วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557

จอกหูหนูรุก กระทบกิ่วลม ท่องเที่ยว - แพชะงัก


จอกหูหนูแพร่พันธุ์เหนือเขื่อนกิ่วลม แพท่องเที่ยวกระทบหนัก ชุมชนชาวแพระดมกำลังกับเจ้าหน้าที่ชลประทานตักจอกหูหนูขึ้นทิ้งบนบก แก้ปัญหาเฉพาะหน้าชั่วคราว ด้านสิ่งแวดล้อมเตือน หากไม่กำจัดโดยเร็ว แพร่ระบาดในเขื่อนยางแล้งนี้ แน่นอน

ผู้สื่อข่าวรายงานที่สันเขื่อนกิ่วลม จังหวัดลำปางขณะนี้ เกิดมีจอกแพร่ระบาดบนผิวน้ำจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อท่าเรือหางยาว และแพท่องเที่ยวจากบริเวณสันเขื่อนไม่สามารถเดินเรือได้ตามปกติ ล่าสุด ผู้ประกอบการชุมชนชาวแพ และเจ้าหน้าที่โครงการ ส่งน้ำและบำรุงรักษากิ่วลม- กิ่วคอหมา ร่วมกันกำจัดจอกหูหนูที่เพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วมาตั้งแต่วันที่ 29 ม.ค. เป็นต้นมา

นายปั๋น มีครัว ผู้ประกอบการเรือและแพท่องเที่ยว และคณะกรรมการชุมชนชาวแพ กิ่วลม เผยว่า ในช่วงเดือนธันวาคม ที่ผ่านมาเริ่มมีจอกลอยมาสะสมบริเวณสันเขื่อน และเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็ว กระทั่งขณะนี้ชาวแพและชาวบ้านที่ใช้เรือบริการนักท่องเที่ยวและเดินทางจากเขื่อนไปขึ้นท่าที่สันเขื่อนได้ รับความเดือดร้อนไม่สามารถเดินเรือและแพเข้าออกท่าได้สะดวกเพราะรากของจอกติดใต้ท้องแพ และใบพัดต้องใช้เวลานานกว่าครึ่งชั่วโมจึงเข้าออกท่าแพได้ชุมชนชาวแพจึงได้หารือร่วมกับทางชลประทานหน่วยงานที่ดูแลเขื่อนกิ่วลมเพื่อหาทางออก จึงได้ร่วมกันลงแรงมาช่วยกันโกยจอกขึ้นมาจากผิวหน้าน้ำและขนออกจากสันเขื่อน เพื่อลดปริมาณความหนาแน่นให้เรือเดินสะดวกขึ้น เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ระหว่างรอหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยแก้ไข

"ที่เขื่อนกิ่วลมมีแพท่องเที่ยวทั้งหมด 35 ลำ และเรือหางยาวประมาณ 15 ลำ ทั้งหมด ต้องเข้าออกท่าที่สันเขื่อน แต่เมื่อมีจอกหูหนูสะสมมากทำให้เข้าออกท่าลำบาก นักท่องเที่ยวที่มาขึ้นแพ ต้องรอนานกว่าปกติ ผมเชื่อว่าขณะนี้จอกหูหนูมีมากกว่า 100 ตัน ซึ่งหนาแน่นเกินแรงคนจะทำได้ ดังนั้น จึงต้องอาศัยหน่วยงานรัฐใช้เครื่องจักรมาช่วยกำจัด และอยากให้ทุกฝ่ายลงมาช่วยเหลือกำจัดโดยเร็วเนื่องจากช่วงนี้เป็นฤดูการท่องเที่ยว"

นายฤทัย พัชรานุรักษ์  ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษากิ่วลม-กิ่วคอหมา เปิดเผยว่า ขณะนี้ ได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่และชุมชนชาวแพมาช่วยกันตักจอกหูหนูขึ้นไปทิ้งบนบก เพื่อบรรเทาปัญหาเบื้องต้น ความหนาแน่นของจอกหูหนูที่เป็นอุปสรรคต่อการเดินแพและเรือต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน ขณะเดียวกันได้ เสนอของบประมาณเร่งด่วนไปยังกรมชลประทานเพื่อ จัดหาเรือกำจัดวัชพืชมาช่วยกำจัด เนื่องจาก จอกหูหนูมีจำนวนมาก ทั้งสันเขื่อนและรอบของอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อน ประมาณ 900 ไร่  คิดเป็น 5% ของพื้นที่เขื่อนทั้งหมด 19,000 ไร่

"จอกเหล่านี้คาดว่าจะไหลมาตามน้ำที่มาจากต้นน้ำ ที่ไหลผ่านชุมชน เขตอำเภอแจ้ห่ม แล้วไหลลงมาอยู่ในเขื่อนและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ขณะนี้ ทางเขื่อนได้ปล่อยทุ่นเพื่อกั้นจอกไว้ที่สันเขื่อนเพื่อง่ายต่อการกำจัด และยังไม่ปล่อยออกจากเขื่อนป้องกันการแพร่กระจายในแม่น้ำวัง ด้านล่างเขื่อน" 

ด้านนายสุวิทย์ ขัตติยวงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 2 ลำปาง เผยว่า ภาวะที่เกิดจอกหูหนูแพร่กระจายหนักอย่างนี้ ทางวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ต้องวิเคราะห์ว่าการแพร่กระจายของจอกแหนนั้น มีปัจจัยจากอาหารของจอกซึ่งหมายถึงสารเคมี และภาวะน้ำเสียที่ปนมากับน้ำ ทำให้แพร่กระจายได้เร็ว ซึ่งต้องดูภาพรวมทั้งหมด ว่าเหนือเขื่อนและต้นน้ำ มีการใช้สารเคมีทางการเกษตร และอุตสาหกรรมรวมถึงน้ำเสียจากชุมชน สะสม เมื่อเกิดจอกในแหล่งน้ำเขตชุมชนไหลมาลงที่เขื่อนก็ ต้องเกิดการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วอย่างแน่นอน

"ผมมองว่าเรื่องนี้เป็นปรากฏการคล้ายกับที่เกิดขึ้นในกว๊านพะเยา และที่จังหวัด สุพรรณบุรี นครปฐม ที่มีจอกระบาด แล้วเกิดปัญหาที่ปลายน้ำ และเชื่อว่าหากจอกไหลลงไปตามแม่น้ำวัง เพียงเล็กน้อยในฤดูแล้งนี้ จะเกิดภาวะแพร่กระจายในแม่น้ำวังเหนือเขื่อนยางอย่างแน่นอน เพราะบริเวณตัวเมืองมีน้ำเสียซึ่งเป็นอาหารของจอกจำนวนมาก ดังนั้นทุกฝ่ายต้องเร่งจับมือกันแก้ปัญหา จากต้นน้ำ และกำจัดที่เขื่อน และกำจัดจอกหูหนูตลอดเส้นทางแม่น้ำ ก่อนที่จะแพร่กระจายอย่างหนักในฤดูแล้งนี้ " นายสุวิทย์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวได้สอบถามข้อมูลด้านวิชาการไปยัง ดร.สุรพล ใจวงศ์ษา อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ลำปาง กล่าวว่า ปัญหาการเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วของจอกน่าจะเกิดจากสภาพน้ำนั้นเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของวัชพืชน้ำ  เช่น มีแสงแดดดี มีธาตุอาหารที่วัชพืชน้ำต้องการ คือ ธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และ โปแตสเซียม และในกรณีที่มีวัชพืชน้ำขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก เป็นตัวชี้วัดให้เห็นว่าในแหล่งน้ำนั้นมีธาตุอาหารต่างๆอย่างอุดมสมบูรณ์ จึงก่อให้เกิดภาวะยูโทรฟิเคชั่น (Eutrophication)  ซึ่งการเจริญเติบโตของวัชพืชเหล่านี้นับว่าเป็นอันตรายต่อระบบนิเวศน์เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากจะบดบังแสงแดดทำให้พืชน้ำอื่นๆตาย   และทำให้ออกซิเจนละลายในน้ำได้น้อยลง ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ  และที่สำคัญวัชพืชเหล่านี้เป็นอุปสรรคปัญหาต่อการอุปโภคและบริโภคจากแหล่งน้ำนั้นๆ



เมื่อสอบถามเพิ่มเติมว่า การที่วัชพืชน้ำเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วขนาดนี้ เรียกว่าผิดปกติ หรือไม่อย่างไร เป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติไหม? ดร.สุรพล กล่าวว่า การเจริญเติบโตของวัชพืชน้ำนั้นต้องการธาตุอาหาร ซึ่งปกติแล้วในแหล่งน้ำธรรมชาติจะมีธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และ โปแตสเซียม ในปริมาณที่ไม่สูงมากนัก แต่ในแหล่งน้ำที่รองรับน้ำทิ้งจากชุมชนหรืออุตสาหกรรมมักจะมี ไนโตรเจน และ ฟอสฟอรัสสูง ซึ่งส่งเสริมการเจริญเติบโตของวัชพืชได้เป็นอย่างดี ดังนั้นการเจริญเติบโตเพิ่มจำนวนของวัชพืชน้ำอย่างรวดเร็ว จากที่ไม่เคยมีปรากฏการณ์นี้มาก่อนนั้น บ่งชี้ให้เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงของสมบัติของน้ำที่น่าเป็นห่วง





(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 963  31 มกราคม - 6 กุมภาพันธ์ 2557) 
Share:

เปิดตัว 3 ป.ป.จ.ลำปาง อรรณพ-บุญทวี-สถิต



เผย 3 ป.ป.จ.ลำปาง “อรรณพ วงศ์วิชัย” อดีต กกต.ลำปาง นั่งประธาน

ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต หรือ ป.ป.ช.ลงนามประกาศรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกเป็น ป.ป.จ.ลำปาง 3 คนแล้ว หลังจากล่าช้าไปกว่า 4 เดือน ซึ่งเดิมกำหนดว่าการสรรหาจะเสร็จสิ้นปลายเดือน ก.ย.56  ในส่วนของจังหวัดลำปาง อดีต กกต.ลำปาง ทนายความ อดีตข้าราชการ เข้าวิน มีผลวันที่ 3 ก.พ.57 โดยมี ผศ.อรรณพ วงศ์วิชัย นั่งตำแหน่งประธาน

หลังจากที่สำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดลำปาง ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาคณะกรรมการ ป.ป.จ.ลำปางจากทั้ง 8 องค์กร เพื่อคัดเลือกผู้สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็นคณะกรรมการ ป.ป.จ.ลำปาง จำนวน 6 คน   โดยสำนักงาน ป.ป.ช.ลำปางได้ประกาศรายชื่อแล้วเมื่อวันที่ 19 ก.ค.56 ที่ผ่านมา ซึ่งผู้ที่ได้รับคัดเลือกทั้ง 6 คน คือ นายชาลีวัฒน์ ทองอยู่   นายณัฏฐพล แสงสีจันทร์  นายบุญทวี ฉิมพลีย์   พ.ต.อ.เร่า รุ่งเรือง  นายสถิต นิตถ์สมบูรณ์  และ ผศ.อรรณพ วงศ์วิชัย  และได้ส่งให้ทาง ป.ป.ช.กลาง พิจารณาเพื่อคัดเลือกให้เหลือเพียง 3 คนตามขั้นตอน ล่าสุดทางประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ลงนามประกาศรายชื่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นายวิวัฒน์ เจริญฉ่ำ  ผอ.ป.ป.ช.ลำปาง  เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ลงนามในหนังสือประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับคัดเลือกเป็น ป.ป.จ.ลำปางแล้ว จำนวน 3 คน ซึ่งผลปรากฏว่า  ผศ.อรรณพ วงศ์วิชัย เป็นประธาน ป.ป.จ.  นายบุญทวี ฉิมพลี  และนายสถิต นิตถ์สมบูรณ์ เป็นคณะกรรมการ ป.ป.จ. ซึ่งประกาศดังกล่าวจะมีผลในวันที่ 3 ก.พ.57  ซึ่งทั้ง 3 คน จะต้องลาออกจากตำแหน่งงานปัจจุบัน และมารายงานตัวกรอกประวัติที่สำนักงาน ป.ป.ช.ลำปาง ภายในวันที่ 5 ก.พ. 57 จากนั้นก็เข้าทำหน้าที่ได้ทันที

