วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

ตะวันตก พม่า ล้านนา ความงามตาที่ วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม


นอกเหนือจากวัดพระธาตุลำปางหลวงแล้ว ดูเหมือนวัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดารามจะเป็นวัดยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนเมืองลำปางเรา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่มากับบริษัททัวร์ ฝรั่งหลายคนต่างอมยิ้มเมื่อเข้าไปในมณฑปที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นวิหาร แล้วแหงนหน้าเห็นเทวดาเด็ก หรือทูตแห่งสวรรค์ ประดับอยู่บนเพดาน แสดงถึงอิทธิพลจากศิลปะตะวันตกในยุคนั้น ที่สื่อถึงความรุ่งเรือง รื่นเริง และสรวงสวรรค์

ศิลปกรรมที่วัดแห่งนี้จึงนับว่ามีความหลากหลาย โดยมีการผสมผสานศิลปะล้านนา พม่า และศิลปะตะวันตกเข้าไว้ด้วยกันอย่างน่าสนใจ

เห็นได้ชัดจากวิหารที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2452 โดยเป็นอาคารเรือนยอดซ้อนชั้นที่ภาษาพม่าเรียกว่า เปี๊ยะดั๊ดมาจากคำว่า ปราสาท ในภาษาสันสกฤต หมายถึงอาคารที่มีหลังคาซ้อนเป็นชั้น ๆ สื่อถึงเขาพระสุเมรุ ศูนย์กลางของจักรวาล

ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปบัวเข็มอันศักดิ์สิทธิ์ ลักษณะของวิหารเปิดโล่ง ตกแต่งด้วยงานประดับกระจกอย่างที่นิยมในศิลปะพม่า โดยวัสดุประเภทนี้ช่วยสะท้อนคติความเป็นเมืองแก้วในสวรรค์ ที่เชื่อว่ามีวิมานประดับด้วยแก้วมณี ทั้งนี้ ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 25 ช่างพม่าได้รับวิทยาการด้านการประดิษฐ์แก้วและกระจกมาจากชาติตะวันตก จากนั้นสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในแบบของตนเองได้อย่างลงตัว โดยมีช่างฝีมือคนสำคัญ คือ อูชเวโอเป็นเจ้ากรมหุงแก้วของราชสำนักพม่า สมัยพระเจ้ามินดง เมื่ออูชเวโอเรียนจบจากประเทศฝรั่งเศส เขาได้กลับมาตั้งโรงงานผลิตแก้วขึ้นในเมืองมัณฑะเลย์ นับจากนั้นมา การใช้แก้วและกระจกตกแต่งสถาปัตยกรรมก็แพร่หลายออกไปอย่างรวดเร็ว และแพร่มาถึงล้านนาในที่สุด

เพดานวิหารยังแพรวพราวไปด้วยงานปูนปั้นประดับกระจกปิดทอง นอกจากรูปเทวดาเด็กแล้ว ยังมีกระต่ายประดับอยู่ฝั่งตะวันตกของวิหาร เป็นสัญลักษณ์ของดวงจันทร์มาตั้งแต่โบราณ นอกจากนี้ อย่าลืมมองหาสิงโต ม้า มงกุฎ และอักษรตัว T ที่มองดูแล้วคล้ายตราสัญลักษณ์แบบตะวันตก มีการสันนิษฐานว่าอาจเป็นตราบริษัทสัมปทานไม้ของอังกฤษในเมืองลำปาง แต่ที่น่าสนใจคือภาษาพม่าที่กำกับอยู่ โดย รศ. อุบลรัตน์ พันธุมินทร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แปลได้ว่า ฝีมือช่างมัณฑะเลย์จึงเป็นไปได้ที่อาคารและงานประดับทั้งหมดจะเป็นผลงานของช่างจากเมืองมัณฑะเลย์

สำหรับเจดีย์ที่อยู่ด้านหลังวิหาร ศาสตราจารย์ ดร. ศักดิ์ชัย สายสิงห์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร สันนิษฐานว่า น่าจะมีอายุอยู่ในราวต้นพุทธศตวรรษที่ 21 ร่วมสมัยกับพระธาตุลำปางหลวง รูปแบบเจดีย์ที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ได้รับการบูรณะมาแล้ว แต่ยังคงเค้าโครงของเดิมรูปแบบเดียวกับพระธาตุลำปางหลวง อันเป็นลักษณะเฉพาะของเจดีย์ทรงระฆังในเมืองลำปาง

ด้านชื่อของวัดนั้น เกิดจากการรวมวัดพระแก้วดอนเต้ากับวัดสุชาดารามเข้าไว้ด้วยกัน โดยชื่อนำมาจากชื่อเดิมของสถานที่แห่งนี้ ซึ่งตำนานพระแก้วดอนเต้ากล่าวว่า สมัยที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมา ที่นี่มีชื่อเรียกว่า ม่อนดอนเต้า ส่วน ศ. สุรพล ดำริห์กุล คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เชื่อว่า ชื่อนี้คงเกี่ยวข้องกับตำนานที่เล่าถึงนางสุชาดาได้พบแก้วมรกตในผล บะเต้าหรือแตงโม จากนั้นพระอินทร์ได้นำไปสลักเป็นพระพุทธรูปเรียกว่า พระแก้วก่อนจะประดิษฐานไว้ ณ วัดแห่งนี้ จนนางสุชาดาเสียชีวิตแล้ว จึงอัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดพระธาตุลำปางหลวงจนถึงปัจจุบัน

กล่าวกันว่า พระแก้วองค์นี้มีชื่อและพุทธลักษณะคล้ายกับพระแก้วมรกตที่ประดิษฐาน ณ วัดพระแก้วที่กรุงเทพฯ โดยทำด้วยหินสีเขียว ขนาดหน้าตักกว้าง 6 นิ้วครึ่ง เล็กกว่าพระแก้วมรกตเพียงเล็กน้อย เป็นศิลปะแบบเชียงแสนรุ่นหลัง ปางสมาธิราบ มีชายสังฆาฏิยาวรูปแฉก ที่สำคัญมีประวัติว่าเคยประดิษฐานอยู่ที่วัดพระแก้วดอนเต้าฯ เหมือนกันอีกด้วย

มาถึงวัดพระแก้วดอนเต้าฯ แล้ว ไม่ควรพลาดที่จะไปชมวัดสุชาดารามด้วย วัดแห่งนี้ถูกผนวกเป็นวัดเดียวกับวัดพระแก้วดอนเต้าฯ ทำให้เกิดชื่อวัดที่แสนอ่อนช้อยว่า วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดารามอุโบสถและวิหารหลังเดิมของวัดมีปูนปั้นและลายคำที่สร้างขึ้นราวต้นพุทธศตวรรษที่ 24 ถึงกลางพุทธศตวรรษที่ 25 ซึ่งมีเหลืออยู่เพียงไม่กี่แห่งในตัวเมืองลำปาง

วัดสุชาดารามสร้างขึ้นบริเวณที่เป็นบ้านของนางสุชาดา โยมอุปัฏฐากวัดพระแก้วดอนเต้า เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีของนาง หลังจากที่นางได้รับโทษประหารชีวิตด้วยความเข้าใจผิดและมาปรากฏความจริงในภายหลัง

วิหารของวัดสะท้อนสถาปัตยกรรมล้านนาสกุลช่างเชียงแสน มีปราสาทเฟื้องวางอยู่กลางสันหลังคา อันมีความหมายเกี่ยวกับเขาพระสุเมรุ หน้าวิหารจะเห็นหน้าแหนบ หรือหน้าบันไม้แกะสลักลวดลายพลิ้วไหวมีชีวิตชีวายิ่งนัก ภายในวิหารยังน่าตื่นตาด้วยงานไม้และจิตรกรรมฝาผนังในส่วนต่าง ๆ นับเป็นความงามที่สถิตอยู่ท่ามกลางมุมสงบทางด้านทิศใต้ ใครได้มาชมเป็นต้องหลงใหลในผลลัพธ์ที่สุดแสนลงตัวของวัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม เมื่อศิลปะแบบตะวันตกเดินทางมาพบกับพม่าและล้านนา

(ร้อยเื่รื่องราว ฉบับที่ 925 วันที่ 10-16 พฤษภาคม 2556)
Share:

ยอดหญิงตัวจริง


ในเวลาไม่ห่างกันมากนัก สังคมก็ได้มีโอกาสชื่นชม ยินดีกับความสำเร็จของผู้หญิงไทย อย่างน้อย 1 คน และ 1 กลุ่มใหญ่ ลดทอนบรรยากาศความตึงเครียดของบ้านเมือง ยุคแบ่งขั้ว ฆ่ามัน ลงไปบ้าง ล่าสุดคือชัยชนะของทีมวอลเลย์บอล ที่ตบเอาชนะญี่ปุ่นไปได้ ด้วยชัยชนะขาวสะอาด คว้าแชมป์วอลเลย์บอลหญิงเอเชีย 2013 หลังจากน้องเมย์ รัชนก อินทนนท์ โค่นมือวางอันดับ 1 หลี ซัง ฮุย ขึ้นแท่นแชมป์แบดมินตันโลก ไปได้อย่างสมศักดิ์ศรี ปลุกพลังรักชาติของคนไทยขึ้นมาอีกครั้ง

ต้องยอมรับว่า ทั้งกีฬาแบดมินตัน และวอลเลย์บอล ไม่ใช่กีฬายอดนิยมที่คนส่วนใหญ่สนใจ ติดตาม โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกีฬาชกมวย ฟุตบอล เทนนิส ความยินดีและโอกาสในการเข้าถึงเรื่องราวของกีฬาเหล่านี้มักจะมาพร้อมกับชัยชนะหนึ่งครั้ง ความพ่ายแพ้นับสิบ นับร้อยครั้งกว่าที่เธอเหล่านั้น จะฝ่าฟันมาได้ ไม่มีใครพูดถึง และเมื่อมองไปในอนาคต ไม่นานกระแสนี้ก็จะตกไป กลุ่มคนที่ยังได้ประโยชน์คือสปอนเซอร์หลักสิงห์ ในกรณีของน้องเมย์ และช้างในกรณีของสาวทีมวอลเลย์ ก็ยังได้ทำมาหากิน คืนทุนจากการสนับสนุนไปอีกในระยะยาว

นอกจากรายการกีฬา บันเทิงทางทีวี หนังสือพิมพ์ สิ่งพิมพ์ ที่จะฉกฉวยความสำเร็จนี้ไปใช้หล่อเลี้ยงชีวิต จนกว่ากระแสจะค่อยๆตกไป

น้อยที่สุด ที่คนจะมองไปข้างหลัง เพื่ออธิบายปัจจุบัน หรือเพื่อเป็นบทเรียนในปัจจุบันว่า ความสำเร็จทั้งหลายนี้ไม่ได้มาอย่างง่ายดายเลย และนี่ก็เป็นบทเรียนของคนอื่นๆด้วย ที่ปรารถนาความสำเร็จของชีวิต แต่ปิดตาไม่ยอมรับรู้ว่าจำเป็นต้องเหนื่อยยาก ยาวนาน กว่าจะแลกความสำเร็จเพียงวันเดียว

กรณีน้องเมย์ เธอตีแบดมาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ อดทนฝึกฝนมายาวนาน ถ้าเธอไม่ชนะ ก็คงไม่มีใครรู้จักโรงเรียนกีฬาแบดมินตันบ้านทองหยอด สถานที่บ่มเพาะสาวน้อย จากคนที่ไม่มีใครรู้จัก มาเป็นสาวน้อยที่ไม่มีใครที่ไม่รู้จัก เช่นเดียวกับ วรรณา บัวแก้ว ปิยะนุช แป้นน้อย ทัดดาว นึกแจ้ง ปลื้มจิตร์ ถินขาว อรอุมา สิทธิรักษ์ วิลาวัลย์ อภิญญาพงศ์ อำพร หญ้าผา ฐาปไพพรรณ ไชยศรี นุศรา ต้อมคำ มลิกา กันทอง พรพรรณ เกิดปราชญ์ และอัจฉราพร คงยศ ซึ่งประกอบขึ้นเป็นทีมวอลเลย์บอลหญิงไทย พวกเธอล้วนเป็นลูกชาวบ้านมาจากต่างจังหวัด ไม่เคยปรากฎชื่อเสียงเรียงนามในสังคมมาก่อน

ประการสำคัญ ทุกคนต่อสู้ ฝึกฝน อดทน เพื่อให้ได้มาในวันที่คนไทยทั้งประเทศยิ้มหัวด้วยความสุขนานเฉลี่ยอย่างน้อยเป็นสิบปี

กีฬาสอนคนให้รู้จักแพ้ รู้จักชนะ และรู้จักให้อภัย ความพ่ายแพ้จะบอกให้เรารู้ว่า เรายังฝึกฝนไม่เพียงพอ เรายังแกร่งไม่พอ ฉะนั้นจึงต้องฝึกปรือฝีมือด้วยความมุ่งมั่นไม่ท้อถอย ทั้งกีฬาแบดมินตัน และวอลเลย์บอล คล้ายกับเป็นสิ่งที่งอกออกมาจากคนสายพันธุ์ผิวขาว ตระกูลหมวย เพราะแข่งคราวใดทีมเหล่านี้ยืนแป้นรอชัยชนะอยู่ทุกคราว แต่ชัยชนะสองครั้งของสาวไทย กำลังทำให้ทัศนคตินี้เปลี่ยนไป แต่ในทางตรงกันข้าม ชัยชนะก็ไม่ควรทำให้เราฮึกเหิม ลำพองใจ หากยังต้องฝึกปรือฝีมือ ฝึกฝนความอดทนต่อไป เพราะการรักษาแชมป์นั้นย่อมยากกว่าการชิงชัยหลายเท่า

ร่วมยินดีในชัยชนะของสาวไทย แต่อย่ายึดติดในชัยชนะ จนลืมไปว่าทุกชีวิตย่อมมีวันที่พ่ายแพ้   



 (คม-คิด แร็คลานนา ฉบับที่ 944 วันที่ 20-26 กันยากัน 2556)
Share:

ร้านอาหารปักษ์ใต้ ก๋วยเตี๋ยวเรือสูตรโบราณ เจ๊เหมี่ยว บ้านพักรถไฟ


รถไฟ มาประมาณ 50 เมตร ถนนเส้นนี้จะเป็นบรรยากาศของเมืองลำปางแบบเดิมๆ จะมีต้นฉำฉาหรือจามจุรีต้นใหญ่อายุเกือบร้อยปี เรียงกันยาวบนท้องถนน  มีร้านอาหารทั้งเก่าใหม่เกิดขึ้นหลายร้าน ไม่ว่าจะเป็นร้านส้มตำเก่าแก่ ร้านก๋วยเตี๋ยว อาหารตามสั่ง ข้าวเหนียวปิ้งที่ขายตอนเช้า ร้านส้มตำ น้ำตก ไก่ย่าง ซึ่งถนนเส้นรถไฟนี่เองที่ร้านอาหารปักษ์ใต้ของเจ๊เหมี่ยวเปิดให้บริการอยู่

แต่เดิมเจ๊เหมี่ยวเป็นคนชุมพร แต่งงานกับหนุ่มรถไฟลำปาง แล้วก็อพยพครอบครัวมาอยู่ที่นี่เกือบ 3 ปี ที่เปิดร้านอาหารปักษ์ใต้ ซึ่งเป็นอาหารแนวถนัดเพราะตอนที่อยู่ชุมพรก็ช่วยครอบครัวทำอาหารขายอยู่แล้ว ตอนเช้าประมาณ 6 โมงทำเสร็จก็จะออกวางขายตั้งแต่เช้าจนถึงประมาณบ่ายก็หมด มีทั้งนั่งทานที่นั่น ซื้อใส่ถุงกลับบ้านในราคาถุงละ 25 บาท ข้าวราดแกงสองอย่าง 30 บาท ชนิดจานเดียวอิ่ม แต่รสชาติจัดจ้านมาก สไตล์คนใต้ กลิ่นสมุนไพร แกงเหลือง แกงไตปลา คั่วกลิ้งไก่ น้ำพริกกะปิ แกงเขียวหวาน ขนมหวาน ขนมไทย พอสายหน่อยก็มีก๋วยเตี๋ยวเรือสูตรโบราณ หมูตุ่น เนื้อตุ่น อาหารพิเศษ ไข่ระเบิด น้ำจิ้มสูตรพิเศษ  เส้นเล็ก เส้นใหญ่ หมี่ขาว ลูกชิ้น หมู เนื้อ เครื่องใน จัดเต็มทุกชาม ผักสด หอมใบโหระพา พริกป่นทำเอง หอมมาก เมื่อปรุงรสชาติ เข้ากันกับรสชาติน้ำก๋วยเตี๋ยว


ร้านอาหารปักษ์ใต้  ก๋วยเตี๋ยวเรือสูตรโบราณ บ้านพักรถไฟ ติดกับบ้านพักตำรวจรถไฟ ห่างจากตลาดรถไฟประมาณ 50 เมตรอยู่ฝั่งเดียวกับตลาดรถไฟ เชิญแวะชิมได้ทุกวัน เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ร้านค้าเล็กในชุมชนรถไฟนครลำปางโดยเปลี่ยนบรรยากาศจากห้างร้านใหญ่ แอร์เย็นฉ่ำ มาเป็นบรรยากาศร้านค้าในชุมชน ในราคาเป็นกันเอง ขายกันแบบพี่น้อง และก็นั่งดูรถไฟไปด้วย ได้บรรยากาศสุดๆ นอกจากนี้เจ๊เหมี่ยยังรับจัดอาหารนอกสถานที่อีกด้วย

