมาว่าหญิงคนดังกล่าวมีเจ้าของอยู่แล้ว  เลยไปแจ้งความเอาไว้ที่ สภ.แม่ทะ กระทั่งมาวันนี้จึงพบว่าสามีถูกฆ่าตายแล้ว 

พล.ต.ต.พรชัย พักตร์ผ่องศรี ผบก.ภ.จว.ลำปาง เปิดเผยว่า หลังทราบเบาะแสเจ้าหน้าที่จึงได้เข้าตรวจสอบที่ร้านเสริมสวยต้องสงสัย พร้อมกับเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน เบื้องต้นพบร่องรอยคราบเลือดในที่เกิดเหตุด้วย รวมทั้งได้นำตัวผู้ต้องสงสัยมาทำการสอบสวน ซึ่งสาเหตุการฆาตกรรมตั้งไว้ก่อนใน 2 ประเด็นคือ เรื่องชู้สาวเป็นหลัก ส่วนอีกเรื่องคือปัญหาหนี้สิน  ตอนนี้ทราบตัวคนยกศพมาทิ้ง และคนทำความสะอาดในร้านเสริมสวยแล้ว ส่วนรถปิกอัพของผู้ตายที่หายไปนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พบในเขตอำเภอเมืองลำปาง และทำการตรวจยึดไว้แล้วเช่นกัน 

ต่อมาเมื่อวันที่ 30 ก.ค. พล.ต.ต.พรชัย พักตร์ผ่องศรี ผบก.ภ.จว.ลำปาง ได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.วังเวียน อินตากูล ผกก.สส.ภ.จว.ลำปาง เดินทางไปร่วมกับ พ.ต.อ.อานุภาพ เกื้อหนุน ผกก.สภ.แจ้ห่ม กับพวกติดตามจับกุมตัว น.ส.เบญจรัตน์ หรืออ้อม อรชร อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 179 ม.6 ต.แม่สุก อ.แจ้ห่ม  จ.ลำปาง  นายมารุต หรือเจี๊ยบ อรชร อายุ 19 ปี อยู่บ้านเลขที่  35 ม. 6 ต.แม่สุก อ.แจ้ห่ม  และนายพงษ์นิกร ส่งเกศาชาติ อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 17 ม. 4 ต.แจ้ห่ม อ.แจ้ห่ม  นำตัวมาสอบสวน  หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนพบว่าทั้งหมดได้ร่วมกันฆ่า ซ่อนเร้น และอำพรางศพ นายกิตติพงษ์ สายพรม อายุ 61 ปี รองนายกเทศมนตรีตำบลนาครัว อ.แม่ทะ 

ทางเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัว น.ส.เบญจรัตน์ และนายมารุต มาสอบสวนเครียดนานร่วม 5 ชั่วโมง จนกระทั่งทั้งสองคนเปิดปากรับสารภาพว่าได้ร่วมกันลงมือฆ่านายกิตติพงษ์จริง  เพื่อต้องการหาเงินไปใช้หนี้ให้ชายหนุ่มที่เคยคบหาคนเก่า เนื่องจากตนเองติดหนี้อยู่ 1 แสนบาท และได้ถูกตามทวงถามมาโดยตลอด   โดยในวันเกิดเหตุ น.ส.เบญจรัตน์ ได้นัดให้นายกิตติพงษ์มาหาที่ร้านเสริมสวยและชวนพูดคุย พร้อมกับนวดตามร่างกายให้เพื่อให้ผ่อนคลาย ขณะที่นายกิตติพงษ์กำลังนอนคว่ำหน้าให้นวดอยู่  น.ส.เบญจรัตน์ ก็ได้เรียกให้นายมารุต ญาติผู้น้องเข้ามาและใช้ไม้ตีที่ศีรษะของนายกิตติพงษ์จนเสียชีวิต จากนั้นได้ช่วยกันใช้ผ้าห่มมามัดห่อศพอย่างแน่นหนาและซุกซ่อนไว้ในบ้าน  ก่อนที่ น.ส.เบญจรัตน์จะขับรถยนต์ของผู้ตายออกไปที่หน้าสถานบันพลศึกษา และโทรศัพท์เรียกให้อาจารย์คนหนึ่ง ซึ่งเคยคบหากันมาก่อน ออกมาเอารถคันดังกล่าวไปขาย เพื่อเป็นการใช้หนี้ที่ น.ส.เบญจรัตน์ติดเงินอยู่ 1 แสนบาท  โดยอาจารย์คนดังกล่าวก็ได้ขับรถกลับไปส่ง น.ส.เบญจรัตน์ที่แจ้ห่ม ก่อนจะกลับมานำรถไปจอดไว้ในโรงเรียนที่ตนเองสอนอยู่ย่าน ต.บ่อแฮ้ว อ.เมือง จ.ลำปาง พร้อมกับถอดเครื่องเสียงรถยนต์ออกไว้เพื่อจะเตรียมนำรถไปขาย ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจตามมาพบและยึดไว้ในเวลาต่อมา   ด้าน น.ส.เบญจรัตน์ เมื่อได้กลับไปถึงก็ได้ช่วยกันกับนายมารุตยกศพเพื่อจะนำไปทิ้ง แต่ทั้งสองคนยกไม่ไหว จึงได้จ้างนายพงษ์นิกร ส่งเกศาชาติ มาช่วยกันยกศพไปทิ้งไว้ริมถนนสายลำปาง-แจ้ห่ม ดังกล่าว  หลังจากทั้งหมดให้การรับสารภาพแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหา ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ร่วมกันซ่อนเร้นอำพรางศพ และนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จะได้นำตัวอาจารย์ที่รับรถของผู้ตายมาจาก น.ส.เบญจรัตน์ มาทำการสอบสวนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมครั้งนี้ด้วยหรือไม่ หากไม่เกี่ยวข้องก็ยังจะต้องถูกดำเนินคดีในข้อหารับของโจรต่อไป 

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 989 ประจำวันที่ 1 - 7 สิงหาคม 2557)
 



Share:

เครือข่ายเกษตร คสช. กำกับ จนท. ใช้อำนาจเข้ม


สมาชิกของกลุ่มครือข่ายสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ จ.ลำปาง เดินทางมายื่นไปรษณียบัตร ส่งถึง หน. คสช.วอนขอให้ทำงานไม่กระทบกับชาวบ้านผู้ยากจน หลังที่ผ่านมายังมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่แยกแยะ ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน  

เมื่อวันที่ 28 ก.ค. 57 เวลา 11.00 น.กลุ่มสมาชิกของกลุ่มครือข่ายสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ จังหวัดลำปาง ประมาณ 30 คน ได้เดินเท้าจากหน้าทางเข้าศูนย์ราชการจังหวัดลำปาง เข้ามายังหน้ามุข ศาลาลากลางจังหวัดลำปาง พร้อมถือป้าย ข้อความต่างๆ พร้อมถึงข้อความที่เขียนในไปรษณียบัตร เพื่อที่ จะส่งไปถึง  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ผ่าน ที่ทำการไปรษณีย์ สาขาศาลากลางจังหวัดลำปาง 

โดยก่อนที่จะส่งไปรษณีย์นั้น นายประเวท ปิ่นแก้ว คณะกรรมการสมาชิกของกลุ่มครือข่ายสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ จังหวัดลำปาง ได้อ่านแถลงการณ์ของกลุ่มฯ ผ่านตัวแทนของจังหวัดลำปาง คือนายสุทัศน์ สมคำ รักษาราชการป้องกันจังหวัดลำปาง ที่มารับฟังแถลงการณ์และรับหนังสือครั้งนี้ จากนั้น สมาชิกของกลุ่มครือข่ายสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ จังหวัดลำปาง ได้พากันเดินเข้าไปยังที่ ทำการไปรษณีย์ พร้อมทั้งส่งไปรษณีย์ทั้งหมดเพื่อที่จะ ส่งไปถึง หน.คสช.ต่อไป