ทั้งนี้ กรรมการ ป.ป.จ.มีอำนาจหน้าที่ คือ ส่งเสริมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พิจารณาเสนอมาตรการ ความเห็น หรือข้อเสนอแนะต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐและรวบรวมพยานหลักฐานเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช. และปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มอบหมาย เว้นแต่การไต่สวนข้อ เท็จจริง

ซึ่งอัตราค่าตอบแทนคณะกรรมการ ป.ป.จ. ประธานกรรมการ ป.ป.จ. เดือนละ 57,650 บาท กรรมการ ป.ป.จ.เดือนละ 47,240 บาท ทั้งนี้รวมถึงบำเหน็จตอบแทน การประกันสุขภาพ และประโยชน์ตอบแทนอื่นตามที่กรรมการ ป.ป.ช.กำหนด
           


(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 963  31 มกราคม - 6 กุมภาพันธ์ 2557) 

Share:

เลือกตั้งล่วงหน้าเหงา ใช้สิทธิแค่ 27%


เลือกตั้งล่วงหน้าลำปาง ไร้ปัญหา นอกเขตมาใช้สิทธิเพียง 560 คน จาก 4,000 คน ขณะที่ในเขตคนลำปางสนใจมาใช้สิทธิมาถึง 84.69 เปอร์เซ็นต์

ตามที่รัฐบาลได้กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในวันอาทิตย์ที่ 2 ก.พ. 2557 ทั้งแบบบัญชีรายชื่อ และแบบแบ่งเขตเลือกตั้งนั้น และประกาศให้ประชาชนที่ติดภารกิจไม่สามารถที่จะมาเลือกตั้งในวันดังกล่าวได้ ให้ไปลงทะเบียนขอใช้สิทธิล่วงหน้าได้ตามที่ตัวเองมีภูมิลำเนาอาศัยอยู่ ในวันที่ 26 ม.ค.2557 ก่อนวันเลือกตั้งจริง โดยในส่วนของจังหวัดลำปาง

เมื่อเวลา 08.00น. วันที่ 26 ม.ค.2557 นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง พร้อมด้วยนาง   อินทิรา  ภรรยา  เดินทางไปยังอาคารกองพัฒนากิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ที่ใช้เป็นสถานที่เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 3 ขอลงคะแนนเสียงตามที่ได้ขอลงทะเบียนเอาไว้ล่วงหน้าก่อนนี้ ซึ่งหลังจากที่เดินทางไปถึงผู้ว่าราชการจังหวัดลำปางพร้อมภรรยาจึงเข้าไปตรวจสอบรายชื่อจากเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้ง และรับบัตรเดินเข้าคูหา และเดินมาหย่อนบัตรเลือกตั้งลงกล่องรับบัตรที่ด้านนอก จากนั้นจึงเดินตรวจตราดูความเรียบร้อยโดยรอบบริเวณ โดยมีนายสุคนธ์ เรือนสอน ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดฯพร้อมคณะรอให้การต้อนรับและคอยตอบข้อซักถาม  

จากนั้นจึงกล่าวว่ากับผู้สื่อข่าวว่า  จังหวัดลำปางของเรามีการเตรียมความพร้อมในทุกๆด้านในการ ไม่ว่าจะเป็นในด้านของเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งและเจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัย โดยได้ประสานกับ ผบก.ตำรวจภูธร จังหวัดลำปางให้เตรียมเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้คอยป้องกันเหตุการณ์ต่างๆเอาไว้อย่างพร้อมเพียง ในทุกหน่วยเลือกตั้งล่วงหน้าทั้ง 4 เขต ซึ่งเป็นที่น่ายินดีว่า จังหวัดลำปางของเราไม่มีเหตุการณ์ที่ส่อไปในทางรุนแรง และต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทั้งหมดที่เสียสละเวลามาทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มความสามารถ และก็เป็นที่น่ายินดีเป็นอย่างมากที่มีประชาชนจำนวนมากมาขอลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้ากันเป็นจำนวนมาก จึงได้สั่งกำชับให้เจ้าหน้าที่ทุกนายและทุกคนช่วยกันคอยอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนอย่างเต็มที่ เพราะทราบว่าแต่ละคนที่เดินทางมาใช้สิทธิ์กันในวันนี้ต้องเดินทางมาไกล และต้องรีบเดินทางกลับไปทำหน้าที่ของแต่ละคนต่อไป และก็เป็นที่น่าเสียดายแทนผู้มาใช้สิทธิ์บางรายที่มาแล้วไม่สามารถที่เข้าไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งได้ เนื่องจากเจ้าตัวไม่ได้แจ้งขอลงทะเบียนใช้สิทธิ์ล่วงหน้าเอาไว้ก่อน เมื่อมาวันนี้จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปการบัตรเลือกตั้งได้และต้องเดินทางกลับต่างจังหวัดไปในทันที  

สำหรับจำนวนผู้ที่มาขอลงทะเบียนใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้าทั้ง 4 เขต  คือ เขต 1 ที่หอประชุมโรงเรียนเขลางค์นคร ต.บ่อแฮ้ว อ.เมืองฯ  เขต 2 ที่หอประชุมโรงเรียนอนุบาลวังเหนือ อ.วังเหนือ  เขต 3 ที่ อาคารกองพัฒนากิจการนักศึกษา ม.ราชภัฎลำปาง และเขต 4 ที่ หอประชุมวิทยาลัยการอาชีพเกาะคา อ.เกาะคา จ.ลำปาง มีจำนวนทั้งสิ้น 4,082 ราย  ส่วนแบบการเลือกตั้งในเขต ก็ยังผู้มาลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าไว้ เช่นกันแต่มีไม่มากนักคือ เขต 1 มีผู้มาขอใช้สิทธิ์จำนวน 404 ราย  ,เขต 2 มี 172 ราย  ,เขต 3 มี 212 ราย และเขต 4 มี 181 ราย

สำหรับสรุปผลการเลือกตั้งล่วงหน้า 26 ม.ค.57 นอกเขต  หน่วยเลือกตั้งกลาง มีผู้มาลงทะเบียน 4,082 คน มาใช้สิทธิ์ 560 คน คิดเป็น 13.72%   ในเขต  เขต1 ผู้ลงทะเบียนขอใช้สิทธิในเขต 404 คน มาใช้สิทธิ 361 คน คิดเป็น ร้อยละ 89.36   เขต 2  ผู้ลงทะเบียนขอใช้สิทธิในเขต 172 คน มาใช้สิทธิ  131คน คิดเป็น ร้อยละ 76.16  เขต 3  ผู้ลงทะเบียนขอใช้สิทธิในเขต 213คน มาใช้สิทธิ 158 คน คิดเป็น ร้อยละ 74.18  และเขต 4 ผู้ลงทะเบียนขอใช้สิทธิในเขต 181 คน มาใช้สิทธิ 161 คน คิดเป็น ร้อยละ 88.95   รวมในเขต ผู้มาลงทะเบียน 969 คน มาใช้สิทธิ์ 811 คน คิดเป็นร้อยละ 84.69

ทั้งนี้ หากรวมจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์ทั้งหมดทั้งนอกเขตและในเขต มีผู้มาลงทะเบียนทั้งหมด 5,051 คน มาใช้สิทธิ 1,370 บาท  คิดเป็นร้อยละ 27.12 เท่านั้น



(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 963  31 มกราคม - 6 กุมภาพันธ์ 2557) 
Share:

ไฟป่าลำปางเกิดถี่ หมอกควันพุ่งสองวันซ้อน


สถานการณ์ไฟป่าที่จังหวัดลำปางปีนี้น่าห่วง ลำปางค่าฝุ่นละออกขนาดเล็กเกินมาตรฐานแล้ว 2 วัน แม้จังหวัดจะประกาศเขตควบคุมไฟป่าทั้งจังหวัด กำหนดช่วงห้ามเผา 100 วันอันตราย ระหว่างวันที่ 27 ม.ค.- 6 พ.ค.57  แต่ลักลอบเผาพื้นที่ป่าเริ่มถี่ขึ้น

เมื่อวันที่ 28 ม.ค.57 นายเสกสรรค์ แดงใส ประธานชมรม We Love The King We Love Thailand นครลำปาง เปิดเผยว่า ชุดปฏิบัติการพิเศษดับไฟป่าเฮาฮักม่อนพระยาแช่ จังหวัดลำปาง ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของภาคประชาชนที่มีจิตอาสา ได้รับแจ้งทั้งทางโทรศัพท์และผ่านทาง Facebook FanPage “หยุดไฟป่าลำปางบ่อยครั้งขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่วนอุทยานม่อนพระยาแช่ ด้านหลังศาลากลางจังหวัดลำปาง และไฟไหม้ป่าริมถนน เมื่อได้รับแจ้งก็จะส่งทีมงานออกไปดับไฟทันที โดยขอความร่วมมือกับส่วนราชการในพื้นที่  ล่าสุดจากการเข้าไปดับไฟที่ไหม้บริเวณดอยพระบาท ใกล้กับพื้นที่ป่าม่อนพระยาแช่ พบต้นไม้ขนาดเท่าต้นขาถูกตัดเป็นท่อนรอขนออกจากป่า เชื่อว่าจะน่าจะเป็นชาวบ้านที่เข้าไปหาของป่า ลักลอบตัดเพื่อนำไปทำฟืนและนำไปเพาะเห็ด และคนกลุ่มนี้รู้เห็นการจุดไฟเผาป่าม่อนพระยาแช่  แม้ขณะนี้จังหวัดลำปางจะมีประกาศจังหวัด กำหนดเขตควบคุมไฟป่า และกำหนดพื้นที่เสี่ยงการเกิดไฟป่าและประกาศช่วงห้ามเผา 100 วัน อันตราย ระหว่างวันที่ 27 ม.ค.- 6 พ.ค.57 พร้อมทั้งได้ประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจและกำนันผู้ใหญ่บ้านแจ้งขอความร่วมมือกับชาวบ้านห้ามเผาในช่วงนี้ แต่ชาวบ้านยังมีชาวบ้านกลุ่มเดิมที่ยังฝ่าฝืน การจัดการไฟป่าเมื่อได้รับแจ้งเหตุบุคลากรของส่วนราชการไม่คล่องตัวที่จะออกไปดับไฟได้ทันท่วงทีทำให้ไฟไหม้ป่าเป็นพื้นที่กว้างยากแก่การควบคุม

ภาคประชาชนจังหวัดลำปาง ภายใต้ชมรม We Love The King We Love Thailand นครลำปางจึงรวมกลุ่มชาวบ้านผู้มีจิตอาสาต้องการป้องกันและแก้ปัญหาหมอกควันไฟป่าของจังหวัดลำปางทำงานคู่ขนานกับหน่วยจังหวัด ทั้งนี้ ทีมงานดับไฟป่าภาคประชาชน ไม่มีค่าเบี้ยเลี้ยง หรือค่าตอบแทนจากหน่วยงานใด ทุกคนมาด้วยความสมัครใจ ค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งที่นำมาเป็นเป็นค่าอาหาร และน้ำมันเชื้อเพลิง พาหนะเดินทาง กำลังจะทำบุญทอดผ้าป่าเพื่อหาเงินสนับสนุนกิจกรรมป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่าของเครือข่ายภาคประชาชนในพื้นที่จังหวัดลำปาง ในวันที่ 31 ม.ค.นี้ ที่วัดม่อนพระยาแช่ โดยมีกรมป่าไม้เป็นเจ้าภาพร่วม