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 945 วันที่ 27 กันยากัน - 3 ตุลตาคม 2556)
Share:

สืบสานวิญญาณ “สืบ” พลังบริสุทธิ์ ค้านเขื่อนแม่วงก์


ขื่อนน้ำโจน กาญจนบุรี ที่จะกลืนกินผืนป่าตะวันตกมหาศาล ถูกต่อต้านจากสืบ นาคะเสถียร จนกระทั่งล้มเลิกไป วันนี้ศศิน เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร ซึ่งไม่เคยรู้จักคุ้นเคยกับสืบมาก่อน หากแต่ศรัทธาในความเป็นสืบ นาคะเสถียร ที่ใช้ความตายในราวป่า เป็นจุดดาลใจให้ผู้คนตื่นตัวอนุรักษ์ป่าและเขา ได้ทำภารกิจเสมือนสืบจิตวิญญาณของสืบในการคัดค้านการสร้างเขื่อน ซึ่งกินพื้นป่าเขาเป็นบริเวณกว้างในเขต 3 จังหวัด นครสวรรค์ อุทัยธานี และกำแพงเพชร

และต่อสู้กับนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี พรานจระเข้ ที่ยืนกรานสร้างเขื่อน

เสียงปืนนัดนั้น ดังมาถึงวันนี้ ยังมีพลังพอที่จะต้านทานอำนาจรัฐในการสร้างเขื่อนแม่วงค์หรือไม่

เปรี้ยง....!!!

"..เช้าวันที่ ๑ กันยา ในราวป่าเสียงปืนกึกก้อง"

เสียงเพลงท่อนหนึ่งของแอ๊ด คาราบาว อธิบายภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนรุ่งสางวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๓๓ ณ บ้านพักหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี

สิ้นเสียงก้องกังวาน ชีวิตของสืบ นาคะเสถียร ก็สิ้น

สืบ นาคะเสถียร เป็นหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง

"วันแรกที่เขาเข้ารับตำแหน่งในเดือนธันวาคม ๒๕๓๒ เขาก็ออกจับไม้เถื่อน ไปดูพื้นที่ในป่าประดู่ที่ถูกโค่นกว่า ๒๐๐ ต้น เพื่อแปรรูปในป่า สืบไม่พูดอะไร เดินก้าวยาวๆ ออกมาดูท่อนไม้ตามทางในป่าโดยไม่สนใจว่าใครจะตามทันหรือไม่ ไม่กลัวหลงป่า ไม่กลัวการลอบทำร้าย..."
(สารคดี ตุลาคม ๒๕๒๓)

นี่คือสิ่งที่เขาสู้มาทั้งชีวิต ป่าและสัตว์ป่า แต่ด้วยอำนาจและอิทธิพลของผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายในประเทศนี้ ที่มีอยู่เหนือข้าราชการ สืบ จึงทำได้แต่เพียง "ร้องขอ" ขอ ขอ ๆ จนไม่มีเสียงจะร้องขออีก

ในที่สุดเขาก็เลือกที่จะให้ชีวิต เป็นการร้องขอครั้งสุดท้าย

ไม่ถึงสองสัปดาห์ หลังจากการตายของสืบ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี นายทหาร ข้าราชการที่เกี่ยวข้อง ต่างระดมสมองเพื่อกำหนดมาตรการดูแลป้องกันสัตว์และป่าอย่างคึกคัก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทุกสิ่งก็กลับคืนสู่วงจรอุบาทว์อีกครั้งหนึ่ง

ไม่นานวันจากสืบ สิ้น กระแสอนุรักษ์แผ่ขยายไปในวงกว้าง จนถึงวันที่พลังบริสุทธิ์ออกมาต้านการสร้างเขื่อนแม่วงค์ ในท่ามกลางสื่อรัฐและเอกชนจำนวนหนึ่ง ที่เย็นชาอย่างยิ่งในเรื่องนี้

กว่า 20  ปีแล้ว ที่สืบ นาคะเสถียร จากไป แต่เชื้อชั่วของคนที่ทำลายป่า ล่าสัตว์ และสร้างเขื่อนยังไม่หมดไป

 (หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 945 วันที่ 27 กันยากัน - 3 ตุลตาคม 2556)
Share:

วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

ขายไฟให้หลวง พลังงานทดแทน ทำเงิน


รัฐดันนโยบายส่งเสริมพลังงานทดแทน เปิดทาง กฟภ.รับซื้อไฟฟ้าจากการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาจากครัวเรือน  ธุรกิจรับติดตั้งแผงโซล่าเซลล์บูม สต๊อคของรองรับผู้ลงทุนยื่นขายไฟฟ้า ปี 56  ขณะที่คณะกรรมการผู้ใช้พลังงานระบุ ยังมีพื้นที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึงอีกมาก ผุดโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนแก้ปัญหา

นายพร้อมพงษ์ วงค์มณีนิล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) เขต 1 เชียงใหม่ เปิดเผยในโอกาสประชุมพบปะสื่อมวลชน 6 จังหวัดภาคเหนือเพื่อประชาสัมพันธ์บทบาทหน้าที่ในการกำกับกิจกรรมพลังงาน และพิทักษ์สิทธิของผู้ใช้พลังงานตามกฎหมาย ที่จังหวัดเชียงราย และในวันที่ 22 ก.ย. 2556 ศึกษาดูงานโครงการใช้พลังงานทดแทนจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำ บ้านแสงแควพัฒนา ต.แม่ยาว อ.เมือง เชียงราย ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึง ได้กล่าวว่าขณะนี้ประเทศไทยมีแนวโน้มความต้องการใช้พลังงานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง  โดยทั่วโลกหันมาให้ความสนใจเรื่องพลังงานทดแทนมากขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มพลังงานไฟฟ้า เริ่มมีการใช้พลังงานทดแทนจากแผงโซล่าเซลล์ และมีโรงงานไฟฟ้าพลังงานชีวมวลและโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำเพื่อใช้ในชุมชน บ้านเรือนที่อยู่อาศัยกันและ เพื่อการเกษตรมากขึ้น 

ล่าสุดคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้มีประกาศคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่องการรับซื้อไฟฟ้าจากการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา พ.ศ.2556 ให้การไฟฟ้านครหลวงประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ติดตั้งบนหลังคา (Solar PV Rooftop) ที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ โดยมีปริมาณพลังไฟฟ้าที่รับซื้อ และราคารับซื้อไฟฟ้า เป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ว่าด้วยการรับซื้อไฟฟ้าจากการผลิตไฟฟ้า พลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา พ.ศ. 2556 อัตรารับซื้อไฟฟ้า จากบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ไม่เกิน 10 กิโลวัตต์ ต่อ 1 หลังคาเรือน รับซื้อในอัตราหน่วยละ 6.9 บาท อาคารธุรกิจขนาดเล็ก กำลังการผลิตต่อราย ตั้งแต่ 10-250 กิโลวัตต์ ในอัตราหน่วยละ 6.55 บาท อาคารประเภทโรงงาน กำลังการผลิตต่อราย มากกว่า 250-1,000  กิโลวัตต์ ในอัตราหน่วยละ 6.16 บาท

 เป็นเรื่องน่ายินดี ขณะนี้รัฐบาลส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนจากแผงโซล่าเซลล์โดย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจะรับซื้อพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา ( Solar PV Rooftop )โดย เปิดให้ประชาชนที่สนใจติดตั้งแผงโซล่าเซลเพื่อผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขายให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) ซึ่งเปิดยื่นคำขอ ขายไฟฟ้าได้ที่ กฟภ. ทั้ง 12 เขตทั่วประเทศตั้งแต่ วันที่ 23 กันยายน 2556 ที่ผ่านมา นับเป็นจุดเริ่มต้นว่าจากนี้ไปการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนจะเป็นรูปธรรมและขยายวงกว้างมากขึ้น" 

