วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2558

เวทีไฟฟ้าขยะล่ม ชาวบ้านวอล์คเอาท์ ผู้บริหารวีพีเอ็นฯ สงบสยบเคลื่อนไหว



เวทีชี้แจงโรงไฟฟ้าขยะล่ม ชาวบ้านป่าเหียงนับพันเดินออกที่ประชุมไม่รอฟังคำตอบจากบริษัท หลังจากแกนนำตั้งคำถามหลายข้อ แสดงจุดยืน ยังไงก็ไม่เอาโรงไฟฟ้าขยะมาตั้งในพื้นที่ 

เมื่อวันที่ 25 มี.ค.58 เวลา 18.00 น.หน่วยงานภาครัฐของ จ.ลำปาง ร่วมกับบริษัท วีพีเอ็น แอนด์ ไซมิสทริค จำกัด  ได้จัดการประชุมชี้แจงข้อมูล การก่อสร้างโรงผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานไอน้ำจากของเหลือใช้ ที่โรงเรียนบ้านป่าเพียง ต.บ่อแฮ้ว อ.เมือง จ.ลำปาง โดยมี พ.อ.ชัยณรงค์ แก้วกล้า รอง ผบ.มทบ.32 เป็นประธานและผู้ดำเนินรายการ และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมให้ข้อมูล ประกอบด้วย พลังงานจังหวัด อุตสาหกรรมจังหวัด โยธาธิการและผังเมืองจังหวัด  การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และบริษัท วีพีเอ็น แอนด์ ไซมิสทริค จำกัด ซึ่งมีนางวรรณี ลิทองกุล เจ้าของบริษัทเดินทางมาร่วมประชุมด้วย นอกจากนั้นยังมี สุวิทย์  เล็กกำแหง นายอำเภอเมืองลำปาง  นายสมพร วะเท  นายกเทศมนตรี ต.บ่อแฮ้ว   นายสถาพร วะเท นายก อบต.บ่อแฮ้ว   พ.ต.อ.นิคม เครือนพรัตน์  ผกก.สภ.เมืองลำปาง ร่วมสังเกตการณ์

โดยชาวบ้านป่าเหียงได้ร่วมกันใส่เสื้อสีดำ สกรีนตัวหนังสือด้านหลังว่า “เราไม่เอาโรงไฟฟ้าขยะ” ทยอยเดินทางเข้ามาในที่ประชุมพร้อมกับเสียงโห่ร้องและปรบมือเป็นระยะ นอกจากนั้นยังมีกลุ่มชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียงให้ความสนใจเข้ามาร่วมกับฟังในครั้งนี้จำนวนมาก รวมชาวบ้านกว่า 3,000 คน  โดยมีกำลังทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจ คอยอำนวยความปลอดภัยประมาณ 100 นาย

 

ช่วงเริ่มประชุม พ.อ.ชัยณรงค์ ได้ทำความเข้าใจกับชาวบ้านในเบื้องต้น พร้อมกับขอความร่วมมือให้รับฟังข้อมูลก่อนและขอให้ให้เกียรติผู้ที่กำลังพูดและตั้งใจฟัง เพื่อที่ว่า หากไม่เข้าใจในข้อใดจะได้สอบถามได้ จากนั้นได้ให้ น.ส.สายธาร ประสงค์ความดี พลังงานจังหวัดให้ข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนการขออนุญาตก่อสร้างโรงไฟฟ้า  ซึ่งในขั้นแรกจะต้องมีการเช็คสายส่งไฟฟ้าก่อนว่ามีพื้นที่หรือไม่ จากนั้นจะต้องทำสัญญากับ กฟภ.เกี่ยวกับการส่งขายพลังงาน  ต่อด้วยขั้นตอนการทำประชาคมชาวบ้าน  จึงจะนำไปสู่การตรวจสอบพื้นที่การก่อสร้างว่าสามารถใช้พื้นที่บริเวณนั้นได้หรือไม่ เมื่อเรียบร้อยร้อยต้องรวบรวมเอกสารทั้งหมดยื่นขออนุญาตก่อสร้างโรงงานไปยังอุตสาหกรรมจังหวัด โดยอุตสาหกรรมจังหวัดต้องส่งเรื่องไปยังสำนักกำกับกิจการพลังงาน เพื่อขออนุญาตในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า  ซึ่งระหว่างที่พลังงานจังหวัดให้ข้อมูล กลุ่มชาวบ้านได้ส่งเสียงโห่กันเป็นระยะ ทำให้รอง ผบ.มทบ.ต้องขั้นรายการและขอความร่วมมือให้รับฟังและงดใช้เสียง  ชาวบ้านได้หยุดไปพักหนึ่ง แต่ก็ได้มีการส่งเสียงโห่กันเป็นระยะ