ขณะที่ นายประเวท ปิ่นแก้ว คณะกรรมการสมาชิกของกลุ่มครือข่ายสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ จังหวัดลำปาง แกนนำในครั้งนี้ กล่าวว่า หลังจากมีคำสั่ง 64/2557 และ 66/2557 เรื่องปราบปรามและการหยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ โดย คสช.มีเจตนารมณ์ ที่จะปราบปรามนายทุน ผู้มีอิทธิพล และกลุ่มขบวนการลักลอบตัดไม้ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเน้นย้ำว่าการดำเนินการตามคำสั่งดังกล่าวต้องไม่กระทบต่อประชาชนผู้ยากไร้ ผู้มีรายได้น้อย และผู้ไร้ที่ดินทำกิน ซึ่งได้อาศัยอยู่พื้นที่เดิมนั้นๆก่อนมีผลบังคับใช้  แต่ ข้อเท็จจริงที่ปรากฏตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้มีเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่ เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติการโดยไม่แยกแยะ ว่าเป็นนายทุน ผู้มีอิทธิพล หรือประชาชนผู้ยากไร้ ผู้ที่มีรายได้น้อย และผู้ไร้ที่ดินทำกิน ซึ่งอยู่อาศัยในพื้นที่นั้นมาก่อน ตลอดจน บางครั้งมีเจ้าหน้าที่บางส่วนอ้างคำสั่ง ดังกล่าวเข้าไปข่มขู่คุกคาม ทำให้กลุ่มชาวบ้านวิตกหวาดกลัว จนไม่สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติ จึงได้มีการประชุมเครือข่ายและได้มีมติออกมาเคลื่อนไหว เขียนข้อความใส่ไปรษณียบัตร เพื่อส่งไป ถึง หน.คสช.โดยขอให้เร่งดำเนินการตามข้อเรียกร้อง ในมาตรการเร่งด่วนคือ ให้ หัวหน้า คสช.กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติการด้วยความรอบคอบ เป็นธรรมและยึดถือตามคำสั่งที่ 66/2557 เร่งรัดให้สำนักนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหา ที่ดินทำกิน เร่งรัดการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสถาบันบริหารจัดการ ที่ดินให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันฯ พร้อมทั้งอนุมัติงบประมาณสนับสนุนการดำเนินงานของสถาบันฯ และอนุมัติโครงการนำร่องธนาคารที่ดินจำนวน 167 ล้านบาทตามนัยยะมติคณะรัฐมนตรี 21 พฤษภาคม 2557ส่วนมาตรการระยะกลาง และระยะยาว ให้ผลักดันให้เกิดการกระจายการถือครองที่ดินโดยมาตรการจัดเก็บภาษีในอัตรา ก้าวหน้าและนำภาษีที่ได้มาจัดตั้งธนาคารที่ดินให้แก่คนจนและเกษตรกรรายย่อย ได้มีโอกาสเข้าถึงที่ดินที่ทำกินและที่อยู่อาศัยอย่างเป็นธรรม ผลักดันให้เกิดการกระจายการถือครองที่ดินโดยมาตรการจัดเก็บภาษีที่ดินใน อัตราก้าวหน้าและนำภาษีที่ได้มาจัดตั้งธนาคารที่ดินให้แก่คนจนและเกษตรกรราย ย่อยได้มีโอกาสเข้าถึงที่ดินทำกินและที่อยู่ อาศัยอย่างเป็นธรรม ผลักดันกฎหมายรองรับสิทธิชุมชนในการจัดการที่ดิน ป่าไม้ น้ำ และทะเล เพื่อเป็นการกระจายอำนาจในการจัดการทรัพยากรไปสู่ชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพ และ บรรจุเนื้อหาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิชุมชนไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับถาวรเพื่อให้ ชุมชนท้องถิ่นและชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมมีสิทธิในการดูแลรักษา จัดการ และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชนอย่างสมดุลและยั่งยืน โดยแกนนำเครือข่าย ฯ ได้เน้นย้ำว่าจะมีการติดตามผลการส่งไปรษณียบัตรถึงหัวหน้า คสช.อย่างใกล้ชิดเพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาที่ดินของเกษตรกร ต่อไป


(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 989 ประจำวันที่ 1 - 7 สิงหาคม 2557)


Share:

นายกฯ รีเทิร์น ปลด ปรับ เปลี่ยน




ความเป็นนายกฯ เริ่มนาทีแรกที่ศาลตัดสิน กิตติภูมิเผยเสียดายที่ประชาชนเสียโอกาส กลับมาคราวนี้ต้องกวาดบ้านให้เรียบ โละทีมบริหารตามวิธี “ปลด ปรับ เปลี่ยน” 

นายกิตติภูมิ นามวงค์  เปิดบ้านจัดงานเลี้ยงอย่างครึกครื้น หลังจากทราบผลการพิพากษาของศาล สั่งยกคำร้องคดีใบแดง โดยมีกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่น และประธานชุมชนต่างๆในเขตเทศบาลนครลำปาง เดินทางมาแสดงความยินดีกันจำนวนมาก ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความสนุกสนานและอบอุ่น 

ลานนาโพสต์ติดตามความคืบหน้าของนายกิตติภูมิ นามวงค์  นายกเทศมนตรีนครลำปาง เมื่อทราบผลคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 เชียงใหม่ ยกฟ้องคดี หลังจากที่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ไปนานถึง 4 เดือน  และได้กลับมาทำหน้าที่อย่างภาคภูมิอีกครั้ง 

ผู้สื่อข่าวสอบถามว่า ศาลตัดสินว่าอย่างไรบ้าง  นายกิตติภูมิ กล่าวว่า ได้มีสมาชิกสภาเทศบาลนคร ร้องเรียนเกี่ยวกับนโยบายการหาเสียง เรื่องทุนส่งเสริมการเรียน  แต่ กกต.ชุดนางสดศรี สัตยธรรม ได้ยกคำร้องไปแล้ว แต่ได้มีการยื่นร้องไปอีกเป็นครั้งที่ 2 จึงมีการหยิบประเด็นนี้มาพิจารณาใหม่ ในการให้ใบแดงครั้งนี้ ศาลพิพากษาออกมาว่า  ตามระเบียบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง  ผู้ร้องมีสิทธิร้องซ้ำได้ แต่ในการพิจารณาความได้ยึดเอาหลักสากล ว่าเรื่องใด มูลเหตุใด เป็นเรื่องเดียวกัน ต้องรวมให้อยู่ในประเด็นเดียวกัน เมื่อได้รับการตัดสินไปแล้วไม่ให้นำมาพิจารณาตัดสินซ้ำอีก  ดังนั้นเรื่องดังกล่าวเมื่อมีการตัดสินซ้ำ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 จึงยกคำร้อง 

นายกิตติภูมิ กล่าวกับลานนาโพสต์ว่า “ความเป็นนายกเทศมนตรีของผมได้เริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 30 ก.ค. เวลา 10.00 น. หลักจากที่ศาลตัดสินแล้ว” ตอนนี้เรื่องร้องเรียนต่างๆจบหมดแล้ว ก็กลับมาทำงานตามกระบวนการบริหารจัดการ  และจะเริ่มทำงานวันที่ 31 ก.ค. แต่ยังไม่เซ็นหนังสือ ต้องรอหนังสือจากทางศาลแจ้งมาอย่างเป็นทางการก่อน 