นายเสกสรรค์ คาดการณ์ว่า สถานการณ์ไฟป่าในพื้นที่จังหวัดลำปางปีนี้จะรุนแรงมากกว่าทุกปี เนื่องจากสภาพอากาศแห้งแล้ง ฝนน้อย และอากาศหนาวเย็นมากกว่าทุกปี เมื่อเกิดไฟไหม้ป่าปัญหาหมอกควันจึงรุนแรง การป้องกันและแก้ปัญหาที่ต้นเหตุหากประชาชนในพื้นที่ให้ความร่วมมือ ไม่ให้มีการเผาโดยเด็ดขาด หากพบเห็นไฟป่าเกิดขึ้น ต้องมีทีมงานในพื้นที่รีบเข้าไปดับได้ทันที หากทำได้ปัญหาหมอกควันในจังหวัดลำปางปีนี้ลดน้อยลงแน่นอน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ จังหวัดลำปางได้ออกประกาศ กำหนดเขตพื้นที่จังหวัดลำปาง เป็นเขตควบคุมไฟป่าและกำหนดมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวด โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นายอำเภอ และหน่วยงานที่รับผิดชอบประสานผู้นำชุมชนและภาคีเครือข่าย จัดเวรยามดูแลและเฝ้ารังวังพื้นที่ หากพบผู้ใดจุดไฟเผาป่า หรือ ปล่อยให้ไฟลุกลามเข้าไปในเขตป่าอนุรักษ์ และป่าสงวนแห่งชาติ ถือว่ามีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 15 ปี ปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 150,000 บาท และมีความเป็นตามกฎหมายอาญา มาตรา 220  ผู้ใดกระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใดๆ แม้จะเป็นของตนเองจนกว่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์สินของผู้อื่นต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 14,000 บาทโดยเฉพาะกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สารวัตรกำนัน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สมาชิกสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ถือเป็นหน้าที่ต้องช่วยกันสอดส่องดูแลให้ประชาชนในท้องที่ปฏิบัติตามประกาศอย่างเคร่งครัด

จากการสรุปบทเรียนในปีที่ผ่านมา ไฟป่าและหมอกควันมากกว่าร้อยละ 90 เกิดจากฝีมือของคน แม้จังหวัดจะมีแผนงานจัดการไฟป่าครอบคลุมทุกด้าน แต่ในทางปฏิบัติยังไม่สามารถทำได้เต็มประสิทธิภาพ เพราะมีข้อจำกัดทั้งการให้ความร่วมมือของบุคลากร งบประมาณดำเนินงาน การเอาจริงเอาจังของหน่วยงานรับผิดชอบและหน่วยงานในพื้นที่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญทำให้ปัญหาหมอกควันและไฟป่าจังหวัดลำปางรุนแรงทุกปี


นอกจากนี้ยังพบว่าในปีนี้ คุณภาพอากาศหรือฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน ได้เริ่มเพิ่มสูงขึ้นแล้วตั้งแต่วันที่ 27 ม.ค.ที่ผ่านมา สถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ ที่ตั้งอยู่สถานีอุตุนิยมวิทยา จ.ลำปาง ตรวจวัดปริมาณฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐาน อยู่ที่ 121 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และวันที่ 28 ม.ค.ฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐาน อยู่ที่ 128 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ถึงแม้ค่าจะเกินมาไม่มากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นการเริ่มปัญหาหมอกควันเร็วกว่าทุกปี และหากประชาชนยังไม่ตระหนักที่จะช่วยกันรักษาสภาพแวดล้อม ปัญหาหมอกควันอาจจะรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องและยาวนานขึ้นก็เป็นได้


(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 963  31 มกราคม - 6 กุมภาพันธ์ 2557) 
Share:

รถไฟขายหน้า ตกรางใกล้สถานี ประแจขัดข้อง


รถไฟตกรางอีกที่ลำปาง ขบวนรถไฟฟรีดีเซลราง 407 ตกรางก่อนถึงสถานีแม่เมาะเพียง 500 เมตร  นายสถานีคาดเกิดจากประแจรางรถไฟเก่าที่ไม่แข็งแรง ซึ่งผู้รับเหมากำลังเตรียมจะเปลี่ยนอุปกรณ์และหมอนคอนกรีตชุดใหม่ แต่มาเกิดเหตุเสียก่อน

เมื่อเวลาประมาณ 12.00 น.วันที่ 28 ม.ค.57 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เกิดเหตุรถไฟฟรีท้องถิ่น ขบวนที่ 407  นครสวรรค์-เชียงใหม่ ที่บริเวณเสาโทรเลขที่ 608/15 ก่อนถึงสถานีรถไฟแม่เมาะ บ้านเมาะสถานี ต.แม่เมาะ อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง ประมาณ 500 เมตร ซึ่งขบวนรถไฟดังกล่าวเป็นระบบดีเซลรางมีจำนวน 3 โบกี้  แต่ปรากฏว่าขณะที่รถไฟได้ลดความเร็วลงและกำลังจะเข้าจอดชานชาลาของสถานีรถไฟแม่เมาะอีกเพียง 500 เมตรเท่านั้น  ซึ่งจุดเกิดเหตุเป็นจุดเชื่อมต่อรางไม้และรางปูนที่สับเปลี่ยนใหม่ เพลาล้อด้านหลังของรถไฟโบกี้แรกหลุดออกจากรางจำนวน 2 เพลา 4 ล้อ ไถลไปด้านหน้า 20 เมตร  หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่แขวงบำรุงทาง กองบำรุงทางเขตลำปาง ฝ่ายการเดินรถไฟแห่งประเทศไทย ได้ขนกำลังเจ้าหน้าที่พร้อมอุปกรณ์ในการกู้ขบวนรถไฟ พร้อมทั้งนำรถเครนและรถช่วยอันตรายของการรถไฟ มาช่วยเหลือในการกู้รถเพื่อที่จะยกออกและนำโบกี้ที่ตกรางไปตรวจสอบหาสาเหตุและซ่อมแซม

นายสุชาติ ขุนวิทยา  นายสถานีรถไฟแม่เมาะ เปิดเผยว่า รถไฟขบวนดังกล่าว ได้เดินทางออกจากสถานีรถไฟนครสวรรค์ ตั้งแต่เวลา 05.00 น. เพื่อเดินทางไป จ.เชียงใหม่ มีผู้โดยสารประมาณ 50 คน แต่ก่อนเข้าสถานีซึ่งรถไฟได้ลดความเร็วลงอยู่ที่ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ได้เกิดอุบัติเหตุตกรางก่อนถึงสถานีเพียง 500 เมตร ซึ่งสาเหตุเบื้องต้นนั้นเกิดความผิดพลาดเกี่ยวกับประแจที่ใช้เชื่อมต่อรางรถไฟไม่แข็งแรง เนื่องจากบริเวณดังกล่าวยังไม่ได้เปลี่ยนไม้หมอนเป็นคอนกรีต ซึ่งทางบริษัทรับเหมากำลังจะทำการปรับปรุงซ่อมแซมประแจเบอร์ 1 พร้อมทั้งรื้อถอนอุปกรณ์และติดตั้งชุดใหม่ตั้งแต่เวลา 12.00 น.ของวันนี้ แต่มาเกิดเหตุตกรางเสียก่อน   โดยจะเห็นว่าเพลาล้อหน้าของโบกี้รถไฟได้วิ่งมาตามรางทางตรงตามปกติ แต่เพลาล้อหลังจำนวน 2 เพลาได้หลุดออกจากรางบริเวณจุดเชื่อมต่อทางแยกพอดี ส่วนโบกี้ที่ 2 และ 3 ก็ยังคงอยู่ในรางปกติเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามจะต้องทำการตรวจสอบหาสาเหตุอีกครั้ง


นายสถานีแม่เมาะ กล่าวต่อไป เบื้องต้นทางสถานีได้ถอดรถไฟโบกี้ที่ 1 ออก เพื่อลากไปตรวจสอบและซ่อมแซม ส่วนผู้โดยสารที่มากับรถไฟขบวนที่ 407 นั้น ได้ทำการสับเปลี่ยนให้ผู้โดยสารไปขึ้นขบวนที่ 408 เชียงใหม่-นครสวรรค์ กลับไปที่สถานีรถไฟเชียงใหม่แทน  ส่วนผู้ที่จะเดินทางไป จ.นครสวรรค์ ได้สับเปลี่ยนให้มาขึ้นขบวน 407 ที่เหลืออยู่อีก 2 โบกี้ เพื่อเดินทางกลับไปยังสถานีนครสวรรค์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว


ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการถอดโบกี้และกู้ขึ้นมาได้สำเร็จเวลาประมาณ 15.00 น. ซึ่งสามารถเปิดเดินรถไฟได้ตามปกติ


(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 963  31 มกราคม - 6 กุมภาพันธ์ 2557) 
Share:

โจ๋ตระเวนหอพัก ลักจยย.ขายหาเงินซื้อยาบ้า


ตำรวจเมืองลำปาง ตามรวบหนุ่มวัยรุ่นตะเวนลักรถจักรยานยนต์ตามหอพักกว่า 10 คัน สารภาพขายได้คันละ 4,000 บาท และนำเงินไปซื้อยาบ้า จนมุมเพราะตกจากรถขณะถูกตำรวจตามจับ ส่วนเพื่อนร่วมแก็งค์หนีไปได้ เร่งตามตัวมาดำเนินคดี

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 28 ม.ค.57  พ.ต.อ.ฐนกร คุ้มวงศ์ ผกก.สภ.เมืองลำปาง  พ.ต.ท.วิภาส แสงศศิธร รองผกก.สส.สภ.เมืองลำปาง พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมตัวผู้ต้องหาแก๊งค์ลักรถ ชื่อ นายนันธวัช อุ่นปลุก อายุ 19 ปี บ้านเลขที่ 55/2 ม.5 ต.แม่เมาะ จ.ลำปาง พร้อมของกลางเป็นรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าคลิก สีส้ม-ดำ ทะเบียน ขพม-988 ลำปาง , รถจักรยานยนต์ยี่ห้อรุยก้า รุ่นคลาสสิค สีเขียว ทะเบียน ขลว-488 ลำปาง หลังก่อเหตุตะเวนลักรถจักรยานยนต์ตามหอพักในเขตอ.เมืองกว่า 10 คัน

สืบเนื่องมาจากในห้วงที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุลักรถจักรยานยนต์ในพื้นที่ อ.เมืองลำปางหลายราย ส่วนใหญ่เป็นรถที่จอดไว้ตามหอพักต่างๆ ซึ่งมีเจ้าทุกข์เข้าแจ้งความไว้หลายคดี ทั้งที่หอพักแม่จรรยา ต.ชมพู หอพักศรีสง่า ต.สบตุ๋ย หอพักวรเชษฐ์ ต.สบตุ๋ย หอพักดีสปอร์ต ถ.ท่าคราวน้อย ฯลฯ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการสืบสวนหาข่าว แต่ก็ยังไม่สามารถจับกุมตัวคนร้ายได้  จนเมื่อวันที่ 27 ม.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งมีเหตุลักรถจักรยานยนต์ที่บริเวณหน้าวิทยาลัยเทคนิคลำปาง และเจ้าทุกข์ได้ไปพบรถของตัวเองที่หน้าร้านเกมส์ข้างโรงเรียนเทศบาล 5 ต.สบตุ๋ย มีชายวัยรุ่น 3 คนขับขี่อยู่ จึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามไปจนพบ แต่ปรากฏว่าชายทั้ง 3 คนได้ขับขี่รถหลบหนี และในระหว่างที่ขับขี่รถหลบหนีอยู่นั้น นายนันธวัช ผู้ต้องหา ได้เกิดตกลงจากรถ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงสามารถจับกุมตัวไว้ได้

นายนันธวัช ผู้ต้องหา ให้การรับสารภาพว่า ตนเองและเพื่อนที่หลบหนีไปได้ก่อเหตุลักรถจักรยานยนต์จริง และก่อเหตุมาแล้วหลายครั้ง โดยจะเลือกรถที่จอดไว้ตามหอพักต่างๆ เมื่อลักรถได้ก็จะนำไปขายคันละประมาณ 4,000 บาท เพื่อนำเงินมาซื้อยาบ้าเสพ ส่วนผู้ต้องหาที่หลบหนีทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบตัวแล้ว จะได้ทำการติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีต่อไป


(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 963  31 มกราคม - 6 กุมภาพันธ์ 2557) 
Share:

วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2557

กุ้ยหลินเมืองลำปาง ไม่มาไม่รู้


เส้นทางท่องเที่ยวทางน้ำโดยการล่องแพเหนือเขื่อนกิ่วลม ยังคงเป็นเสน่ห์ของเมืองลำปางที่มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติหลงเหลือเป็นเพชรน้ำหนึ่งในบรรดาแหล่งท่องเที่ยวทั่วไป

ธรรมชาติเหนือเขื่อนกิ่วลม ถือว่ายังสดและรักษาความอุดมสมบูรณ์ไว้ได้อย่างดี และเสน่ห์ของการล่องแพเหนือเขื่อนกิ่วลม ยังบ่งบอกความแตกต่างจากการล่องแพทะเลสาบทั่วไป เพราะเหนือเขื่อนกิ่วลม มีความกว้างพอดีๆ สองฝั่งยังมองเห็นธรรมชาติของขุนเขาและหน้าผา ป่าไม้เบญพรรณ เส้นทางเดินที่คดเคี้ยว มีทิวเขาน้อยใหญ่เรียงรายด้านหน้า หากไปเที่ยวฤดูฝนหรือ หนาว จะเห็นหมอกเลียเขา สวยงาม สมดังกับคำเปรียบเปรยของนักท่องเที่ยวหลายคนว่า "กุ้ยหลินเมืองไทยที่ลำปาง"

เส้นทางจากตัวเมืองตามถนนลำปาง-งาว หรือที่รู้จักกันว่าเส้นทางมุ่งหน้าไปพะเยา มีทางแยกเลี้ยวซ้ายไปถึงเขื่อนกิ่วลม ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที ถึงสันเขื่อนซึ่งเป็นท่าแพท่องเที่ยว มีแพท่องเที่ยวขนาดต่างๆ ความจุคนได้ 40-70 คน หรือ แพเล็ก ขนาด ไม่เกิน 10 คน และ เรือหางยาว ไว้บริการ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวชมควางาม เหนือเขื่อนเลยไปจนถึงเวิ้งน้ำขนาดใหญ่ เรียกกันว่าทะเลสาบกิ่วลม อัตราค่าเรือหางยาวไป-กลับ 400 บาท ค่าเช่าแพชมทิวทัศน์ อัตรา ตั้งแต่ 2,000-4,000 บาท ขณะนี้มีแพรองรับนักท่องเที่ยวทั้งหมด 35 ลำ มีบริการทั้งแบบล่องชมวิวแล้วกลับ หรือนอนค้างคืนบนแพ และที่เกาะ วังแก้วรีสอร์ท มีบ้านพักและร้านอาหารมุมสงบเงีบล ปลอดภัย มีเรือหางยาว สำหรับรับส่งและเที่ยวชมแบบส่วนตัว

นอกจากนี้กลุ่มผู้ประกอบการแพและที่พักในเขื่อนกิ่วลมยังจัดรูปแบบของการท่องเที่ยวแบบแพ็คเกจอาหารที่พักพร้อมโปรแกรมการท่องเที่ยวตามเส้นทางแผนที่เที่ยวกิ่วลม อาทิ โปรแกรมเที่ยวถ้ำ ปีนผา ตกปลา และจอดแพพักผ่อนสัมผัสธรรมชาติ ว่ากันว่า เส้นทางท่องเที่ยวปีนหน้าผาที่นี่นับเป็นแหล่งที่มีความสวยงาม อันดับต้นๆในหมู่คนชอบ ปีนเขาและหน้าผา เพราะที่นี่สามารถ ล่องเรือไปตามน้ำก็ถึงหน้าผาตระหง่าน เป็นที่ชื่นชอบของคนชอบปีนเขา

ผู้ประกอบการชาวแพเขื่อนกิ่วลม ต่างให้ข้อมูลตรงกันว่า ธุรกิจแพท่องเที่ยวทุกวันนี้อยู่ได้จากลูกค้า สองสามกลุ่ม ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวคนไทยที่ไปพักผ่อนแบบจัดกลุ่มสัมมนาอย่างไม่เป็นทางการ  นักท่องเที่ยวกลุ่มคนไทยที่นิยมธรรมชาติ รวมถึงกลุ่มพิเศษที่ชอบตกปลา ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีบ้างแต่ไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าแพ็คเกจที่ซื้อโปรแกรมการท่องเที่ยวมาจากเครือข่ายการท่องเที่ยวในภาคเหนือ และนักเดินทางที่ซื้อแพ็คเกจมากับรีสอร์ทในเกาะชวนฝันและเกาะวังแก้ว  ซึ่งชาวต่างชาติจะไปปีนหน้าผาที่บริเวณผางามและผาเกี๋ยงแล้วแวะเที่ยวถ้ำสมบัติ ถ้ำเหล็กไหล เที่ยวชมหมู่บ้านกระชังปลา และไหว้พระที่บ้านสา อ.แจ้ห่ม ที่ท่าแพบ้านสำเภาทอง ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของสันเขื่อน คนแถวนั้นเรียกว่าฝั่งทะเลสาบกิ่วลม

ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในเขื่อนกิ่วลม ระบุเป็นเสียงเดียวกันว่าการท่องเที่ยวเขื่อนกิ่วลม ยังต้องรอการ
ส่งเสริมพัฒนาให้เป็นที่รู้จักในวงการท่องเที่ยวให้กว้างขวางขึ้น เพราะขณะนี้แหล่งท่องเที่ยวในภาคเหนือ มีการแข่งขันประชาสัมพันธ์กันค่อนข้างสูง แต่แพกิ่วลม ส่วนใหญ่ผู้ประกอบการแบบทำกันเองเรื่อยๆไม่มีระบบการตลาดขายผ่านบริษัททัวร์ ซึ่งส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะรู้จักและจองแพมาจากร้านตัวแทนของแพในเขตตัวเมืองลำปางไม่กี่แห่งเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการชาวแพ ยังหวังว่าจะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการท่องเที่ยว ช่วยสนับสนุนด้านการประชาสัมพันธ์ ให้เขื่อนกิ่วลมเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คนอยากไปถึงเมื่อมาเยือนลำปาง

นอกจากธุรกิจแพท่องเที่ยวแล้ว ใกล้บริเวณสันเขื่อนกิ่วลม ยังมีธุรกิจกระชังปลาและตลาดปลาเหนือเขื่อนที่บ้านสา อ.แจ้ห่ม เป็นแหล่งรายได้หมุนเวียนแก่คนในท้องถิ่น และเป็นสีสันของการท่องเที่ยวเขื่อนกิ่วลมแห่งนี้

หากยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวกำลังจะถูกผลักดันให้ลำปางเป็นปีแห่งการท่องเที่ยว แพเขื่อนกิ่วลม เป็นกรณีตัวอย่างรอการฟื้นฟู และเป็นหนึ่งในพิสูจน์ผลของยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวเช่นกัน



(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 963  31 มกราคม - 6 กุมภาพันธ์ 2557) 
Share:

วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557

อสท.เกาหลีเยือนลำปาง เชื่อมตลาดเอเจนท์ท้องถิ่น


นายพันธ์เมธ ณ ระนอง ผู้จัดการองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยว(อสท.)เกาหลี ประจำประเทศไทย เผยในโอกาสเดินทางมาจัดงานพบปะผู้ประกอบการท่องเที่ยวและสื่อมวชน จังหวัดลำปางเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลีที่จังหวัดลำปาง ณ โรงแรมลำปางเวียงทองเมื่อวันก่อนว่า ตามที่องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี ซึ่งมี นาย จอง เบียนฮี ผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลีประจำประเทศไทย  เดินมาร่วมเดินสายพบปะผู้ประกอบการท่องเที่ยวในประเทไทยหลายแห่งรวมถึงที่จังหวัดลำปาง เพื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของประเทศเกาหลี ให้ยังคงความนิยมในตลาดการท่องเที่ยวไทยและภาคเหนือ นั้น ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการท่องเที่ยวในลำปางค่อนข้างดี ทั้งนี้ได้แนะนำโปรแกรมการท่องเที่ยวเกาหลีในฤดูการท่องเที่ยวปี 2558 ซึ่งจะมีการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ที่เมืองอินชอน ประเทศเกาหลี จึงเป็นช่วงที่การท่องเที่ยวทุกภาคของเกาหลี ส่งเสริมการท่องเที่ยวให้คักคักและจัดแผนการต้อนรับนักท่องเที่ยวเป็นพิเศษ ที่สำคัญยังชูจุดขายโปรแกรมการท่องเที่ยว เดือนเดียว สองฤดูกาล ของเกาหลี ในเดือนเมษายน ซึ่งตรงกับช่วงวันหยุดของคนไทย

นาย จอง เบียนฮี ผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลีประจำประเทศไทย   กล่าวว่า อยากเชิญชวนให้คนไทยและผู้ประกอบการท่องเที่ยวเชื่อมโยงธุรกิจท่องเที่ยวกับเกาหลี ทั้ง 4 ฤดูกาล ทั้ง ฤดูหนาว Winter (ช่วงเดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์) เป็นช่วงที่หิมะตก ถือได้ว่าเป็นฤดูอันแสนโรแมนติกของหนุ่มสาวชาวเกาหลี ฤดูใบไม้ผลิ Spring (ช่วงเดือนมีนาคม – พฤษภาคม) อากาศ จะประมาณ 5-20 องศา เป็นช่วงที่ดอกไม้ ใบไม้เริ่มผลิบาน ชาวเกาหลี ถือว่าเป็นฤดูแห่งการเริ่มต้น และสดใส ทุกที่จะเต็มไปด้วยสีสันสดใส ของดอกไม้ โดยจะเริ่มได้เห็นดอกทิวลิปในช่วงปลายเดือนมีนาคม ถึง ต้นพฤษภาคม และเทศกาลที่หลายคนตั้งตารอ คือเทศกาลดอกซากุระเกาหลี (Cherry Blossom) โดยปกติจะจัดขึ้นในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนเมษายน ฤดูร้อน Summer (ช่วงเดือนมิถุนายน – สิงหาคม) เป็น ฤดูที่อากาศจะร้อนสุดในเกาหลี อุณหภูมิ อาจจะสูงถึง 30 องศา และเป็นช่วงที่เหมาะกับการทำเกษตร เพราะมีความชุ่มชื่นของฝนตกเป็นระยะๆ และ ฤดูใบไม้ร่วง Autumn (ช่วงเดือนกันยายน – พฤศจิกายน) อากาศ ช่วงนี้จะเย็นสบาย ประมาณ 10-20 องศา เป็นฤดูที่ถือได้ว่าสวยงามที่สุด ของเกาหลี ฤดูกาลท่องเที่ยวที่สำคัญ นักท่องเที่ยวทั้งในเกาหลี และต่างชาติ จะตั้งตาคอย ชมปรากฏการณ์ธรรมชาติ คือใบไม้เปลี่ยนสี โดยใบเมเปิ้ล จะเปลี่ยนเป็นสีแดง และใบแปะก๊วย จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ก่อนจะร่วงหมด ปกติแล้ว ช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสี จะเริ่มประมาณวันที่ 15 ตุลาคม – 15 พฤศจิกายน