นายอดิศร มหามงคล นักวิศวกรไฟฟ้า ในฐานะกรรมการบริษัท อนันตพลังงาน จำกัด เปิดเผยว่า จากประสบการณ์ที่คลุกคลีอยู่ในวงการธุรกิจพลังงานมากกว่า 20 ปีซึ่งตนให้ความสนใจเรื่องพลังงานทดแทน และทำธุรกิจเกี่ยวกับไบโอแก๊ซมากก่อน แต่ขณะนี้กระแสพลังงานทดแทนเริ่มเป็นกระแสที่ทั่วโลกให้ความสนใจ และถือเป็นธุรกิจเทรนด์ใหม่ในประเทศไทย เนื่องจากพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานสะอาด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพราะเริ่มมีผู้สนใจหันมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์ จากแผงโซล่าเซลล์กันมากขึ้น ทั้งกลุ่มผู้มีที่อยู่อาศัยห่างไกลชุมชน และกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าเพื่อการเกษตร รวมถึงผู้ใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือนทั่วไปจึงหันขยายประเภทธุรกิจ มารับจำหน่ายและติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ในพื้นที่ภาคเหนือ โดยมีสำนักงานตั้งอยู่ อำเภอห้างฉัตร จ.ลำปาง

"ผมเริ่มทำธุรกิจนี้มาได้ ระยะหนึ่ง และจากนโยบายรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาของรัฐบาลที่เพิ่งประกาศ และเปิดให้ประชาชนที่สนใจเข้าไปยื่นเอกสารเพื่อขอขายไฟฟ้าให้กับ กฟภ.ได้แล้วนั้น ผมได้ลงทุนในธุรกิจนี้ ประมาณ 3 ล้านบาท โดยนำเข้าอุปกรณ์ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ด้วยแผงโซล่าเซล ขณะนี้มีสต๊อคไว้มากกว่า 500 แผ่น เพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มที่ ประสงค์จะลงทุน และยื่นขอขายไฟฟ้าในโครงการ  Solar PV Rooftop ขณะนี้มีลูกค้ากลุ่มวิศวกร และนักธุรกิจ รวมถึงบุคคลทั่วไปที่สนใจเรื่องพลังงานที่ติดตามโครงการนี้ของรัฐบาลและเป็นผู้ที่อยู่ระหว่างดำเนินการยื่นขอขายไฟฟ้าให้ กฟภ. ติดต่อมาเพื่อซื้อระบบผลิตไฟฟ้าแล้วประมาณ 20 รายแล้ว ส่วนต้นทุนติดตั้งอยู่ที่ประมาณ 3-7 แสนบาท ตามขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้า" 

อย่างไรก็ตามกล่าวว่า ธุรกิจรับติดตั้งแผงโซล่าเซล นับเป็นธุรกิจใหม่ในระดับภูมิภาค ซึ่งเป็นธุรกิจที่ต้องมีความเชี่ยวชาญ ด้านวิศวกรไฟฟ้าและก่อสร้าง ส่วนจะมีคู่แข่งหรือไม่นั้น เชื่อว่าต้องมีธุรกิจนี้เกิดขึ้นอีกมาก แต่ตนไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก แต่จะวางธุรกิจของบริษัทให้เป็นผู้ดูแลลูกค้าอย่างมีคุณภาพ ทั้งการเลือกวัสดุที่มีคุณภาพ การติดตั้ง ราคาไม่สูงจนเกินไปที่สำคัญ มีบริการดูแลเรื่องเอกสารระเบียบการที่เกี่ยวข้องในเรื่องการติดตั้งและขอขายไฟฟ้าให้กับลุกค้า เป็นจุดแข็งของการตลาด

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 945 วันที่ 27 กันยากัน - 3 ตุลตาคม 2556)
Share:

โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ ทางออกไฟฟ้าเข้าไม่ถึงชุมชน


นายจรูญ คำปันนา ประธานคณะกรรมการผู้ใช้พลังงาน (คพข.) ประจำเขต 1 เผยว่า ข้อมูลจาก การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 6 จังหวัดภาคเหนือ มีหลายพื้นที่ที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ เนื่องจากสายส่งเข้าไม่ถึง โดยรัฐบาลมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาขยายเขตไฟฟ้าเฉลี่ย ครัวเรือนละ 5 หมื่นบาท แต่หาก อยู่ในพื้นที่ห่างไกลที่ระบบสายส่งต้องมีต้นทุนสูงกว่าที่กำหนดจึงติดปัญหาในเรื่องงบประมาณ และบางส่วนติดปัญหาพื้นที่ป่าสงวน อุทยานและเขตป่าตามที่กฎหมายมีข้อห้าม ถือเป็นอุปสรรคหนึ่งต่อการขยายเขตไฟฟ้าใหม่ เช่นเดียวกันที่จังหวัดลำปาง เขต บ้านแม่ส้านอยู่ห่างจากโรงไฟฟ้าเพียง 30 ก.ม.แต่ระบบไฟฟ้ายังเข้าไปไม่ถึง ซึ่งต้องใช้เวลาในการผลักดันมายาวนานมาก ทั้งนี้สำนักงาน กกพ. ร่วมกับ คณะกรรมการผู้ใช้ไฟ (คพข.ประสานงานร่วมมือกันทุกฝ่าย เพื่อเชิญทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงตัวแทนผู้นำหมู่บ้านที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ มาประชุมหารือแนวทางออกร่วมกัน ส่งผลให้บางพื้นที่ได้รับการพิจารณาขยายเขตไฟฟ้าใช้ได้แล้ว และเร่งสำรวจพื้นที่ และเข้าไปประสานงานช่วยเหลือประชนพื้นที่ ไฟฟ้ารับเข้าไมได้ ก็ มีทางเลือกโดยใช้ไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนรูปแบบต่างๆ เช่นเดียวกับหมู่บ้านตัวอย่าง บ้านสองแควพัฒนา ตงแม่ยาว อ.เมือง เชียงราย และหมู่บ้านสามขา อ.แม่ทะ จงลำปาง ที่ใช้ไฟฟ้า จากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำจากลำห้วย เป็นต้น

นายพงษ์พันธ์  ต๊ะถา นายกเทศมนตรีตำบลแม่ยาว อ.เมือง จ.เชียงราย ประธานดำเนินโครงการพลังงานไฟฟ้าพลังน้ำ หมู่บ้านแสงแควพัฒนา ต.แม่ยาว อ.เมือง จ.เชียงราย เผยว่า จากปัญหาระบบไฟฟ้าจากรัฐบาลเข้าไม่ถึงเขตตำบลแม่ยาวซึ่งเป็นชุมชนที่มีชนเผ่าอาศัยอยู่หลายชนเผ่า แม้จะเป็นพื้นที่เขต อ.เมือง แต่เนื่องจากเป็นพื้นที่เขตภูเขา และพื้นที่ป่า มีอุปสรรคมากมายทั้งเรื่องพื้นที่และงบประมาณการขยายเขตไฟฟ้ามาถึง นายกเทศมนตรีคนก่อนซึ่งได้เสียชีวิตไปแล้วได้ริเริ่มโครงการนวัตกรรมพลังงานทดแทนขึ้นมาแก้ปัญหา โดยการใช้พลังงานน้ำจากลำห้วยจากภูเขาที่ไหลผ่าน เป็นแหล่งกำเนิดไฟฟ้าผ่านเครื่องกำเนิดไฟฟ้า และสร้างระบบสายส่งนำไฟฟ้าเข้าใช้เป็นไฟสาธารณะของหมู่บ้านเป็นโครงการแรก เมื่อใช้ได้ผลจึงขยายกำลังการผลิตไฟฟ้า เป็นโรงงานไฟฟ้าพลังงานน้ำขนาด 40 กิโลวัตต์ ส่งไฟฟ้าใช้ในหมู่บ้าน ประมาณ 40 ครัวเรือน เก็บค่าฟ้าเดือนละ 20 บาท ต่อ 1 ครัวเรือน  โดยโครงการนี้ได้งบประมาณจากการลงขันของชาวบ้าน และเงินสนับสนุนจากเทศบาล รวมถึงองค์การสหประชาชาติ ได้นำงบประมาณเข้ามาอุดหนุน

 อย่างไรก็ตาม  นายอนุชา อำนาจสกุล สท.แม่ยาว กล่าวว่า พลังงานไฟฟ้าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความเป็นอยู่ เมื่อมีข้อจำกัดเรื่องการใช้ไฟฟ้าจากรัฐบาล ก็ต้องหันมาใช้พลังงานทดแทนจากธรรมชาติ ซึ่งขณะนี้ โรงไฟฟ้าพลังน้ำบ้านสองแควพัฒนา จะเป็นต้นแบบและขยายโครงการไปยังหมู่บ้านอื่นๆ ในเขตตำบลแม่ยาว ซึ่งทั้งหมด เป็นหมู่บ้านชนเผ่า ให้ได้มีไฟฟ้าใช้ได้เช่นเดียวกับชุมชนเมือง

 (หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 945 วันที่ 27 กันยากัน - 3 ตุลตาคม 2556)
Share:

รวบหัวขโมย ลักถังแก๊ส ใช้หนี้นอกระบบ


เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 21 ก.ย.56   เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวน สภ.เมืองลำปาง นำโดย พ.ต.ท.วชิรศักดิ์ ศรีประสม สว.สส.  ร.ต.อ.ณัฐพจน์ คำชมพู รอง สว.สส.  พร้อมชุดสืบสวน ได้ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมนายวีระชาติ ขินแก้ว อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 37 หมู่ 5 ต.บ้านขอ อ.เมืองปาน จ.ลำปาง ผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์ พร้อมของกลางหลายรายการ เช่น  โน้ตบุ๊ก  ถังแก๊สหุงต้มขนาด 15 ก.ก.  กระเป๋าสะพายข้างของผู้หญิง ฯลฯ โดยเจ้าหน้าที่สามารถติดตามตัวได้จากหมายเลขทะเบียนรถจักรยานยนต์ที่ใช้ก่อเหตุ และกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งตามสี่แยกไฟแดงต่างๆในเขต อ.เมือง ลำปาง  ซึ่งขณะที่แถลงข่าวได้มีเจ้าทุกข์ที่ถูกนายวีระชาติลักทรัพย์ไปจำนวนหลายรายเดินทางมาดูทรัพย์สินและชี้ตัวผู้ก่อเหตุด้วย 

ร.ต.อ.ณัฐพจน์ คำชมพู  เปิดเผยว่า  จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้มีคนร้ายก่อเหตุลักถังแก๊สที่ร้านข้าวซอยอิสลาม ถ.ปงสนุก ต.เวียงเหนือ ผู้เสียหายจำได้ว่าคนร้ายใช้รถจักรยานยนต์ฮอนด้าดรีม สีดำ จำหมายเลขทะเบียนได้คือ 349 ลำปาง เจ้าหน้าที่ได้สืบสวนหาตัวคนร้ายอย่างต่อเนื่องทั้งจากเลขทะเบียนรถ และกล้องวงจรปิดที่สามารถจับภาพได้ขณะก่อเหตุ จนกระทั่งทราบว่าคือ นายวีระชาติ ขินแก้ว จึงได้ควบคุมตัวมาทำการสอบสวน พร้อมกับเข้าตรวจสอบที่ห้องพักของนายวีระชาติและภรรยา ย่าน ถ.รอบเวียง ต.สวนดอก  พบโน้ตบุ๊กสีดำ-น้ำตาลวางอยู่บนเตียงภายในห้องพัก ซึ่งลักษณะตรงกับที่มีเจ้าทุกข์ได้แจ้งหายไว้เมื่อวันที่ 14 ก.ค.ที่ผ่านมา จึงยึดไว้เป็นของกลาง  นอกจากนั้นยังพบเสื้อผ้าที่นายวีระชาติใส่ในวันก่อเหตุ ซึ่งตรงกับที่ภาพจากกล้องวงจรปิดบันทึกไว้ได้ด้วย  นายวีระชาติจึงจำนนท์ต่อหลักฐาน และยอมรับสารภาพว่าเคยได้ก่อเหตุลักทรัพย์มา 7 คดี ตั้งแต่เดือน ก.พ. ได้ลักถังแก๊สร้านอาหารหน้าสถานีรถไฟ 1 ถัง ต่อมาเดือน ก.ค. ได้ลักถังแก๊สที่บ้านเลขที่ 75-76  ถ.ตลาดรัฐ ต.สบตุ๋ย   เดือน ส.ค. ได้ก่อเหตุลักถังแก๊สร้านข้าวซอยอิสลาม ถ.ปงสนุก ต.เวียงเหนือ  และร้านอาร์มมี่เย็นตาโฟ ชุมชนบ้านศรีปงชัย   และในเดือน ก.ย.ได้ก่อเหตุ 4 คดี คือ ลักถังแก๊สและลักทรัพย์ผู้ที่วางกระเป๋าไว้หน้ารถจักรยานยนต์ ได้เงินสด กว่า 10,000 บาท สร้อยคอทองคำหนัก 1 สลึง 1 เส้น  และไอแพด 1 เครื่อง โดยกล้องวงจรปิดสามารถจับภาพได้ชัดเจน 

ด้านนายวีระชาติ  รับสารภาพว่า ตนเองตกงานและทางครอบครัวมีหนี้สินเงินกู้นอกระบบอยู่ จึงได้ออกตระเวนลักทรัพย์ ถ้าเห็นอะไรก็จะเอามาหมด โดยถังแก๊สที่ขโมยมานำไปขายได้ถังละ 1,000 บาท ส่วนทรัพย์สินก็จะนำไปขายและนำเงินสดมาจ่ายหนี้สินของครอบครัว  ทั้งนี้หลังทำการสอบสวนแล้ว จึงได้นำตัวนายวีระชาติส่งให้พนักงานสอบสวน สภ.เมืองลำปางดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป  

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 945 วันที่ 27 กันยากัน - 3 ตุลตาคม 2556)
Share:

รวยไม่มีเหตุผล ตำรวจรวบหนุมเดนคุกค้ายา


ตำรวจสืบสวนภูธรจังหวัดลำปาง ตามจับคดียาเสพติด  2 ราย พ้นคุกออกมายังไม่เข็ดผันตันเองเป็นเอเย่นต์ใหญ่ ตำรวจสงสัยไม่ทำงานแต่เงินไม่ขาดมือ จึงตามดูพฤติกรรมจนรู้ว่าขายยาบ้ายาไอซ์ตามจับเข้าคุกอีกรอบ ส่วนอีกรายจับรายย่อยขยายผลได้รายใหญ่   รวมของกลางยาบ้า 1 หมื่นเม็ด ไอซ์ 54 .10 กรัม

เมื่อเวลา 11.00น.วันที่ 20 ก.ย.56 ที่ห้องประชุม ภ.จว.ลำปาง พล.ต.ต.พรชัย พักตร์ผ่องศรี ผบก.จว.ลำปาง พร้อมด้วย พ.ต.อ.มรกต ไศละบาท รอง.ผบก. พ.ต.ท.ปริญญา ชัยเวลา สวป.สภ.เมือง หน.ชุด ปปส. และเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกจำนวน ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมตัวนายกิตติชัย หรือหน่อง ม่งเชื้อ อายุ 29 ปี บ้านเลขที่ 111 ซอย 1 ถ.บ้านดงพัฒนา ต.บ่อแฮ้ว อ.เมือง จ.ลำปาง พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 3,309 เม็ด ยาไอซ์ 54.10 กรัม เงินสดจำนวน 150,640 บาท รถยนต์กระบะยี่ห้อ โตโยต้า วีโก้ ทะเบียน นร 8209 ลำปาง  1 คัน รถจักรยานยนต์ 1 คันโทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง  โดยผู้ต้องหาให้การับสารภาพว่า หลังพันโทษจำคุกในคดียาเสพติดจากเรือนจำกลางลำปาง ออกมาได้ประมาณ 1 ปี ก็หันกลับไปค้ายาเสพติดอีก โดยผันตัวเองขึ้นเป็นเอเย่นต์ใหญ่ ซื้อยาบ้ามาครั้งละ 1-2 มัดๆละ 1.4 แสนบาทแล้วนำมาแบ่งออกปล่อยให้กับเอเย่นต์รายย่อยอีกที่หนึ่ง จนกระทั้งมาถูกจับกุมตัวได้ในที่สุด แต่ขณะแถลงข่าวทางเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมไม่ได้นำตัวนายกิตติชัยมาร่วมแถลงข่าวด้วย เนื่องจากกำลังอยู่ระหว่างคุมตัวไปสอบสวนเพื่อขยายผลอยู่ในขณะนี้  

ทั้งนี้จากการติดตามพฤติกรรมของนายหน่อง พบว่า หลังออกจากคุกมาแล้วนายหน่องก็ไม่มีงานการทำเป็นหลักแหล่ง แต่กลับมีเงินทองใช้สอยอย่างไม่ขาดมือ เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน นำโดยการนำของ พ.ต.ท.ปริญญา ชัยเววา สวป. สภ.เมือง จึงได้พยายามติดตามพฤติกรรมจนทราบแน่ชัดว่านายหน่อง เพิ่งจะไปรับยาบ้ามาแบ่งขายให้กับกลุ่มผู้ค้ารายย่อย จึงได้ของหมายศาล จว.ลำปาง เลขที่ 1088/2556 ลงวันที่ 19 ก.ย.2556 เข้าตรวจค้นบ้านของหน่อง เมื่อเวลาประมาณ 14.00น วานนี้ หลังทำการตรวจค้นโดยละเอียดพบของกลางยาบ้าจำนวน 3,309 เม็ดซุกซ่อนอยู่ในรถยนต์กระบะของนายหน่อง ที่จอดอยู่หน้าบ้าน และเงินสดอีก 150,640 บาท จึงคุมตัวมาทำการสอบสวน  