เมื่อสอบถามถึงช่วงที่ต้องหยุดทำงานไปนานเป็นอย่างไร   นายกิตติภูมิ กล่าวว่า  4 เดือนที่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ผมได้พักผ่อนเต็มที่ ผมไม่ได้เสียโอกาสในการทำงาน แต่ประชาชนต่างหากที่เสียโอกาส 1 ปีที่ผ่านมาได้ทำงานอย่างทุ่มเท ภารกิจต่างๆเดินไปในทิศทางที่ดีและเห็นชัดเจน สามารถอธิบายเรื่องความตั้งใจได้  แต่เมื่อหยุดปฏิบัติหน้าที่ โครงการต่างๆหยุดชะงักหมด กลับมาก็ต้องมาเริ่มนับหนึ่งใหม่  แต่เวลาอีก 2 ปีกว่าที่เหลือ ก็ยังมีเพียงพอที่จะทำงานให้ลุล่วงไปได้ ทั้งนี้การทำงานก็ยังมีอุปสรรคเพราะสมาชิกสภาเทศบาลอยู่คนละกลุ่ม คนละขั้วการเมือง กระบวนการตรวจสอบถ้าเป็นไปตามข้อกฎหมายและสร้างสรรค์ก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้ามีเกมการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องก็คงจะเดินหน้าไปไมได้มากนัก   ประชาชนก็ต้องจับตาดูเองว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปจะเป็นอย่างไร ถูกใช้เป็นเกมการเมืองหรือไม่

สำหรับกระแสข่าวที่จะมีการเปลี่ยนทีมบริหารใหม่  นายกเทศมนตรี กล่าวว่า กลับมาครั้งนี้มีการปรับทีมบริหารแน่นอน ที่ผ่านมาบางเรื่องบางคนก็ทำงานเข้าตา บางเรื่องบางประเด็นก็ยังจะปรับปรุงก็มี ตามวิธี  ปลด ปรับ เปลี่ยน  เหตุผลในการกระทำครั้งนี้ยืนยันว่าจะไม่นำเรื่องส่วนตัวมาเป็นที่ตั้ง สิ่งที่จะทำอย่างแรกเลยในการกลับมาทำงานอีกครั้งคือ  ต้องทำความสะอาดบ้านก่อน ทีมบริหารต้องปรับให้ชัดเจนก่อนที่จะเดินหน้าต่อไปด้วยกันได้


(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 989 ประจำวันที่ 1 - 7 สิงหาคม 2557)



Share:

หมอภูมิ พ้นพงหนาม ยกฟ้องใบแดง ข้อหาทุนการศึกษาร้องซ้ำ



สู้คดีนานถึง 4 เดือน กิตติภูมิหวนคืนนายกเทศมนตรี หลังศาลพิพากษายกฟ้องใบแดง เหตุไม่พิจารณาคดีซ้ำซ้อน  เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. วันที่ 30 ก.ค. 57 ศาลอุทธรณ์ภาค 5 เชียงใหม่ ได้พิจารณาคดี นายกิตติภูมิ นามวงศ์ นายกเทศมนตรีนครลำปาง กรณีที่ กกต.กลางได้วินิจฉัยให้ใบแดง ในการหาเสียงที่มีนโยบายเกินจริง หลอกลวง ชักจูงใจ  เรื่องการให้ทุนการศึกษาแก่เด็กนักเรียนที่อยู่ในเขตเรียนโรงเรียนเทศบาลจะต้องได้รับทุนส่งเสริมการเรียนจากงบประมาณเทศบาลทุกคนๆละ 1,000 ต่อปี  ซึ่งผลการตัดสินของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ปรากฏว่าได้ ยกคำร้อง  นายกิตติภูมิจึงกลับมาทำหน้าที่นายกเทศมนตรีนครลำปางอีกครั้ง    

นายสุคนธ์ เรือนสอน ผอ.กกต.ลำปาง กล่าวว่า ทาง กกต.ได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมรับฟังคำพิพากษาด้วย ซึ่งผลออกมาว่าศาลได้ยกฟ้องคดีของนายกิตติภูมิ นามวงค์  โดย ให้เหตุผลว่าเป็นการวินิจฉัยซ้ำซ้อน ซึ่งหลังจากศาลตัดสินแล้ว นายกิตติภูมิ ก็สามารถกลับมาทำงานได้ทันที เพราะตามกฎหมายระบุว่า ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา แต่ขึ้นอยู่ที่นายกเทศมนตรีว่าจะรอหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรจากศาลมาก่อน หรือไม่เท่านั้น 

สำหรับเรื่องการฟ้องคดีใบแดงดังกล่าว สืบเนื่องจากนายบริบูรณ์ บุญยู่ฮง สมาชิกสภาเทศบาลนครลำปาง ได้ยื่นร้องคัดค้านการเลือกตั้งเกี่ยวกับนโยบายการหาเสียง เรื่องทุนส่งเสริมการเรียนคนละ 1,000 บาท  ซึ่งมูลเหตุและประเด็นดังกล่าวได้มีการร้องมา 2 ครั้ง  และในประเด็นเดียวกันนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้งชุดของนางสดศรี สัตยธรรม เป็นประธาน กกต. ได้ยกคำร้องไปแล้ว  แต่เนื่องจากมีการยื่นร้องคัดค้านเข้ามาอีกครั้งในคณะกรรมการการเลือกตั้งชุดของนายศุภชัย สมเจริญ เป็นประธาน กกต. จึงได้มีการหยิบยกประเด็นนี้มาพิจารณาใหม่ และ กกต.มีมติเป็นเอกฉันท์ 5 ข้อด้วยกัน คือ  1.เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้ถูกร้องที่หนึ่ง คือ นายกิตติภูมิ นามวงค์    2.สั่งให้มีการเลือกตั้งนายกเทศบาลนครลำปาง อำเภอเมืองจังหวัดลำปางใหม่  3.ให้ผู้ถูกร้องที่หนึ่งชดใช้ค่าเสียหายในการจัดการเลือกตั้งใหม่ 4.ดำเนินคดีอาญาแก่ผู้ถูกร้องที่หนึ่ง  และ 5 ยกคำร้องคัดค้านในส่วนของผู้ถูกร้องที่ 2-5 ประกอบด้วย นายแพทย์สุรทัศน์ พงษ์นิกร  นายสุวรรณ นครังกูล  นางชนูสี อินดาวงศ์ และนายอภิชัย สัชฌะไชย  จากนั้น กกต.ได้ยื่นฟ้องคดีไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 5 เชียงใหม่ ตามขั้นตอน 

โดยตลอดระยะเวลาที่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ไปร่วม 4 เดือน นายชัยศรี สัชฌะไชย รองนายกเทศมนตรี ได้รักษาการแทน และยังคงทำหน้าที่ในส่วนงานของนายกเทศมนตรีได้ ซึ่งมีการเดินหน้าหลายๆโครงการอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการใกล้ใจอุ่นไอรัก  โครงการปรับภูมิทัศน์ศาลหลักเมือง โครงการพัฒนาและฟื้นฟูแม่น้ำวัง  การจัดตั้งโรงพยาบาลสาขา  โครงการเราช่วยกัน เป็นต้น

ซึ่งในการพิจารณาคดีครั้งนี้ ศาลเห็นว่าที่ผ่านมาก็ได้มีการวินิจฉัยแล้ว ว่านโยบายดังกล่าวสามารถกระทำได้ โดยไม่ขัดต่อมาตรา 57 ของ พ.ร.บ.การเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น ตามที่เคยยกคำร้องมาแล้ว ถึงเห็นสมควรยกคำร้อง

เมื่อวันที่ 31 ก.ค.57  นายชัยศรี สัชฌะไชย และนายอภิชัย สัชฌะไชย ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งแล้ว  ลานนาโพสต์ได้สอบถามไปยังนายชัยศรี เปิดเผยว่า ตนได้ยื่นหนังสือลาออกจากรองนายกเทศมนตรีแล้วพร้อมกับนายอภิชัย สัชฌะไชย ที่ลาออกจากเลขานายกฯ  มีผลวันที่ 1 ส.ค.57  โดยส่วนตัวแล้วไมได้มีปัญหาใดๆ สาเหตุที่ลาออกเพราะเป็นมารยาททางการเมือง ประกอบกับตนอายุมากแล้ว อยากจะพักผ่อน เดิมจะมีการยื่นหนังสือลาออกด้วยกัน 4 คน แต่ก็มีเพียงตนกับลูกชายเท่านั้น 