นายสัมฤทธิ์ พรหมงาม ผู้จัดการ บริษัท โคเรียเวิล์ด ฮฮลลิเดย์ จำกัด เผยว่า การเดินทางส่งเสริมการตลาดเกาหลีที่ลำปางเป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่มาเชื่อมความสัมพันธ์ ด้านการตลาดกับผู้ประกอบการท้องถิ่น ซึ่งคาดหวังผลทางการตลาดร่วมกันในอนาคต เพราะลำปางเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพ มีกลุ่มลูกค้าเฉพาะที่เป็นกลุ่มเป้าหมายด้านการท่องเที่ยวหลายกลุ่ม เช่น พนักงานรัฐวิสาหกิจ แพทย์พยาบาล หน่วยงานงานราช เอกชนต่างๆ เป็นต้น ซึ่งจะมีการเชื่อมโยงการขายโปรแกรมทัวร์กับเอเจนซี่ท่องเที่ยวท้องถิ่น ในอนาคตอย่างแน่นอน


(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 963  31 มกราคม - 6 กุมภาพันธ์ 2557) 
Share:

วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

ข่าวสั้น รอบลำปาง



สบปราบ-ปืนเถื่อน 21 ม.ค.พ.ต.ท.ธเนตถ์ วิบูลย์เกียรติ รอง ผกก.สส.สภ.สบปราบ จว.ลำปาง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สบปราบ จว.ลำปาง ได้จับกุมนายประกิต  สารทิ อายุ 26 ปี บ้านเลขที่ 195 ม.7 ต.สบปราบ อ.สบปราบ 7 พร้อมด้วยของกลางอาวุธปืนลูกซองพกสั้น( ไทยประดิษฐ์ ) จำนวน 1 กระบอก และเครื่องกระสุนปืนลูกซอง เบอร์ 12 จำนวน 1 นัด เหตุเกิดที่ โต๊ะอาหารห้อง VIP  ร้านสมเกียรติคาราโอเกะ อ.สบปราบ จว.ลำปาง จึงแจ้งข้อกล่าวหา และนำส่ง พงส.สภ.สบปราบ จว.ลำปาง ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

งาว-รวบวงไฮโล 21 ม.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจ ชุดสืบสวน สภ.งาว จว.ลำปาง  จับกุมนางอรุณี  เตชะฤทธิ์  พร้อมพวกรวม 7  คน ของกลางอุปกรณ์เล่นไฮโล 1 ชุด เงินสด 100 บาท ข้อหา พรบ.การพนัน ฯ นำส่ง พงส.สภ.งาว จว.ลำปาง ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

วังเหนือ-ยาบ้า 21 ม.ค.เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.วังเหนือ จว.ลำปาง จับกุมคดี พ.ร.บ.ยาเสพติด 1 ราย ผู้ต้องหา 1 คน ของกลางยาบ้า 3  เม็ด ผู้ต้องหาชื่อนายไพศาล ใจยัง อายุ 33 ปี บ้านเลขที่ 22  หมู่ 4 ต.วังทรายคำ อ.วังเหนือ จว.ลำปาง นำส่ง พงส.สภ.วังเหนือ จว.ลำปาง ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

งาว-จับรายย่อย 18 ม.ค. จนท.ตร.สภ.งาว จว.ลำปาง ได้จับกุมคดียาเสพติด 1 ราย ผู้ต้องหา 2 คน
ข้อหา"ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย"
คือ นายอภิโชติ รุ่งเรือง อายุ 20 ปี 12/4 ม.1 ต.ห้วยข้าวกำ อ.จุน จ.พะเยา และ นายพีระพงษ์ บุญยงค์ อายุ 19 ปี 1 ม.1 ต.หลวงเหนือ อ.งาว จ.ลำปาง พร้อมของกลางยาบ้า 92 เม็ด นำส่ง ร.ต.ท.บรรดิษย์ฯ พงส.สภ.งาว จว.ลำปาง ดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป

วังเหนือ-จับยาบ้า+ปืน จนท.ตร.สภ.วังเหนือ จว.ลำปาง จับกุมผู้ต้องหา 1 ราย ชื่อนายอานนท์ ทายงาม อายุ 25 ปี บ้านเลขที่ 64 หมู่ 2 ต.วังเหนือ อ.วังเหนือ จว.ลำปาง คดี  พ.ร.บ.ยาเสพติด และ  พ.ร.บ.อาวุธปืน พร้อมของกลาง ยาบ้า 2 เม็ด,ปืนลูกซองยาว 1 กระบอก,ปืนสั้น  ขนาด .36 จำนวน 1 กระบอก,ปืนแก๊ป 8 กระบอก,กระสุนปืนลูกซอง 10 นัด,ขนาด .36 จำนวน 1 นัด นำส่ง พงส.สภ.วังเหนือ จว.ลำปาง ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 961  17 - 23 มกราคม 2557) 
Share:

ปลูกด้วยหัวใจ ข้าวไรซ์เบอร์รี


ห่างจากทางหลวงหมายเลข 1 ช่วงที่ตัดผ่านบ้านปงวัง อำเภอเมืองลำปางเพียงเล็กน้อย เกษตรกร 6-7 คนกำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่กลางผืนนา ในสายลมหนาวที่พัดกล้าข้าวใบสีม่วงตรงหน้าให้โบกระบัด มองไกล ๆ พวกเขาเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ ท่ามกลางผืนดินสีน้ำตาลกว้างใหญ่ ทว่าจุดเล็ก ๆ นี้กำลังสร้างแรงกระเพื่อมไหวในสังคมคนรักสุขภาพ ด้วยข้าวไรซ์เบอร์รีที่พวกเขาลงแรงปลูก แปรรูป และขายเองแบบครบวงจร

ข้าวไรซ์เบอร์รีถูกคิดค้นขึ้นโดย รศ. ดร. อภิชาติ วรรณวิจิตร ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน และคณะ ซึ่งทำวิจัยจนได้ข้าวสายพันธุ์ใหม่ที่มีส่วนผสมอันลงตัวระหว่างข้าวหอมมะลิ 105 กับข้าวหอมนิล โดยให้ชื่อว่าข้าวไรซ์เบอร์รี นอกจากเมล็ดข้าวจะมีสีม่วงเหมือนลูกเบอร์รีแล้ว ประโยชน์ก็ยังคล้ายกัน ทั้งนี้ ข้าวไรซ์เบอร์รีมีโปรตีนถึง 2 เท่าของข้าวหอมมะลิ 105 มีสารต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ เบตาแคโรทีน แกมมาโอไรซานอน วิตามินอี แทนนิน สังกะสี โฟเลต ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด มีดัชนีน้ำตาลต่ำถึงปานกลาง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมปริมาณน้ำตาลในอาหาร ข้าวไรซ์เบอร์รีที่หุงสุกใหม่จะเป็นสีม่วงเข้ม มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ นุ่ม ไม่แข็งกระด้าง ที่สำคัญคือ อร่อย

แสงแดดยามบ่ายเริ่มแรงขึ้น แต่อากาศยังหนาว อากาศหนาวไม่ดีนักสำหรับข้าวไรซ์เบอร์รี แววมณี คล้ายสอน เกษตรกรที่ปลูกข้าวไรซ์เบอร์รีแบบครบวงจรรายแรกของเมืองลำปางบอกว่า ปีนี้หนาวจัด ทำให้ได้ต้นกล้าไม่ดีนัก สังเกตจากรากที่ยึดดินไม่แน่นเหมือนรุ่นก่อน ๆ เมื่อถอนกล้าออกจากถาดปลูกที่คล้ายรังผึ้งแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการโยนกล้า ซึ่งจะทำให้ต้นข้าวแตกกอดีกว่า หลังจากนี้อีกราว 3 วัน ข้าวจะติดตัว หมายถึงตั้งตัวได้ ราว 2 เดือนกว่าข้าวจะเริ่มตั้งท้อง และเมื่ออายุข้าวถึง 130 วันก็ได้เกี่ยว

ฟังดูเหมือนง่ายและเป็นสูตรสำเร็จเกินไป สำหรับแววมณีที่ปลูกข้าวมาทั้งชีวิตไม่ใช่เสียทีเดียว หลังจากหันหลังให้กับการปลูกข้าวแบบใช้สารเคมี แววมณีหันมาทำเกษตรอินทรีย์ด้วยการเริ่มปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี สิ่งแรกที่เป็นปัญหาใหญ่คือเรื่องน้ำ เธอต้องเจาะบ่อบาดาลเองเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้น้ำแหล่งเดียวกับนาข้าวที่ยังใช้สารเคมีอื่น ๆ และความที่ทุกอย่างต้องปลอดสารเคมีแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ตลอดระยะเวลาของการปลูกข้าวไรซ์เบอร์รีจึงเป็นเรื่องของการประคบประหงมให้ข้าวห่างไกลจากศัตรูสำคัญอย่างเพลี้ย ตั๊กแตน หรือโรคใบไหม้ โดยการใช้ปุ๋ยและยาชีวภาพ บวกกับการดูแลอย่างใกล้ชิด หลังจากนั้นก็รอคอยข้าวออกรวงสีม่วงเม็ดอวบให้ได้ชื่นใจ ก่อนจะเก็บเกี่ยวด้วยแรงคน นำเข้าโรงสี บรรจุถุง ส่งขายทั้งในลำปางและทั่วประเทศ

แม้ข้าวไรซ์เบอร์รีจะปลูกและเก็บเกี่ยวได้ทั้งปี แต่ปริมาณที่ได้นั้นน้อยมากถ้าเทียบกับข้าวทั่วไป ประกอบกับการตอบรับชนิดดีเกินคาดจากผู้บริโภค ทำให้ผลิตออกมาเท่าไรก็ไม่พอขาย ราคาที่ตั้งไว้ 90 บาท ต่อกิโลกรัม ทำให้ไม่ต้องขึ้นอยู่กับราคาข้าวในท้องตลาดเหมือนข้าวชนิดอื่น จะว่าไปแล้วก็น่าที่จะทำให้ชาวนาในละแวกใกล้หันมาสนใจบ้าง แต่แววมณีกลับโคลงศีรษะพลางบอกว่า พวกเขาต่างมองว่ามันเป็นเรื่องยุ่งยาก ยุ่งตั้งแต่ขั้นตอนแรกที่ต้องมองหาแหล่งน้ำบาดาลเองนั่นแล้ว ยังไม่นับเรื่องหัวใจและการทุ่มเทที่ต้องมากกว่าการปลูกข้าวแบบทั่วไปอีก นี่เองจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าวไรซ์เบอร์รีจึงมีราคาค่างวดที่แพงลิบ แต่สำหรับคนรักสุขภาพที่มองเห็นถึงประโยชน์อันมหาศาล พวกเขาก็พร้อมที่จะจ่าย

“ลูกค้าที่เป็นโรคเหน็บชา ความดัน เบาหวาน ซื้อไปกินยังไม่หมดถุงเลย ต่างก็บอกว่าอาการดีขึ้นจนรู้สึกได้ค่ะ” สุธามาศ เจนเจริญพันธ์ เกษตรกรผู้ปลูกข้าวไรซ์เบอร์รีรายที่สอง และเป็นเจ้าของแบรนด์ข้าวโอสถ เล่าให้ฟัง สุธามาศหันหลังให้กับงานประจำในเมืองหลวง แล้วผันตัวเองมาเป็นเกษตรกรที่สนใจเกษตรอินทรีย์ วันนี้เธอมาเรียนรู้การโยนกล้ากับแววมณี เพื่อกลับไปทดลองทำกับแปลงข้าวไรซ์เบอร์รีของเธอที่บ้านทราย เธอทิ้งท้ายว่า “กินข้าวเป็นยา ดีกว่ากินยาเป็นอาหาร”