ด้านตัวแทนโยธาธิการและผังเมืองจังหวัด กล่าวว่า การจะก่อสร้างโรงงานต่างๆต้องได้รับการอนุญาตจากโยธาธิการและผังเมืองก่อน โดยจะทำการตรวจสอบว่าพื้นที่จะใช้ก่อสร้างนั้นสามารถสร้างได้หรือไม่

รอง ผบ.มทบ.32 กล่าวเพิ่มเติมว่า การจะตั้งได้หรือไม่ได้มีส่วนประกอบมากมาย มีกฎหมายควบคุมอยู่ หากตรวจสอบแล้วตั้งได้ตามกฎหมายของโยธาธิการ ก็ไม่สามารถห้ามได้ ขึ้นอยู่กับว่าต้องดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง

นายพร้อมพงษ์ วงศ์มณีนิล  ผอ.สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานประจำเขต 1 กล่าวว่า เรามีหน้าที่ออกใบอนุญาตเกี่ยวกับกิจการผลิตไฟฟ้าไม่ว่าประเภทใดก็ตาม จ.ลำปางมีโรงไฟฟ้าขนาดเล็กหลายแห่ง เช่น โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ ต.บ้านเอื้อม และโรงไฟฟ้าชีวมวล อ.เถิน    ส่วนโรงไฟฟ้าขยะเป็นโรงไฟฟ้าที่จะต้องถูกควบคุมโดยสำนักงานกำกับกิจการพลังงาน ตั้งแต่เริ่มผลิตไปจนถึงส่งขาย  โดยมีขั้นตอนการอนุญาต ต้องได้รับใบอนุญาต 3 ใบ ใบแรกเรียกว่าใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร มีความเห็นจาก อปท. คือ อบต. หรือเทศบาล ว่าถูกต้องตามกฎหมายก่อสร้างอาคารหรือไม่ ซึ่งจะเป็นส่วนประกอบของการออกใบอนุญาต  ส่วนใบที่สอง คือใบอนุญาตให้ตั้งโรงงานอุตสาหกรรม จะมีกฎหมายควบคุมอยู่ มีขั้นตอนที่สำคัญคือ การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ นำมาประกอบการอนุญาต  และใบที่สาม คือใบอนุญาตประกอบกิจการพลังงาน ก่อนที่โรงไฟฟ้าจะผลิตไฟขายได้ต้องมีใบอนุญาต 3 ใบ    