ทั้งนี้  จากกระแสข่าวทราบว่า ในเบื้องต้นจะจะมีผู้ที่ยื่นหนังสือลาออก 4 คนคือ นายชัยศรี สัชฌะไชย รองนายกเทศมนตรี นายแพท์สุรทัศน์ พงษ์นิกร รองนายเทศมนตรี  นางชนูสี อินดาวงศ์ ที่ปรึกษานายกฯ  และนายอภิชัย สัชฌะไชย เลขานุการนายกเทศมนตรี  แต่เนื่องจากนายกิตติภูมิ นามวงค์ ได้มีการพูดคุยกันในกลุ่มขอให้นายแพทย์สุรทัศน์ และนางชนูสี ช่วยงานต่อ จึงมีเพียงนายชัยศรี และลูกชายเท่านั้นที่ยื่นหนังสือลาออก   ส่วนผู้ที่จะเข้ามาเป็นรองนายกเทศมนตรีนั้น คาดว่าจะเป็น นายสมเกียรติ อัญชนา อดีตปลัดเทศบาลนครลำปาง  


(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 989 ประจำวันที่ 1 - 7 สิงหาคม 2557)



Share:

วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เกาะติดรถไฟเร็วสูง ชาวบ้านตรวจแนวที่ดิน



เจ้าของที่ดินแห่ฟังรายละเอียดโครงการรถไฟความเร็วสูง ขอความชัดเจนเรื่องเส้นทาง เกาะติดสถานการณ์และความชัดเจนเงื่อนไขการเวนคืน 

จาก การสัมมนารับฟังความคิดเห็นของประชาชนครั้งที่ 2 ของโครงการศึกษาและออกแบบรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพ-เชียงใหม่ ระยะที่ 2 จาก พิษณุโลก-เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 23 ก.ค. 2557 ณ โรงแรมเวียงลคอร อ.เมือง จ.ลำปาง มีประชาชนที่มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือได้รับผลกระทบจากโครงการรถไฟความเร็วสูง โดยเฉพาะกลุ่มประชาชนที่มีบ้านเรือนหรือที่ดินอยู่ในเขตเส้นทางรถไฟพาดผ่าน ที่ดิน  จาก อำเภอวังชิ้น อำเภอลอง จังหวัดแพร่ และอำเภอแม่ทะ จนถึงอำเภอเมือง ที่มีที่ดินติดแนวเขตรถไฟเดิม มาร่วมรับฟังการชี้แจง ความคืบหน้าของโครงการฯ 

ในที่ประชุมดังกล่าวได้ ชี้แจงผลสรุปการ คัดเลือกเส้นทางของโครงการช่วงพิษณุโลก ถึงเชียงใหม่ มีข้อสรุปว่าส่วนใหญ่เป็นเส้นทางตัดใหม่ โดยมีจุดเริ่มต้นที่สถานีพิษณุโลก เชื่อมกับอีก 5 สถานี คือ สุโขทัย ผ่านอำเภอศรีสำโรง และอำเภอสวรรคโลก มุ่งสู่ สถานีศรีสัชนาลัย ผ่านอำเภอวังชิ้น อำเภอลองจังหวัดแพร่ ผ่านอำเภอแม่ทะ เข้าสู่สถานีลำปาง ผ่านดอยขุนตานเข้าสู่สถานีลำพูน และเชียงใหม่ ความยาว 296 กม. เบื้องต้นคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในอีก 6 ปีข้างหน้า (ปี 2563 )และใช้เวลาก่อสร้างแล้วเสร็จอีกประมาณ 6 ปี 

นายชัยวัฒน์  ทองคำ คูณ รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว นสพ.ลานนาโพสต์ ว่า การประชุมชี้แจงความคืบหน้าของโครงการครั้งนี้นับว่าได้รับความสนใจจาก ประชาชนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะกลุ่มองค์กรภาคธุรกิจเอกชน มีเสียงสนับสนุนและผลักดันให้เกิดโครงการนี้โดยที่คาดหวังจะได้รับประโยชน์ ด้านการพัฒนา และธุรกิจการค้าในอนาคต อีกส่วนหนึ่งคือ ประชาชนที่มีที่ดินอยู่ในแนวเขตเส้นทางรถไฟพาดผ่าน มารับฟังรายละเอียดของโครงการฯในภาพรวมทุกด้าน และหลังจากนี้ช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2557 จะเริ่มลงพื้นที่พบกับเจ้าของที่ดินที่ได้รับผลกระทบ เพื่อทำแนวเขตตามเส้นทาง ว่าเส้นทางทั้งหมดผ่านบ้านเรือน ที่ทำกิน วัด ชุมชน และสิ่งสาธารณะประโยชน์ใดบ้าง เพื่อนำไปสู่กระบวนการข้อมูลที่ชัดเจนในการเวนคืนหรือเลี่ยงจุดสำคัญที่เป็น ผลกระทบตามข้อห้ามต่างๆ โดยภาพรวมโครงการนี้ไม่มีจุดที่ผ่านโบราณสถาน แต่มีบางจุดที่ต้องออกแบบและใช้เทคนิคการก่อสร้างพิเศษเพื่อความเหมาะสม เช่น จุดเชื่อมและอุโมงค์ลอด หรือทางยกระดับ 

"ในส่วนของสถานีลำปาง ขณะนี้มีข้อสรุปแล้วว่าจะสร้างขึ้นที่สถานีรถไฟนครลำปางเดิมที่มีอยู่แล้ว สร้างอาคารเพิ่มเติมด้านหลังของอาคารเดิม เพื่ออนุรักษ์ รูปแบบของอาคารเดิมเอาไว้ แต่ก็มีความเห็นเพิ่มเติม ให้ศึกษาและดูพื้นที่สถานีหนองวัวเฒ่า อ.แม่ทะ หรือ ที่อำเภอห้างฉัตร  แต่การศึกษาก็พบว่า สถานีที่ดีที่สุดต้องอยู่ในเขตชุมชนเมืองที่เข้าถึงง่าย ดังนั้นรูปแบบและจุดก่อสร้างของแต่ละสถานี จะแตกต่างกันตามความเหมาะสมของพื้นที่ " 

ขณะที่ประชาชนที่มีที่ดินติดแนวเขตเส้นทางรถไฟพาดผ่านที่มาร่วมประชุม มีความเห็นใกล้เคียงกันว่า ต้องการรับทราบความชัดเจนของโครงการฯ ว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน เมื่อไหร่อย่างไร เพื่อเตรียมตัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีอาคารบ้านเรือนในแนวเขตเวนคืน อาจจะต้องย้ายและหาที่อยู่ใหม่ ระบุว่า มีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับโครงการนี้ ทำให้เกิดความสับสน และอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ข้อมูลที่ชัดเจนทางจดหมายเป็นระยะ 

นางไข่แก้ว ปุ๊ดเปียง อายุ 63 ปี ราษฎรบ้านท่าแหน อ.แม่ทะ จ.ลำปาง หนึ่งในเจ้าของที่ดินทำกินในเขตเส้นทางรถไฟพาดผ่าน เปิดเผยว่า ตนได้รับจดหมายจากโครงการฯให้มารับฟังข้อมูล โดยก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับโครงการนี้เลย จึงตั้งใจมาฟังรายละเอียดทั้งหมด เพราะเท่าที่สอบถามจากหลายฝ่าย ทราบว่าเส้นทางรถไฟจะผ่านบนที่นาและสวนลำไยของตน ยาว 18 ไร่ จึงอยากรู้ว่า หากเป็นเช่นนั้นจะมีแนวทางและเงื่อนไขเวนคืนที่ดินอย่างไร และตนต้องวางแผนเกี่ยวกับที่ดินทำกินต่อไปอย่างไรในอนาคต