สายลมหนาวยังกรูเกรียว เกษตรกร 6-7 คนเงยหน้าขึ้น พวกเขาหยิบต้นกล้าออกจากกระสอบ โยนมันออกไปในผืนนากว้างด้วยความหวังให้ผืนดินช่วยโอบอุ้มต้นกล้ากระจิริด เพื่อส่งผ่านเมล็ดพันธุ์แห่งสุขภาพ ซึ่งงอกงามขึ้นจากหัวใจ และเราจะรู้สึกได้ในทุกคำเคี้ยว

หมายเหตุ : ข้าวไรซ์เบอร์รีจากโครงการพัฒนาและส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ครบวงจร มีจำหน่ายบริเวณทางออกโรงพยาบาลศูนย์ลำปางและที่ที่ทำการฯ บ้านปงวัง โทรศัพท์ 08-9560-9880 ข้าวโอสถจำหน่ายที่ศูนย์สาธิตการตลาดเทศบาลนครลำปาง บริเวณหน้าโรงเรียนเทศบาล 4 และถนนวัฒนธรรมในวันศุกร์ โทรศัพท์ 08-1825-8447



(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 961  17 - 23 มกราคม 2557) 
Share:

อิมเมจเมกเกอร์ ปั้นดินให้เป็นดาว


เมื่อทักษิณ ชินวัตร เปิดศักราชใหม่ของการเมืองไทย โดยการจ้างทีมสร้างภาพพจน์ ให้เป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ วิสัยทัศน์กว้างไกล เมื่อกว่าสิบปีก่อน ส่งสัญญาณการหาเสียงผ่านวิดีโอลิงค์จากเวทีวงเวียนใหญ่ ไปยังหลายจุดทั่วประเทศพร้อมกัน

ภาพของทักษิณ ชินวัตร นักการเมืองรุ่นใหม่ ที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัย ในการหาเสียง ก็สดใสกาววาวขึ้นมาทันที และจากนั้น ทักษิณ ก็ครอบครองภาพที่ถูกประกอบสร้างเช่นนั้นมานาน จนกระทั่งนักการเมืองหลายคนทำตาม และกลายเป็นปรากฎการณ์ปกติธรรมดาในที่สุด

กระแสธุรกิจใหม่ "อิมเมจเมกเกอร์" ธุรกิจที่ปรึกษาด้านภาพลักษณ์ ในเมืองไทย เป็นธุรกิจดาวรุ่งที่มีผู้ใช้บริการมาไม่นานนัก แต่ธุรกิจนี้ในต่างประเทศนั้นมีกันมานานแล้วไม่ว่าจะในวงการบันเทิง แวดวงนักธุรกิจ เซเลบริตี้ ลามไปถึงวงการการเมือง เพราะภาพลักษณ์ที่ออกสู่สาธารณะนั้นจัดว่าเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง

อิมเมจเมกเกอร์ (Image Maker) คือ มืออาชีพในการสร้างภาพลักษณ์ มักปรากฏอยู่เบื้องหลังคนดังที่เราเห็นกันอยู่ โดยคนเหล่านี้จะมีหน้าที่พาลูกค้าก้าวไปสู่ “ชื่อเสียง” อันเป็นเป้าหมายหลัก ในต่างประเทศอาชีพนี้จะรู้จักกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะแวดวงการเมืองและนักธุรกิจของสหรัฐอเมริกา 

ในบ้านเราอิมเมจเมกเกอร์เป็นที่รู้จักของนักการเมืองไทยมานานและกำลังเป็นธุรกิจที่น่าจับตามอง ปัจจุบันนักการเมืองรุ่นใหม่หันมาใช้บริการจากอิมเมจเมกเกอร์อย่างแพร่หลายทั้งนักการเมืองในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด "นักการเมืองหน้าใหม่" หลายคนหันมาใช้ “อิมเมจเมกเกอร์” มากขึ้น เนื่องจากต้องการสร้างภาพลักษณ์ให้ดี มีมาตรฐาน ขานรับฤดูกาลการเลือกตั้งรวมไปถึงการลงพื้นที่พบปะพ่อแม่พี่น้องประชาชน

อิมเมจเมกเกอร์ ต่างจาก สไตล์ลิส อย่างไร??

นี่อาจะเป็นคำถามที่หลายคนยังสงสัย ก่อนหน้านี้ “สไตล์ลิส” มีความสำคัญมากเพราะการจะไปปรากฏร่างในงานต่างๆหากเสื้อผ้า หน้า ผม ไม่เข้ากัน อาจจะกลายเป็นตัวตลกในงานได้และที่สำคัญเสื้อผ้าหน้าผมที่ “เป๊ะ”จะเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเองอีกด้วย แต่ อิมเมจเมกเกอร์ นั้นเป็นยิ่งกว่าสไตล์ลิสเพราะต้องดูแล ปรับภาพลักษณ์  กิจกรรมที่ต้องทำร่วมไปถึงข่าวพีอาร์ ข่าวในแวดวง เพราะเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นการสร้างความเป็นตัวตนที่โดด เด่นชัดเจนเมื่อต้องออกสื่อสาธารณะ

"อิมเมจเมกเกอร์เกิดขึ้นและโด่งดังมาจากกลุ่มนักการเมือง ทั้งในกรุงเทพฯและระดับท้องถิ่น อย่างช่วงเลือกตั้งมีการใช้บริการฟรีแลนซ์ด้านอิมเมจเมกเกอร์กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็น       โอกาสที่ทำให้เหล่าอิมเมจเมกเกอร์ ได้รับงานมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา กลุ่มธุรกิจ เซเลป หรือนักการเมืองที่ต้องการหน้าตา ชื่อเสียง ตลอดจนภาพลักษณ์ที่ดี หลักๆต้องมีการเตรียมข้อมูล การตอบคำถาม การวางบุคลิกภาพ การแต่งกาย ทรงผม ตลอดจนการวางแผนการออกงาน หรือการเข้าสังคม” อิมเมจเมกเกอร์คนหนึ่งกล่าวไว้

หากมองย้อนกลับมาในมุมของการเมืองที่มีอิมเมจเมกเกอร์อยู่เบื้องหลัง ภาพลักษณ์ที่ออกสู่สาธาณะมักจะเล่นกับความนิยมที่ให้ตัวให้เข้าใกล้ประชาชนมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเปิดภาพกิจกรรมครอบครัวแบบง่ายๆแต่เสื้อผ้าหน้าผมบทพูดเป๊ะพร้อมออกสื่อ การไปกินก๋วยเตี๋ยวตามร้านสร้างภาพลักษณ์ที่สบายๆทำให้ประชาชนรู้สึกเข้าถึงได้ง่าย หรือแม้แต่การพาลูกไปเดินตลาดในวันอาทิตย์รวมไปถึงเมนูที่ปรุงเองเพื่อคนในครอบครัว เหล่านี้หากไม่ใช่การสร้างภาพลักษณ์จะไม่มีภาพออกมาปรากฏผ่านสื่อ แต่กลายเป็นว่าการปล่อยภาพเหล่านี้จะสร้างความรู้สึกต่อภาพลักษณ์ได้

การเมืองท้องถิ่นอย่างลำปางการเมืองเก่าเริ่มผลัดใบไปตามกาลเวลานักการเมืองรุ่นเก่าแต่เก๋าเกมส่งไม้ให้ทายาทการเมือง ส่วนนักการเมืองหน้าใหม่ก็ต้องเล่นลูกขยันลงพื้นที่นำเสนอตัวกับพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่มีสิทธิมีเสียง ดังนั้นงานนี้การทำงานเป็นทีมจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นทีมสร้างภาพ ออกาไนซ์ หรืออิมเมจเมกเกอร์หรืออะไรก็ตามสุดแล้วแต่ต้องงัดกลยุทธ์มาใช้ แม้ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะเงียบหงอยวังเวงก็ตาม

บอล ถาคำฟู ถือได้ว่าสร้างปรากฏการณ์ความหวือหวาไม่น้อย ด้วยอาร์ตเวิร์คที่ใช้ 2 แบบ ที่ดูทันสมัยแต่ไม่ฉูดฉาด ที่ชูประเด็นสั้นๆโดน “เตะทุกปัญหา” ที่สอดคล้องกับชื่อ รวมถึงการใช้รถแห่ไฮเทคขนาดใหญ่เข้ายุคดิจิตอล

กิตติกร โล่ห์สุนทร เจ้าของพื้นที่ที่หลุดจากการเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี รวมถึงจรัสฤทธิ์ อิทธิรัตน์ แห่งตระกูลจันทรสุรินทร์ และวาสิต พยัฆบุตร ในนามพรรคเพื่อไทยที่ชูเรื่องการ “ยึดมั่นในกติกา รักษาประชาธิปไตย เคารพการตัดสินใจของประชาชน” กับภาพในชุดเต็มยศแสดงถึงความได้รับการไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนที่ได้รับการไว้วางใจให้เข้าไปทำหน้าที่ผู้แทนหลายต่อหลายครั้งและป้ายหาเสียงของเพื่อไทยเป็นลักษณะนี้ทั่วประเทศ

ดาชัย อุชุโกศลการ หัวหน้าพรรคพลังประเทศไทย ที่ชู “Primary Vote” ใช้ลูกอ้อนและลูกขยันลงพื้นที่ขอโอกาสสักครั้ง รวมถึงการใช้ Social Media อย่างเฟสบุ๊คนำภาพความเคลื่อนไหวการลงพื้นที่ รวมถึงการแสดงความคิดเห็นการทางเมืองที่ดาชัยทำการบ้านมาเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง ถือว่าเป็นระยะหวังผลได้

ส่วนพรรคเล็กแทบจะเรียกได้ว่าใช้เวทีนี้แจ้งชื่อ แต่ไม่อาจแจ้งเกิดได้ ไร้วี่แววป้ายหาเสียง การแนะนำตัว ผู้มีสิทธิไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนในการเลือกตั้งครั้งนี้ดังนั้นการสร้างภาพลักษณ์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

 แต่ที่สุดแล้วหากภาพลักษณ์ที่สร้างไม่ได้อยู่เป็นพื้นฐานของความเป็นตัวตน สักวันภาพลักษณ์นั้นจะกลายเป็นดาบที่ย้อนกลับมาแทงตัวแทง ดูได้จากการที่นักการเมืองในช่วงก่อนเลือกตั้งหาเสียงภาพที่ปล่อยออกมาจะเรียกใช้ง่าย เข้าพบง่าย นอบน้อมมือไม้อ่อน 

แต่หากพื้นฐานเป็นคนจิตใจแคบ คอยแต่ใส่ร้ายโจมตีผู้อื่นทุกครั้งที่พูดนั้นภาพลักษณ์ที่สร้างอาจจะทำลายภาพตัวเอง

อิมเมจเมกเกอร์ ก็จะเหมือนหอกแหลมที่พุ่งกลับมาทิ่มแทงตัวเองในที่สุด


(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 961  17 - 23 มกราคม 2557) 
Share:

นางสิงห์ ยิ่งลักษณ์ !?