ชาวบ้านได้เรียกร้องให้ผู้ใหญ่บ้านป่าเหียง หมู่ 1 ขึ้นมาพูดชี้แจงว่าเหตุใดจึงไม่มีการให้ข้อมูลกับชาวบ้านเลย หลังจากไปดูงานที่ จ.ภูเก็ต   ผู้ใหญ่บ้านจึงขึ้นมาพูดโดยได้มีเสียงโห่ร้องจากชาวบ้านอยู่ตลอดเวลา นายวาด เรือนคำปา ผู้ใหญ่บ้านป่าเหียง หมู่ 1  กล่าวว่า การไปดูงานเพียงต้องการรับฟัง และนำมาแจ้งให้ชาวบ้านทราบ ถ้าเห็นดีด้วยก็เอา ถ้าไม่เห็นด้วยก็ไม่เอาเท่านั้นเอง  แต่ชาวบ้านไปคิดเอาเอง และใส่ไฟตนเอง ว่าไปรับเงินมาเป็นล้าน เหตุที่ไมได้ชี้แจงเพราะไม่มีเวลาเลย กลับมาจากดูงานก็มีงานศพ งานแต่งตลอด ทำให้ฝ่ายตรงข้ามสร้างเรื่องขึ้นมา มีป้ายขึ้นมาติดในหมู่บ้านเต็มไปหมดแต่ก็ไม่ห้ามเพราะเป็นสิทธิของชาวบ้าน  ทุกคนมี 1 สิทธิ 1 เสียง ถ้าชาวบ้านไม่เอาก็คือไม่เอา  การจัดให้ลงมติ ตนเองไม่มีสิทธิที่จะไปห้ามได้ เพราะเป็นขั้นตอนการดำเนินงานตามกฎหมาย   ทั้งนี้ ระหว่างที่ผู้ใหญ่บ้านชี้แจง ชาวบ้านได้ส่งเสียงโห่ร้องอยู่ตลอดเวลาว่าไม่เอาโรงไฟฟ้าขยะ และจะไม่ไปลงประชามติ

จากนั้นที่ประชุมได้ให้ทางบริษัท วีพีเอ็น แอนด์ ไซมิสทริค ได้ชี้แจงข้อมูลการก่อสร้างโรงไฟฟ้า และระบบที่จะใช้ในการเผาขยะ และได้เปิดโอกาสให้ชาวบ้านได้ซักถาม โดยมีนายสวาท เปี้ยปลูก เป็นตัวแทนชาวบ้านขึ้นพูดในที่ประชุม โดยชาวบ้านได้ปรบมือสนับสนุนกันอย่างคึกคัก

นายสวาท กล่าวว่า ลำปางไม่ได้มีปัญหาขยะล้นเมือง ตามข้อมูลที่รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษกล่าวว่า ขยะลำปางมีไม่ถึง 800 ตัน ในขณะที่โรงไฟฟ้าขนาด 6.5 เมกกะวัตต์ ต้องใช้ขยะถึง 1,950 ตัน ซึ่งถือว่า จ.ลำปางขาดแคลนขยะตั้ง 1,000 ตัน แล้วจะเอาขยะมาจากไหน หนีไม่พ้นมาจาก จ.ลำพูน  เชียงใหม่ และจังหวัดใกล้เคียง  คนลำปางจะภูมิใจไหมที่ จ.ลำปางจะเป็นที่ทิ้งขยะของภาคเหนือ  นอกจากนั้น จ.ลำปาง  มี กฟผ.แม่เมาะที่ผลิตไฟฟ้าได้อย่างเหลือเฟือ ส่งขายไปทั่วประเทศ แต่โรงไฟฟ้าของท่านมีแค่ 6.5 เมกกะวัตต์จะมาแก้ไขปัญหาพลังงานอะไรได้

โรงงานไฟฟ้าขยะแห่งนี้จะมาตั้งอยู่กลางทุ่งนาบ้านป่าเหียง มีประชากรเกี่ยวข้อง 5 ตำบล กว่า 30,000 คน อาชีพหลักของชาวบ้านคือทำนา ทำไร่ เลี้ยงสัตว์  เดิมตรงจุดนี้เป็นที่นาที่อุดมสมบูรณ์ แต่ 5 ปีที่ผ่านมา เกิดความแห้งแล้ง จึงปล่อยที่นาให้รกร้างเป็นช่องทางให้นักลงทุนกว้านซื้อที่ดินไปขายเก็งกำไร   และในปีหน้าทางกรมชลประทานจะก่อสร้างคลองส่งน้ำจากเขื่อนกิ่วคอหมา เข้ามาในพื้นที่ทำให้พื้นที่อุดมสมบูรณ์อีกครั้ง  แล้วอยู่ๆโรงไฟฟ้าขยะจะมาตั้งตรงนั้น ควันดำจากปล่องไฟ กินเหม็นจากขยะ สุขภาพกายสุขภาพจิตของชาวบ้านจะเป็นอย่างไร น้ำเน่าไหลลงหนองคลองบึง ไหลลงที่นา ซึมลงใต้ดิน แล้วชาวบ้านจะอยู่ได้อย่างไร  ระบบนิเวศน์ ระบบสิ่งแวดล้อมเสียหายหมด  พวกเราอยู่ดีๆอย่างมีความสุข สมัครสมานสามัคคี แล้วจะเอาโรงงานมาทำร้ายพวกเราทำไม