(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 988 ประจำวันที่ 25 - 31 กรกฎาคม 2557)


Share:

กินแมลงช่วยโลก


กุลธิดา สืบหล้า...เรื่อง

สำหรับบ้านเรา ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยหากใครสักคนจะกินแมลง ตามตลาดเราเองก็ชินตากับเมนูจิ้งหรีด หนอนไหม รถด่วน จิ้งกุ่ง แมงมัน หรือตั๊กแตน ซึ่งเป็นอาหารตามฤดูกาลที่หลายคนโปรดปรานและเฝ้ารอ แต่สำหรับบางคน การกินแมลงเป็นเรื่องยากที่จะทำใจได้ ก็ในเมื่อมีเนื้อสัตว์อีกหลากหลายให้เลือกกินอยู่แล้ว ทำไมจึงต้องหันมากินแมลงกันด้วยเล่า

มีการคำนวณว่า ในปี พ.ศ. 2593 โลกจะมีประชากรมากถึง 7,200-9,600 ล้านคน ทำให้หลายฝ่ายฉุกคิดขึ้นมาว่า เนื้อสัตว์ที่ได้จากการทำปศุสัตว์นั้น จะเพียงพอต่อความต้องการของประชากรจำนวนมหาศาลของโลกหรือไม่ ด้วยเหตุนี้ องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) จึงออกมาเรียกร้องให้คนทั่วโลกหันมากินแมลงกันมากขึ้น โดยระบุว่า แมลงเป็นแหล่งอาหารไขมันต่ำ ขณะเดียวกันก็มีโปรตีนกับไฟเบอร์สูง ถือเป็นทางเลือกใหม่ที่จะบรรเทาความอดอยากหิวโหยทั่วทุกมุมโลก ที่สำคัญ ยังยกตัวอย่างสุดยอดเมนูอย่างยำไข่มดแดงของไทยว่าเป็นหนึ่งในอาหารทรงคุณค่า ที่อาจช่วยให้ประชากรโลกรอดพ้นจากการอดตาย ด้านองค์กรอนามัยโลก (WHO) ยังออกมายืนยันด้วยว่า ทุกวันนี้มีแมลงหลุดเข้าไปในปากเราพร้อมกับอาหารอยู่แล้ว เราแค่มองไม่เห็นมันเท่านั้นเอง ?!?!

ในบรรดาสัตว์บนโลกของเรานั้น แมลงมีจำนวนมากที่สุด โดยมีอย่างน้อย 5 ล้านชนิด ทั้งนี้ จำนวนแมลงที่กินได้แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จนถึงละตินอเมริกาพบว่า มีมากกว่า 1,900 ชนิดเลยทีเดียว แมลงทุกชนิดมี 6 ขา และมีโครงสร้างแข็ง หรืออาจเรียกว่ากระดูก ปกคลุมอยู่ภายนอกร่างกาย โครงสร้างแข็งภายนอกนี้ ประกอบกันขึ้นเป็นเกราะป้องกันอวัยวะที่อ่อนนุ่มภายใน 

จากข้อมูลของสถาบันวิจัยโภชนาการแห่งมหาวิทยาลัยมหิดลพบว่า แมลงมีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่าที่เราคิด อย่างตั๊กแตนปาทังกาน้ำหนัก 100 กรัม มีโปรตีนถึง 27 กรัม และให้พลังงานมากถึง 150 กิโลแคลอรี ในขณะที่เนื้อหมู 100 กรัม มีโปรตีนเพียง 18 กรัม นอกจากนี้ แมลงยังมีสารไคตินเช่นเดียวกับที่พบในเปลือกกุ้งและปู ซึ่งช่วยลดระดับไขมันในเลือด (แต่ต้องไม่กินต่อเนื่องเป็นเวลานาน เพราะอาจรบกวนการดูดซึมแร่ธาตุในร่างกาย)

จะว่าไปแล้ว แมลงไม่ใช่อาหารราคาถูก แมลงกินได้ส่วนใหญ่ราคาตั้งแต่กิโลกรัมละหลายร้อยจนถึงหลายพันบาทเลยทีเดียว ช่วงฤดูแมงมันที่ผ่านมาหลายคนยังจำได้ว่า ราคาซื้อขายกิโลกรัมละ 1,000 กว่าบาท ถึงจะมีราคาแพงมาก แต่ก็ได้มาในปริมาณมากเช่นกัน และจากหลักโภชนาการที่ระบุไว้ ทำให้เราไม่จำเป็นต้องกินแมลงในปริมาณมาก แต่ก็ได้สารอาหารตามที่ร่างกายต้องการเช่นกัน 

นอกจากแมลงจะเป็นแหล่งโภชนาการชั้นเลิศแล้ว ยังหมดกังวลเรื่องอันตรายจากฮอร์โมนและสารเร่งการเจริญเติบโตเหมือนเนื้อสัตว์ชนิดอื่นไปได้เลย เพราะวงจรตั้งแต่ตัวอ่อนจนถึงตัวเต็มวัยนั้น ใช้ระยะเวลาสั้นมาก แถมภาวะโลกร้อนยังทำให้การเจริญเติบโตและวงจรชีวิตของแมลงหลายสายพันธุ์เร็วขึ้นอีกด้วย

เรื่องยาฆ่าแมลงก็หายห่วง สถาบันวิจัยโภชนาการแห่งมหาวิทยาลัยมหิดลระบุว่า แมลงส่วนใหญ่ที่ขายกันอยู่นี้มักถูกซื้อมาในขณะที่ยังมีชีวิตเพื่อป้องกันการเน่าเสีย แต่ที่น่าเป็นห่วงมากกว่านั้นก็คือ การใช้น้ำมันเก่าในการทอดพวกมันนี่แหละ

ทุกวันนี้มีคนกว่า 2,000 ล้านคนในเอเชีย แอฟริกา และละตินอเมริกา ที่กินแมลงเป็นอาหารอยู่แล้ว ส่วนบ้านเราไม่ต้องพูดถึง เราคงนำหน้าชาติอื่น ๆ เรื่องการกินแมลงมาไกลโข หากการกินแมลงคือทางออกของมวลมนุษยชาติ เราคงเห็นทางออกนั้นมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายก็ว่าได้


(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 988 ประจำวันที่ 25 - 31 กรกฎาคม 2557)

           

Share:

ความดี มีไว้ จด?



แปลกอย่างยิ่ง ในตรรกะ “สมุดพกความดี” ที่อาจใช้เป็นบันไดไต่ฝันไปสู่มหาวิทยาลัย เพียงเพราะมีสมุดจดความดี ความดีนั้นย่อมดีด้วยการกระทำ เมื่อทำความดี ความอิ่มเอมก็จะเกิดขึ้นภายในจิตใจ ความสุขเกิดทันทีเมื่อคิดดี ทำดี  แม้จะไม่ได้จดเอาไว้ ดังนั้น การจดบันทึกความดีสักพันคำ โดยที่ไม่อาจพิสูจน์ความดีจริงได้อย่างถ่องแท้ จึงไม่เท่ากับทำความดีเพียงครั้งหนึ่ง โดยที่ไม่ต้องประกาศให้โลกรู้

เจเค โรลลิ่ง  เขียนแฮร์รี่ พอตเตอร์ไว้ อาจเป็นต้นกระแสธารของแรงบันดาลใจ สมุดพกความดี

แฮร์รี่ พอตเตอร์ นวนิยายแฟนตาซีชื่อดังก้องโลก เต็มไปด้วยจินตนาการที่แทรกสอดความกล้าหาญในการเอาชนะความชั่วร้ายต่างๆ แฝงแนวความคิดให้เยาวชนไว้ได้อย่างชาญฉลาด จนหลายประเทศทั่วโลกต่างยกให้เป็นหนังสือแนะนำแก่เยาวชน