สวนอีกรายเมื่อเวลา 01.30 น.วันที่ 20 ก.ย.56 โดยการนำของ พ.ต.อ.สังเวียน อินตากูล ผกก.สส กก.สส.ภ.จว.ลำปาง พ.ต.ท.จิรพัส เกิดลาภผล สว.กก.สส.ฯ พ.ต.ต.ทบทอง บุญหลง สว.กก.สส.ฯพร้อมลูกชุด เข้าจับกุมนายภาคภูมิ (อิว) ฮะตะกูล อายุ 23 ปี บ้านเลขที่ 386/5 ม. 5 ต.บ่อแฮ้ว อ.เมือง จ.ลำปาง นายศตวรรษ (แอ้น) ธรรมลังกา อายุ 44 ปี บ้านเลขที่ 38 ม.2 ต.ปงแสนทอง อ.เมือง จ.ลำปาง นายจักรพันธ์ นิลเกษม อายุ 23 ปี บ้านเลขที่ 13/8 ม.3 ต.หลวงใต้ อ.งาว จ.ลำปาง พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 5,800 เม็ด ได้ที่ห้องพักหมายเลข 8 โรงแรมทองธนา ชุมชนศรีชุมป่าไผ่ ถ.ลำปาง-แม่ทะ อ.เมือง จ.ลำปาง   ทั้งนี้ก่อนการจับกุมนายจักรพันธ์ นิลเกษม ได้นั้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการจับกุมตัว นายภาคภูมิ (ฮิว) ฮะตะกูล อายุ 23 ปี บ้านเลขที่ 386/5 ม. 5 ต.บ่อแฮ้ว อ.เมือง จ.ลำปาง พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 150 เม็ด และจับกุมตัวนายศตวรรษ (แอ้น) ธรรมลังกา อายุ 44 ปี บ้านเลขที่ 38 ม.2 ต.ปงแสนทอง อ.เมือง จ.ลำปาง พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 190 เม็ด ขณะที่ทั้ง 2 คน กำลังจะนำยาบ้าออกไปส่งให้ลูกค้า เมื่อนำตัวมาทำการสอบสวนทั้งนายฮิว และนายแอ้น รับสารภาพว่าไปรับยาบ้ามาจากนายจักรพันธ์ นิลเกษม ซึ่งเป็นเอเย่นต์ใหญ่ ที่นำยาทั้งหมดมาส่งให้พวกตนเอง และขณะนี้นายจักรพันธ์ ก็ไปเปิดห้องพักอยู่ที่โรงแรมทองธนา ห้องหมายเลข 8 ย่านชุมชนศรีชุมป่าไผ่ เพื่อรอรับเงินค่ายาบ้า จากนั้นทางชุกจับกุมจึงติดตามไปจับกุมตัวนายจักรพันธ์ ตามที่ถูกกล่าวอ้าง เมื่อทำการตรวจค้นพบยาบ้าจำนวน 5,800 เม็ดวางซุกอยู่ข้างซอกเตียงนอนจึงยึดไว้เป็นของกลาง จากนั้นจึงนำตัวไปทำการสอบสวน ซึ่งผู้ต้องหายอมรับสารภาพว่า ทำการสั่งซื้อยาบ้าทางโทรศัพท์จากพวกเอเย่นต์ในต่างอำเภอครั้งประมาณ 1-2 มัดจากนั้นจึงนำมาแบ่งแล้วส่งให้นายฮิว และนายแอ้น เป็นคนนำไปส่งให้ลูกค้าตามจุดต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมาก็สามารถหลบหลีกเจ้าหน้าที่ตำรวจมาได้โดยตลอก จนมาวันนี้กลับถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมตัวขณะนอนรอรับเงินค่ายาบ้าได้โดยง่าน เพราะคิดไม่ถึงว่าคนเดินยาทั้ง 2 คนจะถูกจับกุมตัวได้แล้วซัดทอดมาถึงตนเอง

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 945 วันที่ 27 กันยากัน - 3 ตุลตาคม 2556)
Share:

ตาวัย 75 โหยหา 11คนพี่น้อง ผูกคอตายศาลาวัด


เมื่อเวลาประมาณ 05.30 น. วันที่ 20 ก.ย. 56   ร.ต.ท.ณรงค์ อินตา ร้อยเวร สภ.เมืองลำปาง ได้รับแจ้งว่ามีคนผูกคอนตายที่ศาลาการเปรียญ  วัดท่าคราวน้อย ต.สบตุ๋ย อ.เมือง จ.ลำปาง จึงพร้อมด้วย แพทย์นิติเวช โรงพยาบาลลำปาง และเจ้าหน้าที่กู้ภัยเทศบาลนครลำปาง เข้าตรวจสอบเหตุ  ที่เกิดเหตุบริเวณหน้าต่างชั้น 1 ศาลาการเปรียญ  พบศพนายบุญมา ลักกาพร อายุ 75 ปี อยู่บ้านเลขที่ 165 ถ.ท่าคราวน้อย ต.สบตุ๋ย อ.เมือง จ.ลำปาง ใช้เชือกในร่อน ผูกคอตัวเองห้อยโตงเตงข้างหน้าต่าง โดยมีเก้าอี้ล้มในที่เกิดเหตุ 1 ตัว สภาพศพหงายหน้าขึ้น ปมเชือกอยู่ด้านหน้าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง

นายวัตร วงศ์ปัญ อายุ 50 ปี หลานผู้ตาย ให้การว่า ประมาณ 05.00น.ตนเองได้ออกจากบ้านมาที่ลานวัดแห่งนี้ เพื่อออกกำลังกาย เนื่องจากมีสถานที่ออกกำลังกายประจำชุมชน และขณะเดินผ่านจุดดังกล่าวได้สังเกตุเห็นคนยืนอยู่ตอนแรกทักก็ไม่มีเสียงตอบ จึงเข้าไปดูใกล้ๆพบว่ามีคนผูกคอตาย และเป็นน้าของตัวเอง จึงรีบกลับบ้านไปแจ้งลูกหลานให้มาดู ส่วนสาเหตุนั้น ญาติให้การว่า ผู้ตายมีโรคประจำตัวคือร่างกายไม่ค่อยมีแรงในซีกซ้าย  ทำให้การเดินทางไปไหนค่อนข้างลำบาก และทุกเช้าจะออกจากบ้านมาออกกำลังกายที่นี่เป็นประจำ ล่าสุดบ่นว่า คิดถึงพี่น้องทั้งหมด 11 คนแต่เสียชีวิตไปหมดเหลือตนคนเดียว และเช้าวันนี้ผู้ตายได้ออกจากบ้านประมาณ 03.00น. เพื่อมาออกกำลังกาย แต่ก็ได้มาคิดสั้นใช้เชือกผูกคอตายดังกล่าว

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 945 วันที่ 27 กันยากัน - 3 ตุลตาคม 2556)
Share:

วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556

“ดาชัย” พรรคเด็กน้อย ?


แม้ไปไม่ถึงดวงดาว แต่ชัยชนะประเดิมชัยของพรรคการเมืองหน้าใหม่ พลังประเทศไทย ในสนามเลือกตั้งท้องถิ่นเทศบาลพิชัย กวาดไป 7 ที่นั่ง ก็นับว่าเป็นประกันชื่อ ชั้น ของนายดาชัย อุชุโกศลการ หัวหน้าพรรคได้ว่า ไม่เป็นสองรองใคร และหากเขาคิดว่าชัยชนะสนามเล็กครั้งนี้ จะเป็นสปริงบอร์ด ให้ดาชัย และนักการเมืองในสังกัด ทะยานไปสู่บทบาทนักการเมืองระดับชาติในอีกราว 2 ปีข้างหน้า  ก็คงพอจะคิดฝันได้

แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ยังมีอีกมากมายที่ดาชัย อุชุโกศลการ จะต้องฝ่าฟันทั้งศึกนอก และศึกสายเลือด ในสายพรรคเพื่อไทย อันมีนายไพโรจน์ โลห์สุนทร ยืนเป็นปราการที่แข็งแกร่งอยู่

เมื่อคิดถึงนายดาชัย ปรากฏการณ์ในแบบที่นายสมัคร สุนทรเวช สามารถบันดาลให้มีส.ส.ในสภา โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพ กวาดไป 29 ที่นั่ง จาก 32 ที่นั่ง ในการเลือกตั้งครั้งแรกในนามพรรคประชากรไทย เมื่อเดือนเมษายน 2522 หรือกระทั่งคว้าชัยชนะอย่างถล่มทลาย 32 ใน 35 ที่นั่ง พื้นที่กรุงเทพ ของพรรคพลังธรรม ภายใต้ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เมื่อเดือนมีนาคม 2535 ซึ่งเป็นการแจ้งเกิดครั้งแรกของพรรค ก็น่าจะฝันไกลและไปถึงได้ จากพิชัยโมเดล ไปสู่ลำปางโมเดล