ลำปางไม่มีปัญหาขยะ ป่าเหียงไม่มีปัญหาขยะ มาสร้างที่ลำปางทำไม ขยะมีที่ไหนก็ไปสร้างตรงนั้นจะเสียค่าขนส่งอีกทำไม  พวกเราไม่คัดค้านโรงงานเผาขยะ ยินดีสนับสนุนเพราะเป็นนโยบายรัฐบาล เป็นวาระแห่งชาติ แต่เราคัดค้านตรงที่ทำไมต้องมาตั้งตรงนี้

นายสวาทยังได้ยกมือไหว้ ขอดลจิตดลใจให้ผู้มีอำนาจในอนุมัติ กรุณายับยั้งอย่าอนุมัติให้โรงงานตั้งที่บ้านป่าเหียงแห่งนี้เลย ถ้าไปตั้งที่อื่นชาวบ้านจะไม่คัดค้านแม้แต่น้อย ขอให้เห็นแก่ชาวบ้านโปรดย้ายไปตั้งที่อื่นด้วย

จากนั้นนายสวาท ได้เดินออกจากห้องประชุม ชาวบ้านจึงได้ทยอยกันลุกเดินตามออกไป โดยทาง รอง ผบ.มทบ. ได้ขอให้ชาวบ้านได้นั่งลงก่อนเพราะทางบริษัทยังไม่ได้มีการตอบคำถามและชี้แจงใดๆ ขอให้กลับมาฟังก่อน แต่ชาวบ้านก็ไม่ฟังได้ทยอยกันเดินออกจากพื้นที่จนหมด ขณะที่ รอง ผบ.มทบ. ยังคงพูดปิดการประชุมต่อไปอีกกว่า 5 นาที ทั้งที่ไม่มีใครนั่งอยู่ในที่ประชุมเลย เหลือเพียงหัวหน้าส่วนราชการ และบริษัทที่มาชี้แจงให้ข้อมูลนั่งฟังอยู่เท่านั้น  โดยทางตัวแทนบริษัทได้นั่งนิ่ง ไม่มีการตอบโต้ใดๆทั้งสิ้น

ทั้งนี้  ยังมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า กลุ่มชาวบ้านที่ไม่ได้ใส่เสื้อสีดำมาร่วมประชุม เป็นชาวบ้านที่มาจากพื้นที่อื่น ไม่ใช่เป็นชาวบ้านป่าเหียง ซึ่งได้รับค่าจ้างคนละ 300 บาท และได้ทยอยเดินทางกลับระหว่างที่ประชุมได้มาครึ่งทางเท่านั้น
 (หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1022  ประจำวันที่ 27   มีนาคม – 2 เมษายน  2558)
Share:

ไล่ผอ.2สถาบัน บริหารไม่โปร่งใส-ผอ.โต้ไม่จริง



ครู-นักศึกษา ฮือไล่ ผอ. 2 สถาบัน ทั้งวิทยาลัยอาชีวะ และเทคโนโลยีการจัดการ กฟผ.แม่เมาะ ต่างอ้างทำงานไม่โปร่งใสไม่เป็นธรรม  ขณะที่ ผอ.ปฏิเสธลั่น คาดเหตุจากไม่พอใจเรื่องผลประโยชน์