แต่ไม่คิดว่าความแฟนตาซีที่เราเคยเห็นในนวนิยายก้องโลก อย่าง แฮร์รี่ พอตเตอร์ กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศไทย อย่างที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน เมื่อในโลกโซเชียลมีเดียได้แพร่สะพัดภาพ บุคคลในวงการศึกษาที่มีความละม้ายคล้าย โดโรเรส อัมบริดจ์ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงเวทมนต์ ที่ได้มาทำการสอนในวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืดที่โรงเรียนฮอกวอตส์ แต่ไม่ได้สอนให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติในการป้องกันตัว แต่กลับให้เอาแต่อ่านหนังสืออย่างเดียว

โดโรเรส อัมบริจด์ เป็นตัวละครที่ปรากฎร่างมาใน แฮร์รี่ พอตเตอร์ ภาค 5 ภาคีนกฟีนิกซ์ ซึ่งจัดว่าเป็นตัวละครที่โดดเด่นมาก โดยเฉพาะฉากที่นางได้ลงโทษให้แฮรี่คัดลายมือว่า 'ฉันจะไม่โกหก' โดยใช้ปากกาขนนกพิเศษโดยใช้เลือดแทนหมึก ทำให้คำที่ถูกคัดนั้นจะสลักอยู่ที่ด้านหลังมือของแฮร์รี่ และยังมีอีกหลายสิ่งที่นางได้กระทำการบังคับนักเรียนเมื่อครั้งที่เธอได้นั่งเก้าอี้รักษาการครูใหญ่ โดยได้ออกกฎระเบียบมากมาย โดยใช้ตัวเองเป็นที่ตั้ง และอ้างอำนาจจากกระทรวง 

จะว่าไป แร็ค ลานนา ก็เป็นแฟน แฮร์รี่ พอตเตอร์ ตัวยงคนหนึ่งเลย เพราะอ่านจบทุกเล่ม ทุกตัวหนังสือ ตามต่อด้วยดูหนังทุกภาค และไม่เคยคิดว่า ตัวละครในนิยาย อย่าง โดโลเรส อัมบริดจ์ จะโดดออกมาในโลกความจริง แต่ความคิดต้องเปลี่ยนไปเมื่อได้เห็นข่าว สมุดพกความดีที่กำลังเป็นที่กล่าวถึงกันในวงการการศึกษา โดยคอนเซ็ปต์ของสมุดพกความดี คือการให้เยาวชนได้จดบันทึก ความดีที่ได้ทำในแต่ละวันโดยมีผู้อำนวยการโรงเรียนหรือครูผู้สอบเซ็นรับรอง

แต่ ที่สำคัญที่ฮือฮาในหมู่นักเรียนคือจะมีการนำเรื่องสมุดพกความดีนี้เป็นส่วน หนึ่งในการคัดเลือกนักเรียนเข้าเรียนต่อสู่ระดับอุดมศึกษาด้วย !!! 

พระเจ้าช่วยกล้วยทอด...

แค่แนวคิดน่ะพอได้ แต่เป็นการปฏิบัติที่ทำได้ไม่ง่าย โดยเฉพาะการวัดประเมินผลสำเร็จของกิจกรรมนี้  เพราะมันมีความเป็นไปได้สูงว่าจะมีการสร้างปั้นแต่งเรื่องความดีโดยที่ไม่ได้ทำจริง เพียงเพื่อให้ครูเซ็นชื่อให้ผ่านไป รวมถึงจะเอาอะไรมาใช้เป็นมาตรฐานว่าความดีแบบไหนบ้างที่เข้าข่ายสมุดพกความดี ไปจนถึงรายละเอียดประเภทว่าครูจะสามารถอ่านสมุดพกความดีได้ละเอียดและตรวจสอบได้จริงหรือไม่ สารพัดข้อสังเกต...

ในกรณี Talk of the Town นี้ สุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ผู้ที่มีการแต่งตัวละม้ายคล้าย โดโลเรส อัมบริดจ์แห่ง ฮอกวอตส์ ได้กล่าวว่า จริงๆแล้วเยาวชนทั้งหลายที่เรียนลูกเสือ เนตรนารี ก็มีสมุดที่ให้มีการบันทึกความดีอยู่แล้ว และที่ผ่านมา สพฐ.เคยทำโครงการดังกล่าวมาแล้วโดยได้นำร่องทำ นครปฐมโมเดล ที่ให้นักเรียนทำคุณงามความดีได้สิทธิในการเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยในพื้นที่ เช่น มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นต้น แต่ครั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการจะนำมาดำเนินการอย่างจริงจังและขยายให้ครอบคลุมมากขึ้น เพื่อสอดรับกับนโยบายของ คสช.ที่ต้องการปลูกฝังเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมของคนในชาติ

หากจะนำเรื่อง สมุดพกความดีมาใช้ในการพิจารณาในการเข้าเรียนระดับอุดมศึกษา คงต้องมานั่งคิดถึงขั้นตอนการตรวจให้ดี เพราะลำพังทุกวันนี้ เรื่อง O-NET  ที่เป็นการสอบวัดผลระดับประเทศโดยใช้ข้อสอบเดียวกันที่ผ่านการจัดทำแบบมาตรฐาน ยังวัดผลได้ค่าเฉลี่ยทั่วประเทศ ต่ำกว่า 50% ภาษาบ้านๆแปลว่า สอบตกเพราะเราไม่สามารถจัดให้มาตรฐานการเรียนรู้ให้เท่ากันทั่วประเทศได้ แล้วเราจะเอาเกณฑ์อะไรมาใช้ในการวัด ความดี” 

แทนที่จะเป็นการปลูกฝังให้เยาวชนทำความดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แต่กลับกลายเป็นว่า เรากำลังสร้างให้เยาวชน ทำงานแบบ ผักชีโรยหน้า ทุกวันนี้เด็กนักเรียนก็มีการบ้านเยอะแยะมากมายจนจ้างทำรายงาน แท็คทีมลอกการบ้าน อยู่แล้ว แนวคิดนี้น่าจะนำร่องไปใช้กับนักการเมือง เพื่อปลูกฝังการบันทึกความดีที่ได้ทำกันไว้บ้าง 

ขณะที่ชาวเน็ตส่วนหนึ่งเกิดไอเดียนำภาพของ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ มาแซวเล่นกับ โดโลเรส อัมบริดจ์ (อดีต) รักษาการ ผอ.ฮอกวอตส์ จากกระทรวงเวทมนตร์ และมีการแชร์ไปในโลกออนไลน์ ซึ่งก็เป็นที่น่าตกใจว่า เหมือนกันอย่างกับแกะ

แต่เป็นแกะดำ ที่จับแพะชนแกะ หาสาระอะไรมิได้  


(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 988 ประจำวันที่ 25 - 31 กรกฎาคม 2557)


Share:

เพชฌฆาต หมายเลข 97



เกือบเสียศูนย์เมื่อนายพลตำรวจผิวหมึกรายหนึ่ง ชงเรื่องให้ คสช.ออกประกาศ ฉบับที่ 97/2557 ให้อำนาจปิดหนังสือพิมพ์ และระงับออกอากาศรายการทันที ไม่แตกต่างจากคำสั่งประหารโดยที่ไม่ต้องสอบสวนทวนความเสียก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการอำนาจไปจัดการสื่อออนไลน์บางสื่อ เป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตน โดยที่ตั๊กแตนก็จับไม่ได้ ซ้ำร้ายยังเจ็บตัวอีก นี่จึงเป็นเรื่องราวร้อนๆ ในวงการสื่อ จนถึงขนาดที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.ต้องเชิญสื่อไปจับเข่าคุยทำความเข้าใจ