 “..ครอบครัวดิฉันเป็นเหยื่อ ไม่มีใครอยากจะมายืนตรงนี้แล้วให้คนมาเกลียดทุกวัน แต่เราต้องรักษาประชาธิปไตย และอยากเห็นการจัดการเลือกตั้งให้เร็วที่สุด” 

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตอบคำคล้ายคนตระกูลชินวัตร ถูกกลั่นแกล้ง รังแก และเธอต้องยอมทนเสียงก่นด่า อดทดอย่างใหญ่หลวงที่จะรักษาประชาธิปไตย รักษาและไปให้ถึงธงชัยแห่งการเลือกตั้งให้ได้ แม้จะแลกมาด้วยเลือดและน้ำตา แลกมาด้วยความรุนแรง และแลกกับชีวิต

เมื่อระเบิดโยนลงท่ามกลางผู้คนบนท้องถนน ไม่เลือกว่าที่นั่นเดินอยู่ด้วยเด็ก หรือผู้หญิง คนหนุ่มสาว หรือแก่เฒ่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็พร้อมที่จะเดินก้าวข้ามศพแล้ว ศพเล่า ไม่ว่าจากฝ่ายผู้ชุมนุมหรือตำรวจ เพียงเพื่อชัยชนะ 

มีบางถ้อยคำที่บอกว่า สุเทพ เทือกสุบรรณ ก่อการระดมไพร่พลจำนวนมากมาปิดกรุงเทพ เพิ่มระดับความกดดันจากการเดินไปยังสถานที่ราชการต่างๆ สร้างเงื่อนไขในการเผชิญหน้า จนผู้คนล้มตายทีละคน สองคน ในท้ายที่สุดแล้ว นี่คือการเชิญแขก เชิญทหารออกมาปฎิวัติ

หาไม่เลย แท้จริงคนที่ปรารถนาให้ทหารออกมาปฎิวัติ รัฐประหาร คือทักษิณ คือยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และบรรดาลิ่วล้อของเขา

เขารู้ว่านาทีนี้การปฏิวัติ รัฐประหาร คือ “ยาหมดอายุ” หากทหารทนไม่ได้ ออกมาปฎิวัติ ไม่เพียงประชาชนทั่วไปเท่านั้นจะต่อต้าน หากแต่ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ ก็จะได้ตอกย้ำข้อกล่าวหาของเขาให้หนักแน่นขึ้นสำหรับการต่อสู้ขอ กปปส. และสุเทพ เทือกสุบรรณ

และมันจะทำให้เห็นข้อแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ ระหว่าง “การปฏิวัติ” ที่เป็นตัวแทนเผด็จการ กับ “การเลือกตั้ง” ที่เป็นสัญลักษณ์ประชาธิปไตย

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สร้างปาฏิหาริย์ ลงเลือกตั้งครั้งเดียว โดยอาศัยคะแนนเสียงพรรค และสามารถทะยานไปสู่ยอดพีระมิดที่นักการเมืองทุกคนปรารถนาได้ นั่นคือทำทุกวิถีทางที่จะให้ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย ก้าวข้ามการเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ไปให้ได้ด้วยชัยชนะขั้นเด็ดขาด และพวกเขาก็ทำสำเร็จ ด้วยคะแนนเสียงที่เลือกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย คิดเป็น 44.72 % ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด

การเลือกตั้ง เลือกตั้ง และเลือกตั้ง จึงเป็นชิปที่ถูกฝังอยู่ในหัวของยิ่งลักษณ์ ชินวัตรมายาวนาน นานจนกระทั่งยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ฮึกเหิม สำคัญผิด และมั่นใจว่า การเลือกตั้งคืออาวุธสำคัญของเธอ ที่จะเอาชนะได้ทุกสิ่ง เหมือนที่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บอกว่าการเลือกตั้งจะคลี่คลายปัญหาทั้งหมด

ทักษิณ ชินวัตร เคยใช้การเลือกตั้งฟอกตัวเขา เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 จนได้รับชัยชนะ แต่เป็นชัยชนะที่ไม่ยืนยาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร วันนี้ ก็ไม่แตกต่างกัน การพิสูจน์ตัวเอง ชัยชนะของเธอ ต้องทำโดยผ่านแนวทางการเมือง คือการเลือกตั้งเท่านั้น

จึงเป็นที่มาของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เครื่องมือสำคัญที่จะฝ่าฟันไปให้ถึงวันเลือกตั้งให้ได้

พลันที่รัฐบาลประกาศ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ครอบคลุมทุกตารางนิ้วในการชุมนุมของ กปปส.มีผลบังคับใช้ในวันที่ 22 มกราคมนี้ ยาวนานไปถึง 60 วัน ก็เกิดภาวะเผชิญหน้า เข้มข้น หนักหน่วงยิ่งขึ้น กดทับลงไปในสถานการณ์ ความรุนแรงที่เกิดกับผู้ชุมนุมทั้งที่ถนนบรรทัดทอง และอนุสาวรีย์ชัย

ความท้าทายคล้ายที่กลุ่มคนเสื้อเหลือง ท้าทายอำนาจรัฐยุคสมัคร สุนทรเวช ที่ใช้อำนาจประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพียงชั่วข้ามคืน และต้องยกเลิกไป เมื่อ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ขณะนั้น ยืนนิ่งๆ ไม่ใช้อำนาจจัดการกลุ่มผู้ชุมนุมตามความต้องการของรัฐบาล ครั้งนี้ก็เช่นกัน นอกจากสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เฉลิม อยู่บำรุง และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.แล้ว ไม่ปรากฏเงาร่างของ ผบ.เหล่าทัพ ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรงของยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเลย 

นั่นแปลว่า ในที่สุดแล้วก็คงมีเพียงกองกำลังตำรวจเท่านั้น ที่ยิ่งลักษณ์จะใช้เป็นมือเป็นเท้าในการจัดการผู้ชุมนุม กปปส. ด้วยความเด็ดขาดมากขึ้น ด้วยอำนาจที่เธอมีอย่างเบ็ดเสร็จตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

มีคนอธิบายว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อ่อนหวานอย่างยิ่ง นุ่มนวลอย่างยิ่ง ใจเย็นและใช้วิธีประนีประนอมในการจัดการปัญหาอย่างละมุม ละม่อม ไม่ใช้ความรุนแรง ซึ่งหากนาทีนี้เป็นอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คงสงบราบคาบไปแล้วด้วยกำลังทหาร แต่มีอีกหลายคนที่บอกว่า ยิ่งลักษณ์ในภาพที่เห็น กับตัวตนความเป็นยิ่งลักษณ์นั้น โหดเหี้ยมอำมหิตไม่ต่างไปจากพี่ชาย ที่พร้อมจะเดินเหยียบลงไปบนคราบน้ำตา และร่างที่เกรอะกรังไปด้วยเลือด ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นพวกตนเอง หรือฝ่ายตรงข้าม 

การสุมหัวกันไม่กี่คน ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อให้อำนาจยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่เพียงผู้เดียวมีอำนาจชนิดเบ็ดเสร็จเด็ดขาดนั้น คือการยื่นดาบให้นางสิงห์ร้าย

เนื่องเพราะคนๆเดียวจะมีอำนาจล้นฟ้า ในการสั่งการ ออกข้อกำหนดใดๆก็ได้ แม้จะเป็นข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่อาจเป็นการลิดรอนและจำกัดสิทธิ เสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ ภายใต้ข้ออ้างว่าเพื่อแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินให้ยุติโดยเร็ว หรือป้องกันมิให้เหตุการณ์ร้ายแรงมากขึ้น 

นี่ย่อมคล้ายกับอำนาจของหัวหน้าคณะปฏิวัติ เมื่อมีการปฏิวัติ

นาทีนี้ อำนาจเต็มอยู่ในมือนางสิงห์แล้ว

อำนาจที่อาจแปรรูปเป็นความขัดแย้ง รุนแรงมากขึ้น และบางทีเวลาแห่งการนองเลือดอาจเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดคิด 


(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 961  17 - 23 มกราคม 2557) 
Share:

สังคมดาวแปดแฉก



สังคมดาวแปดแฉก ประจำฉบับที่963 วันที่24-30 มกราคม พ.ศ. 2557*** ลูกโม่.38 เข้าเวรตามปกติ *** “บ้านเมืองมีขื่อมีแป” คำนี้ใช้ไม่ได้กับกลุ่ม กปปส.เสียแล้วทุกวันนี้บ้านเมืองร้อนยิ่งกว่าไฟไร้บารมีใครสั่งห้าม *** ในที่ปลอดภัยคือที่ไม่ปลอดภัย อย่างกรณีตู้กดเงินของธนาคารกรุงไทยสาขาประตูชัยที่ติดตั้งอยู่ในศูนย์ราชการยังถูกโจรใช้แก๊สเป่าด้านหลังตู้ แม้โจรทำงานไม่สำเร็จแต่บ่งบอกถึงระบบความปลอดภัยในสถานที่ราชการแห่งนี้ล้มเหลว  แม้แต่กล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่หน้าตู้มีจำนวนมากถึง 4 ตัวแต่เสียหมด!! *** เห็นทีผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง นายธานินท์ สุภาแสน ต้องเรียกผู้เกี่ยวข้องมาอบรรมสั่งสอนเสียบ้าง  หากโจรวางระเบิดป่านนี้วัดวาคงไม่มีศาลาเก็บศพแล้ว *** ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจหลังเกิดเหตุ พล.ต.ต.พรชัย พักตร์ผ่องศรี ผบก.ภ.จ.ลำปาง ถึงกับกุมขมับสั่งการให้ พ.ต.อ.ฐนกร คุ้มวงค์ ผกก.สภ.ลำปาง ให้สายตรวจ 191 ออกตรวจเข้มตู้กดเงินทุกแห่งแล้ว *** ส่วนโจรรายนี้สันนิษฐานว่าคงไม่เป็นโจรมืออาชีพและต้องเป็นบุคคลที่คุ้นเคยในสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดี *** หวิดไปนอนวัดเสียแล้วเมื่อ ตำรวจหนุ่มยศ ร.ต.ท.นายหนึ่ง เป็นมือขวาของตำรวจยศ พ.ต.อ.ตำแหน่งรองผบก.แห่งหนึ่ง ถูกลวงมาพบเพื่อเจรจาเรื่องส่วนตัวกับผลได้ผลเสียกับธุรกิจแต่คนลวงแอบนำมือลั่นไกมาด้วย  เมื่อการเจรจาไม่เป็นผลมือปืนรายนี้ชักปืนเล็งมาที่หัวก่อนลั่นไก แต่ ร.ต.ท.รายนี้ดวงยังแข็งหลบกระสุนได้เลยรอดตายเกือบเป็นหน้า 1 เสียแล้ว *** ข่าววงในแจ้งว่า ร.ต.ท.รายนี้ออกมานอกบ้านด้วยมือเปล่าไม่พกอาวุธปืนมาด้วยและแว่วว่าว่าจะออกหมายจับมือปืนรายนี้มาดำเนินคดีในข้อหาพยายามฆ่า  แต่เป็นวัวสันหลังวะกันทั้งนั้นเลยรอดูท่าทีกันไปก่อน *** เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์อยู่บนรากฐานความพอเพียงมีจำนวนมาก  ไม่นำอำนาจหน้าที่ไปประกอบอาชีพที่ขัดกับกฏหมายแต่ทุกวงการย่อมมีคนที่ทำลายหน่วยงานของตนเองอยู่เสมอเพียงเพื่อประโยชน์ส่วนตัว *** แต่รายนี้ยังคงรอลุ้นเพื่อขยับขึ้นเป็น ผกก.ให้ได้ วันก่อน ลูกโม่.38 มีโอกาสพบ พ.ต.ท.ศุภกร ธนัทพินิจ รองผกก.(ป)สภ.เมืองลำปาง เลยถามตรงประเด็นว่าจะได้ขยับหรือเปล่าเห็นมีเหล็กเส้นหลายคนจะลุ้นขยับขึ้นเช่นเดียวกัน  แต่สวนมาแบบมั่นใจทุ่มเต็มหน้าตักก็แล้วกันแต่ขอเอาใจช่วยด้วยคน *** เห็น พ.ต.ท.หญิงยุพาวัลย์ อินต๊ะขัน อาจารย์ประจำศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภาค 5 อ.ห้างฉัตร สนทนาแบบฉะฉานกับอดีต รมช.มหาดไทย นายไพโรจน์ โล่ห์สุนทร แล้วต้องยกนิ้วให้เลยเพราะตอบคำถามด้วยข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ อย่างนี้เห็นที พล.ต.ต.อุดม พรหมสุรินทร์ ผบก.ศูนย์ฝึกอบรมภาค 5 ต้องให้หลายขั้นในปีนี้ให้สุดๆไปเลย ***ระยะนี้เห็น พ.ต.ท.กำธร ปินตาปลูก สว.สส.สภ.งาว ใช้เวลาว่างจากวันหยุดราชการย่องไปตกแต่งบ้านหลังงามอีกหนึ่งหลังที่ซื้อมาทราบว่าทุ่มเงินหลายแสนบาทหมดไปเป็นค่าตกแต่ง ส่วนงานในหน้าที่ก็ไปโลดยาเสพติดเบาบางขาหนักในอ.งาวหมดฤทธิ์ไปหลายคน *** เจอ พ.ต.ท.โสภณ ผลกันทา รองผกก.(สส)สภ.แม่เมาะ ในงานแห่งหนึ่งยังเข้ามาทักทายลูกโม่.38 ด้วย ดีใจอีกทั้งสั่งว่าหากเหยียบเข้าพื้นที่สภ.แม่เมาะ ต้องมาพบให้ได้อีกทั้งกำชับบอกนักข่าวทุกคนที่คุ้นเคยกันแวะหาด้วยเช่นกัน *** งานรื่นเริงกาชาดและงานฤดูหนาวลำปางที่ผ่านมาก่อนจัดงานมีการแถลงข่าวกันอย่างหน้าบานว่าจะพลิกโฉมใหม่หมดแต่เอาเข้าจริงแล้วก็น้ำเน่าเช่นเคย  อีกทั้งน้ำลดตอผุดรายได้รายเก็บบางอย่างถูกไอ้โม่งงานไปแดกคนเดียวอีกทั้งพูดแซวมาว่าคราวหน้าอยากให้จังหวัดจัดงานสัก 15 วัน *** ทุกวันนี้เห็นใจ นายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จริงๆ ต้องพบกับวิบากกรมซ้ำเติมทุกวัน  แว่วว่าชาวนาในลำปางเริ่มขยับทวงเงินจำนำข้าวอีกแล้วแต่แหล่งข่าวแจ้งว่าในส่วนของลำปางมีเพียงน้อยนิดที่ยังไม่ได้เงิน *** ส่วนชาวไทลื้อใน ต.น้ำโจ้ อ.แม่ทะ และชาวไทลื้อใน ต.กล้วยแพะ มีความเห็นพ้องต้องการเปลี่ยนคนเป็นประธานชมรมไทลื้อคนใหม่ต่างเห็นชอบให้อดีตส.ส.ป้ายแดง มานั่งประธานด้วยเหตุผลที่ว่าคนเดิมหมดไฟแล้ว *** รองฯอธิฐาน วงค์ใหญ่ แจ้งมายัง ลูกโม่.38 ให้กระจายบอกนักข่าวทุกสำนักว่าขณะนี้อดีตนักพาทย์หนังและอดีตช่างภาพและนักข่าวทีวีช่อง 5 ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายพักรักษาตัวอยู่ชั้น 4 ร.พ.ลำปาง ตึกสิทธิเกษม เพื่อนฝูงในแวดวงการข่าวแวะเยี่ยมให้กำลังใจกันได้ ชีวิตคนเราก็เท่านี้ พี่โกศล เหลาทอง นอนรอกำลังใจอยู่ *** จ.ลำปางจะประกาศวันห้ามเผาป่าและขยะในวันที่ 27 มค.นี้เป็นเวลา 100 วัน แต่ถนนสายลำปาง-แม่ทะเลย ม.ราชภัฏลำปาง ไปนิดเดียวมีคนมือบอนจุดไฟเผาหญ้าแห้งริมถนนจนเปลวไฟไหม้หม้อแปลงไฟฟ้าแสงสว่างทางของเทศบาลเมืองเขลางค์นครเสียหายยับเยิน  ทุกวันนี้กลางคืนจึงมืดมิดใช้รถควรระวังตัว *** เรื่องนี้ฝากให้สายตรวจตำบลกล้วยแพะขับรถตรวจตามริมถนนบ้างก็จะดีเจอคนชอบเผาจับมาดำเนินคดีสักรายจะได้มีจิตสำนึกเสียบ้าง โดยเฉพาะ ร.ต.ต.ศรีมูล ธิตา คนโตแถวนี้แสดงฤทธิ์เสียบ้างอย่าเอาใจกับเจ้าของสถานบันเทิงอย่างเดียว *** อย่าลืม วันที่ 2 กพ. 2557 ตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึงบ่าย 3 โมงเย็น เข้าคูหาไปเลือกตั้งเพื่อขย่มเทือกตั้ง เอาคนเก่งคนดีไปเป็นผู้แทนของเราในสภาเลือกคนดีมีผลงานอย่าหลงคารมคนขี้โม้ *** ท้ายฉบับนี้หากอยากรู้เรื่องหลังปางก่อนปรึกษาคนเฒ่าเพราะท่านเกิดก่อนเราจึงรอบรู้


(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 961  17 - 23 มกราคม 2557) 

Share:

วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2557

CEO แม่วังสื่อสาร คนใหม่ "ซันชีโร ภู่อมร" สายเลือดลำปาง


จากการเติบโตของธุรกิจสื่อสารรายใหญ่ในภาคเหนือและเป็นธุรกิจเครื่องมือสื่อสารติดอันดับ 1 ใน 10 ของไทย “แม่วังสื่อสาร” ธุรกิจท้องถิ่นเล็กๆที่ถือกำเนิดขึ้นที่ลำปาง โดยเริ่มจากกิจการนักวิทยุสมัครเล่น (HAM) จำหน่ายทั้งปลีก-ส่ง แก่ส่วนราชการและเอกชนทั่วไป เป็นตัวแทนจำหน่ายวิทยุสื่อสารที่จังหวัดลำปาง โดยขณะนั้นมีพนักงานเพียง 10 คน จากนั้นในปี 2542 ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องจึงหันมาแตกไลน์ทำธุรกิจตัวแทนจำหน่ายโทรศัพท์มือถือแบรนด์ต่างๆ ที่อุทยานการค้ากาดสวนแก้ว จ.เชียงใหม่เป็นสาขาแรก จนถึงปัจจุบันกลายเป็นผู้ค้าปลีกและส่งครบวงจรและเป็นผู้ค้ารายใหญ่ในภาคเหนือ มีสาขาทุกจังหวัดทั่วภาคเหนือรวม 44 แห่ง

เมื่อครอบครัวแม่วังสื่อสาร ได้สูญเสียเสาหลักใหญ่ซึ่งหมายถึง นางดวงนภา ก้อนทอง หรือ  “แม่กล้วย” ซีอีโอผู้ก่อตั้งบริษัท แม่วังสื่อสาร จำกัด ไปเมื่อมกราคม 2557 ที่ผ่านมา ล่าสุดฯบริษัทได้ประกาศตัวซันชีโร ภู่อมร ลูกชายคนโตวัย 33 ปี ในฐานะผู้บริหารสูงสุดคนใหม่สืบทายาทางธุรกิจเป็นที่เรียบร้อย

ซันชีโร ภู่อมร CEO บริษัท แม่วังสื่อสาร จำกัด เปิดเผยว่า แม่วังสื่อสาร เปิดดำเนินการจนถึงขณะนี้รวม 22 ปี ที่ผ่านมาตนเองได้ช่วยงานในบริษัทเป็นบางส่วน โดยหลังจากจบการศึกษาด้านการตลาดจากสหรัฐอเมริกา ก็เริ่มทำงานกับบริษัทในเครือซึ่งเป็นธุรกิจค้าปลีกและส่ง อะไหล่อิเลคทรอนิคส์ ภายใต้แบรนด์ “อมรกรุ๊ป” ทั้งนี้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการบริหารเป็นระยะเวลา 10 ปี ปัจจุบันยังดำรงตำแหน่งอยู่ และเมื่อมารดาของตนเสียชีวิตลง ตนจึงเข้ามาบริหารบริษัทแม่วังสื่อสารด้วยเช่นกัน

“ปัจจุบันธุรกิจสื่อสารแข่งขันกันสูงมากต้องเกาะติดข้อมูลแทบจะวันต่อวัน แม่วังสื่อสารเป็นผู้นำในธุรกิจเครื่องมือสื่อสารอันดับหนึ่งมาโดยตลอด ซึ่งเรามีทีมบริหารที่มีความสามารถและมีวัฒนธรรมองค์กรแบบครอบครัวที่มุ่งเน้นทำธุรกิจด้วยหัวใจของการบริการ เราจึงมีความโดดเด่นเรื่องของความเชื่อมั่นของลูกค้า สามารถอยู่ในระบบการแข่งขันมาอย่างมั่นคง การเข้ามารับหน้าที่ CEOครั้งนี้ ผมจะนำความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่บริหารอมรกรุ๊ปมาพัฒนาด้านธุรกิจและการตลาด โดยเน้นโครงสร้างและ ระบบการบริหาร ที่สามารถขับเคลื่อนตัวเองและส่งต่อการพัฒนา (Drive growth) แต่ยังคงความเป็นหนึ่งด้านบริการของแม่วังสื่อสาร และผมต้องเรียนรู้จากคณะผู้บริหารชุดเดิมเพื่อเดินหน้าพัฒนาบริษัทให้ก้าวไปสู่การแข่งขันทางธุรกิจอย่างมีศักยภาพ”

CEO คนใหม่ยังกล่าวว่า ในส่วนของนโยบายการพัฒนาธุรกิจและองค์กรนั้น มีนโยบายจะใช้นวัตกรรมการบริหารธุรกิจยุคใหม่เข้ามาปรับใช้ โดยเฉพาะการสร้างฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องในธุรกิจและการค้าทุกด้าน ทั้งตัวเลขทางการเงิน การดำเนินงาน ข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้า ข้อมูลเกี่ยวกับพนักงาน หรือข้อมูลในระบบฐานข้อมูลเพื่อใช้เป็นตัวชี้วัดการพัฒนาธุรกิจได้อย่างแม่นยำ และพร้อมจะปรับลุคใหม่ของแม่วัง shop เป็นหน้าร้านแบบไลฟ์สไตล์ชอป ที่มีความทันสมัย สะดวกสบาย ตามเทรนด์ของธุรกิจรุ่นใหม่

นอกจากนี้ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า นอกเหนือจากบริษัทแม่วังสื่อสาร 44 สาขา และ อมรกรุ๊ปซึ่งมีสาขาทั่วประเทศ 66 สาขา ยังมีบริษัทในเครือในกลุ่มค้าปลีกและส่งสินค้าอุปโภค อีก 16 แห่ง ยอดหมุนเวียนในระบบธุรกิจร่วม 50,000 ล้านบาท  โดยในระยะ 5 ปี นี้จะพัฒนาไปสู่การขยายธุรกิจไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่มีประชากรสูง เช่นเวียดนาม ส่วนลาวและพม่า อาจจะต้องรอให้มีความเถียรภาพทางระเบียบกฎหมายการค้าการลงทุน ซึ่งอนาคตแม่วังกรุ๊ปจะเป็นหนึ่งในธุรกิจท้องถิ่นที่ไปเติบโตในอาเซียนแน่นอน


(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 961  24 - 30 มกราคม 2557) 
Share:

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์