แต่การเมืองไม่ใช่เรื่องของโชค ไม่ใช่เรื่องของการขันแข็งในการลงพื้นที่หาเสียง หรือแม้แต่การแสดงราคาความเป็นนักการเมืองที่โดดเด่นในพื้นที่ของสื่ออย่างโจ่งแจ้ง ชัดเจน จนไม่น่าเชื่อว่า นั่นเป็นการปรากฎตัวของนักการเมืองที่ไม่ต้องจ่ายค่าตัวให้สื่อ แลกกับพื้นที่โฆษณา

อิมเมจเมกเกอร์ของนายดาชัย  อุชุโกศลการ ยังต้องทำการบ้านหนักกว่านี้ ในการแสดงตัวตนที่ชัดเจนของนายดาชัย ในภาพของนักการเมืองคุณภาพ ที่ไม่ฉาบฉวยไปกับความคิดเห็น หรือทัศนคติที่บางเบาในการต่อสู้ทางการเมือง เช่น การลิงโลดในชัยชนะในการที่ กกท.ไม่รับรองการเลือกตั้งคณะกรรมการสมาคมกีฬา หรือ การที่ ป.ป.ช. ดำเนินการตามปกติในเรื่องนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม

พูดให้ฟังง่าย คือนายดาชัย อุชุโกศลการ ยังไม่มีภาวะผู้นำเพียงพอ ที่จะนำคนให้เชื่อถือศรัทธา และเชื่อมั่นได้ ด้วยเหตุผลความจริง และจุดอ่อนนี้จะทำให้เขาสูญเสียฐานคนชั้นกลางในเมือง

หากมองในเชิงเปรียบเทียบ ใกล้เข้ามาอีก พรรคพลังชลของนายสนธยา คุณปลื้ม ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่พรรคเล็กอย่างพลังประเทศไทย ควรศึกษา พลังชลเป็นพรรคการเมืองขนาดเล็ก ก่อตั้งเมื่อปี 2554 ในการลงสมัครครั้งแรก พลังชลได้ที่นั่ง ส.ส.ชลบุรี 7 ที่นั่ง จังหวัดอื่นไม่มี

ฐานของพรรคพลังชลแข็งแกร่งมากในจังหวัดชลบุรี ด้วยอิทธิพลของกำนันเป๊าะ หรือนายสมชาย คุณปลื้ม อิทธิพลนั้นต่อสายมายังสนธยา คุณปลื้ม วิทยา คุณปลื้ม และอิทธิพล คุณปลื้ม คนในตระกูลคุณปลื้มครองอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งการเมืองท้องถิ่น เทศบาลแสนสุข เมืองพัทยา และการเมืองสนามใหญ่ แต่ถึงกระนั้นอิทธิพลของคุณปลื้มก็ยังไม่สามารถแผ่ขยายอาณาจักรไปสู่พื้นที่ภายนอก หันมามองพลังประเทศไทย การเมืองท้องถิ่นของพลังประเทศไทย ก็ไม่ได้แข็งแรงมากนัก พลังประเทศไทยในระดับจังหวัด ก็ยังต้องสู้กับบารมีของไพโรจน์ โล่ห์สุนทร ซึ่งถึงนาทีนี้ก็ใช่วาจะหักโค่นโดยง่าย

นายดาชัย อุชุโกศลการ เป็นที่รู้จักเฉพาะในเขตพื้นที่ลำปาง และไม่มีนโยบายหรือภาพของการเมืองระดับประเทศซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญของชัยชนะในระดับชาติ
สถานะของพรรคเด็กน้อย ยังยากที่จะแหวกวงล้อมออกไปได้ง่ายดายนัก


(ม้าสีหมอก ฉบับที่ 945 วันที่ 27 กันยากัน - 3 ตุลตาคม 2556)
Share:

'ดาชัย' ไผ่แยกกอ ปะทะอำนาจเก่า


แม่น้ำแยกสาย ดาชัยแยกกอ บุกหนักการเมืองท้องถิ่น ปูทางสนามใหญ่ ไพโรจน์-กิตติกร ประสานเสียง เลือกใครต้องเป็นคนดี นโยบายปฎิบัติได้ ชี้ข้าวนอกนา ตั้งพรรคเองทิ้งฐานเสียงเพื่อไทย แดงเทียม ชี้โอกาสยาก พรรคเล็กได้ปาร์ตี้ลิสต์

สัญญาณความคึกคักดังขึ้น ในท่ามกลางกระแสการเลือกตั้งท้องถิ่น ซึ่งจะส่งผลต่อการเมืองระดับชาติอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะปรากฎการณ์ “แม่น้ำแยกสาย ไผ่แยกกอ” ที่รุ่นเล็กอาจหาญ ข้ามชั้นชกรุ่นใหญ่

ห้วงเวลานี้ในหลายเทศบาลและ อบต.ได้หมดวาระและมีการสมัครรับเลือกตั้งนายก และสมาชิกสภาในคราวเดียวกันกว่า 60 แห่ง โดยมีชื่อของพรรคพลังประเทศไทย ซึ่งมีนายดาชัย อุชุโกศลการ เป็นหัวหน้าพรรค เดินหน้าสนับสนุนการเมืองท้องถิ่นหลายแห่ง และได้ประกาศตัวส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ในสนามเลือกตั้งเทศบาลเมืองพิชัย เมื่อวันที่ 8 ก.ย.ที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าคนของนายดาชัยจะไม่ได้รับตำแหน่งนายกเทศมนตรีแต่ก็คว้าที่นั่ง สท.ในสภามาได้ถึง 7 ที่นั่งด้วยกัน  พร้อมกันนี้นายดาชัยยังได้เปิดเผยชื่อผู้ที่เสนอตัวลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ในนามของพรรคพลังประเทศไทยแล้วใน 2 เขตการเลือกตั้ง คือ เขต 1 นายณฤธร ถาคำฟู  ทายาทอดีต ส.ส.ดังลำปาง  และเขต 2 นายจินดา วงศ์สวัสดิ์  อดีต ส.ส.ลำปางและนายดาชัย ยังวางตัวให้ตนเองลงสมัครส.ส.ปาร์ตี้ลิสด้วย

นายดาชัย อุชุโกศลการ หัวหน้าพรรคพลังประเทศไทย  เปิดเผยว่า พรรคพลังประเทศไทยจะใช้ระบบไพรมารี่โหวต(Primary Vote)ทั้งหมด  และเริ่มรับสมัครสมาชิก ซึ่งจะมาเป็นผู้คัดเลือกคนที่จะลงสมัคร เป็นการคัดกรองอีกทางหนึ่งเพื่อให้ได้นักการเมืองที่มีคุณภาพเข้าไปทำงาน ไม่เหมือนพรรคการเมืองอื่นที่พรรคมีการเลือกเองและวางตัวผู้สมัครเอง และขณะนี้มีผู้ที่เสนอตัวเข้ามาร่วมอุดมการณ์ในเขต 1 และเขต 2 อยู่หลายคน ซึ่งเริ่มมีการลงพื้นที่พบปะกับชาวบ้าน  เพราะอีก 2 ปีข้างหน้าจะมีการเลือกตั้ง  การที่เจาะจงลงไปในพื้นที่เขต 1 เขต 2 นั้นเป็นพิเศษ เนื่องจากว่ายังพบปัญหาที่ไม่ได้มีการแก้ไขอีกหลายแห่ง

“ผมรู้ปัญหาดีกว่า ส.ส.ในพื้นที่ จึงต้องการให้คนที่มีความรู้ความสามารถในลำปางที่ยังมีอยู่อีกมากได้มีโอกาสเข้ามาทำงานบ้าง พรรคยินดีที่จะสนับสนุนทุกคนที่อยากจะลงสมัคร  ในส่วนของเขต 3 และเขต 4 ยังไม่มีผู้เสนอตัวเข้ามา หากมีเราพร้อมที่จะส่งลงสมัครลงทุกเขต”  นายดาชัย กล่าวและว่า

ผมคิดว่าทุกวันนี้คนไทยยังไม่รู้จักประชาธิปไตย แต่ละพรรคการเมืองยังใช้ระบบนายทุนและสืบทอดทางทายาทในการคัดเลือกผู้สมัครอยู่ ถ้าพรรคการเมืองมีประชาธิปไตยจริงควรจะเปิดโอกาสให้สมาชิกพรรคเลือกกันเองว่าอยากได้นักการเมืองคนไหน  แต่ทุกวันนี้พรรคเลือกผู้สมัคร ส.ส. มาให้ประชาชนเลือก  เช่นเดียวกับกลุ่ม นปช. หรือคนเสื้อแดงที่มีสมาชิกทั่วประเทศ 3 ล้านกว่าคน รวมทั้งคนเสื้อแดงลำปางเองที่เป็นสมาชิกก็ไม่เคยมีโอกาสไปเลือกประธาน 

สำหรับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าพรรคพลังประเทศไทยตั้งขึ้นชนกับพรรคเพื่อไทย นายดาชัย กล่าวว่า พรรคพลังประเทศไทยไม่ได้มาชนใคร แต่เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคนลำปาง หลายคนอาจจะมองว่าเป็นการมาท้าชนเนื่องจากว่า ส.ส.ของลำปางเป็นของพรรคเพื่อไทยทั้งหมด  อย่างที่ทราบกันดีว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคใหญ่ที่สุดในการขับเคลื่อนประชาธิปไตย บ้านเลขที่ 111 และ 109  ที่ปลดล็อคและกลับเข้าสู่พรรค ด้วยข้อจำกัดคือ ส.ส.ลงได้  400 เขต ปาร์ตี้ลิส 60-70 คน  อดีต ส.ส.ผู้ใหญ่ของพรรคเพื่อไทยที่ลงสมัครพรรคเพื่อไทยไม่ได้ ก็มีโอกาสที่จะเข้ามาอยู่พรรคพลังประเทศไทย แต่ถึงอย่างไรถ้าพรรคเพื่อไทยทำดีอยู่แล้วคนก็เลือกพรรคเพื่อไทย
นายดาชัย กล่าวอีกว่า ขณะนี้พรรคพลังประเทศไทยเตรียมเปิดสาขาที่ จ.อุดรธานี จ.สมุทรปราการ  จ.นครศรีธรรมราช  มีสมาชิกกว่า 10,000 คน  และมีผู้เสนอตัวลง ส.ส.ในต่างจังหวัดแล้วเช่นกัน  และยังได้ทยอยเปิดศูนย์ประสานงานพรรคฯใน 13 อำเภอของลำปาง และจังหวัดใกล้เคียงด้วย

เพื่อไทย ไม่หวั่นศึกสายเลือด

ขณะที่พรรคเพื่อไทย เจ้าของพื้นที่เดิมที่ยังคงครองเก้าอี้ ส.ส.ได้อย่างเหนียวแน่น กลับไม่ได้รู้สึกหนักใจกับพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นใหม่แต่อย่างใด อีกทั้งยังเห็นว่าเป็นไปได้ยากที่พรรคเล็กจะมีโอกาสเข้าไปนั่งในสภา

นายไพโรจน์ โล่ห์สุนทร  อดีต รมว.มหาดไทย และส.ส.ลำปางหลายสมัย กล่าวว่า พรรคการเมืองทุกพรรคเป็นของประชาชน ไม่ใช่พรรคของใครคนใดคนหนึ่ง การที่มีพรรคการเมืองเกิดขึ้นใหม่ก็เป็นเรื่องที่ดี  ทำให้ประชาชนมีโอกาสเลือก แต่การเปิดตัวพรรคการเมืองแล้วนำชื่อคนนั้นคนนี้ไปใส่ ต้องดูด้วยว่าเจ้าตัวเขาได้ยินยอมหรือไม่ ต้องมีหลักฐานที่ชัดเจน 

เมื่อสอบถามว่าความเป็นไพโรจน์ โล่ห์สุนทร ยังมีความหมายต่อคนลำปางหรือไม่  อดีต ส.ส.หลายสมัยกล่าวว่า ชื่อของไพโรจน์ โล่ห์สุนทร ไม่ได้สำคัญว่าจะมีความหมายต่อใคร ไม่ใช่ว่าเราจะมีความหมายต่อคนทุกคนได้  เพียงแต่ประชาชนจะเชื่อถือและมองเราอย่างไร การที่ทายาทลงสมัครการเมืองก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะที่ผ่านมาได้มีทายาทลงการเมืองและเป็นผู้แทนของประชาชนมาโดยตลอดอยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะลงสมัครอีกในครั้งต่อไป   ตอนนี้ไม่ได้มีการเตรียมตัวอะไร เวลาอีก 2 ปี ยังอีกยาวไกล ทุกอย่างขึ้นอยู่กับประชาชนที่จะชี้ขาดว่าใครจะเป็นผู้แทนของเขา การที่จะตัดสินว่าใครจะได้เป็นผู้แทน เราไปกำหนดไม่ได้ ถ้าคุณเป็นคนดีประชาชนเห็นว่าเหมาะสมที่จะเป็นตัวแทน ประชาชนก็จะเลือกเข้าไป  ซึ่งอยู่ที่ตัวผู้ที่ลงสมัครด้วยว่าเป็นที่น่าเชื่อถือของประชาชนหรือไม่ 

นายไพโรจน์ ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า ปัญหาของการเมืองทุกวันนี้อยู่ที่คน ไม่ใช่อยู่ที่การเมือง การเมืองจะดีได้คนก็ต้องดีก่อน หากการเมืองดี แต่คนยังเลวอยู่ก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้

ขณะที่นายกิตติกร โล่ห์สุนทร  อดีต ส.ส.ลำปาง ได้ให้ความเห็นในเรื่องเดียวกันว่า ปัจจุบันการเมืองไทยแบ่งขั้วออกชัดเจนคือ พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งต่อสู้กันทางการเมืองมายาวนาน  การที่มีพรรคการเมืองอื่นหรือพรรคการเมืองที่ตั้งใหม่เพิ่มขึ้นมาคงไม่มีผลกระทบทางการเมือง เพราะพรรคการเมืองเล็กอาจจะเข้าถึงประชาชนยาก การที่ประชาชนจะเลือกพรรคใดนั้น ส่วนใหญ่จะมองนโยบายพรรค และความเป็นรูปธรรมที่มีความชัดเจนและนำไปปฏิบัติได้จริง  ซึ่งพรรคเล็กอาจจะมีแนวนโยบายที่ดี แต่เมื่อเข้าไปในสภาแล้วอาจจะไม่สามารถนำนโยบายมาปฏิบัติได้ เพราะอย่างไรก็ต้องยึดแนวนโยบายของพรรครัฐบาล ซึ่งเป็นพรรคการเมืองใหญ่  

สำหรับพรรคการเมืองของ จ.ลำปางที่ตั้งขึ้นใหม่ก็อาศัยฐานเสียงเดิมของพรรคเพื่อไทย ซึ่งส่วนใหญ่คือกลุ่มคนเสื้อแดง การที่เขาแยกออกไปแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ใช่เสื้อแดงที่แท้จริง  ผมก็เห็นว่าเขาพยายามต่อสู้กับทุกคน มีเวทีการเมืองไหนก็พยายามจะลงเลือกตั้งหมด อาจเป็นเพราะเขาสนใจเวทีการเมืองอยู่แล้ว คงไม่เกี่ยวกับการแทรกแซงใคร อย่างที่กล่าวไปว่าประชาชนเข้าใจระบบการเมืองมากขึ้น เมื่อจะเลือกใครก็จะมองที่นโยบายพรรคเป็นส่วนใหญ่  อีกประการหนึ่งที่พรรคเล็กจะเสียโอกาสคือ การเลือกตั้งระบบปาร์ตี้ลิสจะไปเอื้อพรรคการเมืองใหญ่มากกว่า เพราะพรรคใหญ่เป็นที่รู้จักของประชาชนทั้งประเทศ  ตัวอย่างกรณี คุณสุวิทย์ คุณกิตติ เป็นนักการเมืองคนหนึ่งที่มีชื่อเสียง เชื่อว่าเป็นที่รู้จักมากกว่าหัวหน้าพรรคที่ จ.ลำปาง  ซึ่งได้แยกตัวไปตั้งพรรคการเมืองเอง และมีฐานเสียงใหญ่ที่ จ.ขอนแก่น แต่ปรากฏว่าไม่ได้รับเลือก ส.ส.ปาร์ตี้ลิส 

“แต่ที่เป็นปรากฏการณ์คือพรรคของคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์  ที่ได้รับเลือกเข้ามา 5 คน เนื่องจากคุณชูวิทย์ได้ทำการตลาดทั้งประเทศให้ประชาชนได้รู้จัก  ต้องกลับมามองว่าพรรคการเมืองที่ จ.ลำปางได้ทำแผนการตลาดเช่นนี้หรือไม่ และเป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศแล้วหรือยัง  หากไม่ได้ทำในส่วนนี้ ก็จะมีโอกาสได้รับเลือกตั้งน้อยมาก”   นายกิตติกร กล่าว.


(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 945 วันที่ 27 กันยากัน - 3 ตุลตาคม 2556)
Share:

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์