ผมแปลงกายเป็นแมลงวันบิน ไปกับ จักรกฤษ เพิ่มพูน ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ พร้อมด้วย ประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์ นายกสมาคมนักข่าว นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย วิสุทธิ์ คมวัชรพงษ์ นายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และ ก่อเขต จันทเลิศลักษณ์ ประธานสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ชวนกันไปนั่งคุยกับ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ปลัดกระทรวงกลาโหม และทีมงาน ตามคำเชิญของ คสช.เมื่อบ่ายวันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม ที่ผ่านมา

เรื่องสำคัญ ที่ต้องทำความเข้าใจและขอให้ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช) ยกเลิก ทบทวน แก้ไข คือประกาศฉบับที่ 97 อันมีเนื้อหาเป็นการลิดรอนสื่อ อีกทั้งเป็นการให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐอย่างเบ็ดเสร็จ ในการปิดหนังสือพิมพ์ ระงับการออกอากาศในทันที โดยไม่มีกระบวนการแก้ไข ตักเตือน เช่นเดียวกับประกาศคณะปฏิวัติฉบับก่อนๆ

คุณประดิษฐ์ อธิบายรายละเอียดของเนื้อหา ที่เขาเรียกว่า “บาดใจ” สื่อมวลชน และย้ำให้ คสช.ใช้กฎหมายปกติที่มีอยู่ในการจัดการสื่ออย่างเคร่งครัด ในขณะที่คุณวิสุทธิ์ คุณก่อเขต ได้ช่วยกันให้ภาพที่ชัดขึ้นของ ประกาศฉบับนี้ ที่อาจส่งผลให้กลายเป็นแนวร่วมมุมกลับให้กับฝ่ายตรงข้าม 

มีคนให้ข้อมูลเชิงเปรียบเทียบให้เห็นว่าระหว่างประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 17 ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 42 และประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 97 ประกาศฉบับที่ 97 เป็นประกาศที่สะท้อนความเป็นอำนาจนิยมมากที่สุด คือไม่มีอุทธรณ์ ไม่มีกระบวนการให้แก้ไข ตักเตือนก่อน ถึงแม้ คสช.จะมีเจตนาดีอย่างไร แต่ถ้าอ่านเนื้อความทั้งหมดโดยเฉพาะข้อ 2 (3) แปลว่า จะเป็นใครก็ได้ มีสิทธิที่จะปิดหนังสือพิมพ์ และระงับรายการได้ทันที นี่เป็นปัญหาที่จะต้อน คสช.เข้ามุมอับ

“..ตั้งแต่ที่ คสช.เข้ามา สื่อส่วนใหญ่ก็มีความระมัดระวังในการนำเสนอข่าวอยู่แล้ว บรรยากาศดีขึ้น ถ้าสื่อไหนทำผิดจริยธรรม เราก็มีองค์กรที่กำกับดูแลกันอยู่แล้ว สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ของคุณก่อเขต ผมรับรองว่าเราจะไม่ปกป้องกันแน่ ถ้าทำผิด เรากำลังจะไปได้ดี อย่าให้มาสะดุดกับเรื่องเล็กน้อยนี้เลย”

คำอธิบายตอนหนึ่ง ในขณะที่ปลัดกระทรวงกลาโหม นั่งจดทุกถ้อยคำที่หัวโต๊ะ ฝั่งตรงข้าม นายทหาร 4 – 5 คน นำโดยรองปลัดกระทรวงกลาโหม นั่งฟังอย่างตั้งใจ

หลังจากตัวแทนสื่อได้แสดงความเห็นแล้ว พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ตอบคำว่า ในฐานะที่เคยรับผิดชอบงานในกิจการพลเรือนมาตลอด เขาจึงเข้าใจในทุกเรื่องที่สื่อมวลชนเสนอ และว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.ไม่สบายใจมากในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ปลัดกระทรวงกลาโหมก็มีหน้าที่เพียงรับฟัง และจะเสนอข้อมูลที่ได้รับให้กับ คสช.ในทันที

ค่ำวันเดียวกัน คสช.มีประกาศฉบับที่ 103/57 แก้ไขเพิ่มเติมประกาศฉบับที่ 97/57 ยกเลิกความที่เคยเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง คือข้อกำหนดที่ห้ามการวิพากษ์ วิจารณ์ การปฏิบัติงานของ คสช.เจ้าหน้าที่ คสช.และบุคคลที่เกี่ยวข้อง เป็น “การวิพากษ์วิจารณ์ การปฏิบัติงานของ คสช.โดยมีเจตนาไม่สุจริตเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของ คสช.ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ” ความที่กำหนดขึ้นใหม่ อธิบายชัดขึ้นว่า ต้องมีเจตนาไม่สุจริต ประกอบกับข้อมูลอันเป็นเท็จ แปลว่า ยังต้องมีภาระการพิสูจน์ มากกว่าการกล่าวอ้างเพียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างลอยๆ

ที่สำคัญ คือ การยกเลิกความในข้อ 5 ที่เดิมกำหนดให้ คสช.สั่งปิดหนังสือพิมพ์ ระงับการออกอากาศรายการได้ทันที มาเป็น พนักงานเจ้าหน้าที่อาจส่งเรื่องให้องค์กรวิชาชีพที่ผู้นั้นเป็นสมาชิกดำเนินการสอบสวนทางจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพ ซึ่งหมายถึงภาระกลับมาอยู่ที่สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ และสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย มองอีกมุมหนึ่งคือ เข้าไปกระทรวงกลาโหมด้วยตัวเบาหวิว ขากลับพวกเขาแบกหินออกมาด้วย

อย่างไรก็ตาม ก็มีข้อสังเกตว่า ประกาศแก้ไขเพิ่มเติมฉบับนี้ มีบางอย่างซุกซ่อนอยู่ เช่น ความผิดตามกฎหมาย คสช.ก็อาจส่งให้ องค์กรสื่อรับผิดชอบด้วย ซึ่งก็ต้องอธิบาย ทำความเข้าใจกันต่อไป

แต่อย่างน้อย วันนี้พวกเขาได้พิสูจน์แล้วว่า ความกลัวทำให้เสื่อมจริงๆ
เพราะเมื่อเราไม่กลัว ความเท็จก็หายไป


(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 988 ประจำวันที่ 25 - 31 กรกฎาคม 2557)



Share:

สังคมดาวแปดแฉก

 
ประจำฉบับที่ 988 วันที่ 25-31 กรกฎาคม 2557 *** ลูกโม่ .38 รายงานผู้อ่านตามปกติ *** ทันทีที่รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวคลอดออกมา หลายฝ่ายเชียร์และกล่าวถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หน.คสช.ว่าเหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรีต่อนี้ต่อไปก็ขึ้นอยู่กับ หน.คสช. ว่าจะเอาตำแหน่งนี้หรือไม่ *** ตัวอย่างชาติเกือบล่มสลาย คนไทยด้วยกันต้องมาฆ่ากันเอง สมัยที่ พล.อ.สุจินดา คราประยูร เสียสัตย์เพื่อชาติ รับเป็นนายก แต่ประชาชนลุกฮือ ขับไล่ไม่เอานายกแต่งตั้ง ในที่สุดอดีตนายทหารคนนี้เป็นนายกรัฐมนตรี เพียง 17 วัน *** ที่ผ่านมาระบอบประชาธิปไตยในเมืองไทยไม่ใช่เรื่องเลวร้าย รัฐบาลแต่ละยุคสมัยสร้างประเทศไทยให้รุดหน้าเท่าเทียมนานาประเทศจากการผลักดับงบประมาณแผ่นดินมาพัฒนาประเทศมากมายหลายโครงการจนสำเร็จ แต่ก็มีหลายโครงการก็กินกันจนทุเรศเกินงามเหมือนกัน*** การโกงกินคอร์รัปชั่นไม่มีรัฐบาลหน้าไหนหรือคณะปฏิวัติไหนจะกำจัดได้ เพราะการโกงกินมีมาตั้งแต่โบราณคือการบนบานเจ้าที่เจ้าทาง ต้องมีไก่มีเหล้าเป็นสินบน *** วันก่อน นายธานินทร์ สุภาแสน ผวจ.ลำปาง ควงแขน พล.ต.อุกฤษณ์  อากาศ วิภาต ผบ.มทบ.32 ค่ายสุรศักดิ์มนตรี เปิดยุทธการยึดคืนผืนป่าให้แผ่นดิน เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ป่าไม้และฝ่ายปกครองกว่า 500 นาย เข้าตัดล้มทำลายสวนยางพาราในพื้นที่ อ.เมือง และ อ.งาว กว่า 6,000 ไร่ *** ยุทธการในครั้งนี้ใช้กฎหมายฉบับพิเศษของ คสช. มาปฏิบัติและใช้กฎเหล็กเด็ดขาด ห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกหน่วยงานอยู่เบื้องหลังการตัดไม้หรือแผ้วถางที่ป่า ในเขตป่าสงวนเป็นของตัวเอง *** หากพบมีการฝ่าฝืนจะดำเนินการเฉียบขาดกับเจ้าหน้าที่ของรัฐทันที อย่างกรณีการบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ ชาวบ้านตาสีตาสาไม่กล้าทำอย่างเด็ดขาด *** อย่างป่าแถวด้านหลังค่ายประตูผาซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ แต่มีชื่อของ พล.อ.นอกราชการคนหนึ่งเป็นผู้ครอบครอง *** แล้วอย่างนี้ ผวจ.ลำปาง กับ ผบ.ค่ายสุรศักดิ์มนตรี จะกล้าเข้าไปตรวจสอบหรือไม่?? การทำหน้าที่ต้องเสมอภาคเท่าเทียมกัน ผิดก็ต้องว่าไปตามผิด หากไม่กล้าแตะกับ พล.อ.รายนี้ ก็อย่าหวังว่าชาวบ้านจะศรัทธา แต่จะมองว่าเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบถนัดแต่สร้างภาพ *** ระยะนี้เห็น พ.ต.อ.นิยม ด้วงสี รอง ผบก.ภ.จ.ลำปาง ออกงานแทน พล.ต.ต.พรชัย พักตร์ผ่องศรี ผบก.ภ.จ.ลำปาง อยู่เสมอ เป็นเพราะผู้การลำปางจะผ่อนคลายเพื่อรอวันเกษียณอายุราชการในอีกไม่กี่ วันนี้ *** หลายวันมานี้ตอนรุ่งแจ้งไก่โห่ยังมีวัยรุ่นออกมาก่อเหตุทะเลาะวิวาทอยู่หน้า สถานบันเทิงย่านตลาดอัศวินอยู่เสมอ นี่แสดงให้รู้ว่ามีสถานบันเทิงลักไก่เปิดร้านขายเหล้าจนรุ่งสาง อย่างนี้ทาง พ.ต.อ.ฐนกร คุ้มวงค์ ผกก.สภ.เมืองลำปาง ช่วยตอบทีว่าหมายความว่าอย่างไร *** อย่างฉลากเบอร์มีรางวัลทั้งเหล้าและเบียร์ มอมเมาเยาวชนยันคนแก่ มีอยู่ตามร้านค้าทั่วไป ผิดเต็มๆกับ พ.ร.บ.การพนัน แต่ก็ไม่เห็นมีใครทั้งสีขี้ม้าและสีกากีไปจับแม้แต่หน้าสถานศึกษาหน้า โรงเรียนอนุบาลลำปางยังมี ไหนก็ถนัดเรื่องสร้างผลงาน ลองไปว.20 หน่อย คงจะเป็นประโยชน์แก่สังคมขึ้นอีกเยอะ *** ระยะนี้เห็น พ.ต.อ.บุญเทียม ฮาวบุญปั้น ผกก.สภ.เสริมงาม ไม่ค่อยจะกลับเข้ามาบ้านที่อ.ห้างฉัตรสักเท่าไหร่ แต่ลุ้นขอให้ได้งบประมาณจาก คสช.มาสร้างให้เสร็จ สงสารลูกน้องที่ต้องทำงานในห้องแคบๆ อีกทั้งชาวบ้านที่มาติดต่อก็ลำบาก *** พูดถึงการโกงกินและคอร์รัปชั่นโครงการก่อสร้างโรงพัก ไม่มีใครออกมาเปิดโปง คนต้นคิดยังหน้าแหงนขึ้นฟ้าเหมือนเดิม ทีโครงการรับจำนำข้าวขุดคุ้ยทุกวัน อย่างนี้สองมาตรฐานหรือเปล่า *** พ.ต.ท.กัมปนนท์ แก้วโมรา สว.สภ.ร่องเคาะ อ.วังเหนือ คนใหม่หลังอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ชาวบ้านประทับใจ เก่งทั้งด้านมวลชนและด้านปราบปราม ชาวบ้านฝากชมมา *** ส่วน พ.ต.ท.มงคล วงษ์ภูธร พงส.สภ.บ้านเสด็จ เจอลูกโม่.38 เห็นแต่อวดน้องชายที่เป็นนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง ระยะนี้อยู่ สภ.รอบนอก งานสอบสวนไม่ค่อยมี เลยพอจะมีเวลาอยู่กับหมอสาวคู่ใจ *** ชุมชนศรีชุมป่าไผ่ ทางไปมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง เจริญถึงจุดสุดขีด บ้านช่องสะอาด ลูกโม่.38 เคยเห็นนักข่าวคนหนึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าของนสพ.ฉบับหนึ่ง เคยเขียนสบประมาทว่าศรีชุมไม่น่าเป็นชุมชนคนจนจริงๆ แต่ปัจจุบันคนที่เคยว่าให้เขาก็มีความเป็นอยู่ลำบากเช่นกัน อยู่กับคำป้อยอไปวันๆ *** นายจักรพงศ์ อุทธาสิน ผู้ช่วยผู้ว่าการเหมืองแม่เมาะ แจ้งมาที่ลูกโม่.38 ว่า23 ปี แม่เมาะฮาล์ฟมาราธอน งานเดิน-วิ่งของคนลำปางปีนี้ได้รับการสนับสนุนจาก นายไพโรจน์ โล่ห์สุนทร อดีต รมช.มหาดไทย และนายกสมาคมกีฬาจังหวัดลำปาง โดยนำดาราในสังกัดของเครือข่ายของ นสพ.ไทยรัฐ คือ ยูมิโกะ สุชิยะ (มิ้ง) หรือที่รู้จักในพิธีกรดาวกระจาย และสุดหล่อ ธนเวศย์ สิริวัฒน์ธนกูล (แก๊ป) จากละครคุณชายรักเร่มาร่วมงานด้วย *** พูดถึงดารา นายไพโรจน์ โล่สุนทร กล่าวว่าเจอหน้า อรพรรณ วัชรพล หรือ พานทองเดิม สะใภ้ในตระกูลวัชรพล แห่งค่ายโพลี่พลัสครั้งใด บอกว่าอาต้องการดาราคนไหนมาร่วมงานที่แม่เมาะบอกมาเลย พร้อมจะจัดให้เพราะเป็นเลือดสีเขียวไทยรัฐเหมือนกัน อย่าลืม 3 สิงหาคมนี้ เจอกันรุ่งแจ้งที่แม่เมาะ*** หมดเนื้อที่ลูกโม่.38 แล้ว ฉบับหน้าพบกันใหม่ *** ท้ายฉบับ อำนาจอยู่ในมือใคร ต้องกินต้องอิ่มทั้งตัวเองและลูกน้อง ก่อนจะคายหรือสำลักเอง


(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 988 ประจำวันที่ 25 - 31 กรกฎาคม 2557)


Share:

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์