เมื่อเวลา 14.00น.วันที่ 23 มี.ค.58 ที่หน้าศาลากลาง จ.ลำปาง ได้มีคณะอาจารย์ และนักศึกศึกษาแต่งชุดดำจากวิทยาลัยอาชีวศึกษา จ.ลำปางประมาณ 100 นำโดย น.ส.ประคอง เจนคุณาวัฒน์ หน.งานหลักสูตรการเรียนการสอน นายเอกพล ไชยพรหม อาจารย์คณะศิลปกรรม สาขาการตลาด และกมลฉัตร ศรีเจริญลาภ ศิตย์เก่าอาชีวศึกษาลำปาง ปัจจุบันเป็นอาจารย์ สาขาศิลปะ สอนอยู่ที่ ม.ราชภัฎลำปาง พากันไปยืนถือป้ายประท้วงเพื่อขับไล่ นางพรเพ็ชร พรรณวงค์ ผอ.วิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง พร้อมกับขอเข้าพบนายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการจังหวัดฯเพื่อยืนหนังสือร้องเรียน ซึ่งมีการกล่าวโทษนางพรเพ็ชร อยู่  5 ข้อด้วยกัน และให้ดำเนินการย้ายนางพรเพ็ชร ออกจากพื้นที่ภายใน 24 ชั่วโมง ทั้งนี้กลุ่มอาจารย์และนักศึกษาต่างก็พากันนำป้ายเขียนข้อความโจมตี ผอ.อาชีวศึกษา โดยเขียนข้อความอาทิเช่น ขาดหลักการบริหาร ชอบสร้างภาพออกสื่อ เป็นต้น ทั้งนี้

น.ส.ประคอง เจนคุณาวัฒน์ หนึ่งในแกนนำการประท้วงในครั้งนี้ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า นางพรเพ็ชร ผอ.อาชีวศึกษา หลังจากที่เข้ามารับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปางได้เพียง 6 เดือน ก็เริ่มทำการเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานในวิทยาลัย แบบขาดวิสัยทัศน์ในการบริหารจัดการสถานศึกษา ทั้งที่วิทยาลัยอาชีวะแห่งนี้เป็นวิทยาลัยที่เก่าแก่มีชื่อเสียงและเป็นที่ ยอมรับในวงสังคมมายาวนาน แต่นางพรเพ็ชร ก็มาเข้ามาบริหารงานได้ไม่นานก็นำความเสื่อมมาสู่สถานศึกษาในทุกๆด้าน เช่นขอผลตอบแทนจากร้านค้าและและเหยียดหยามการบริหารงานของบริหารสถานศึกษาใน อดีต ขาดวิสัยทัศน์ การจัดการเรียนการสอนสายอาชีพ โดยการยกเลิกการจัดนิทรรศการการแสดงผลงานของนักศึกษา ของคณะศิลปกรรมที่เคยจัดติดต่อกันมายาวนาน ซึ่งถือว่าเป็นเวทีที่สร้างชื่อเสียงและสร้างศิลปิน สร้างอาชีพให้กับนักศึกษา อีกทั้งยังจะใช้ห้องปฏิบัติการทางศิลปกรรมซึ่งเป็นห้องการเรียนรู้เฉพาะทาง ศิลปกรรม โดยมีเครื่องมือที่ใช้ในการจัดการเรียน การสอนเฉพาะศิลปกรรมแต่ละสาขางาน แต่ละรายวิชา มาเป็นห้องพยาบาลโดนไม่ยอมฟังคำทัดทานในที่ประชุม และมีพฤติกรรมการบริหารงานแบบทุจริต ผลาญงบประมาณของทางราชการ ทั้งเงินในระบบและเงินนอกระบบราชการ เพื่อประโยชน์ส่วนตน เป็นต้น
       
ต่อมานายวีระเดช สมวรรณ ปลัดจังหวัดลำปาง ได้ลงมาพบตัวแทนคณะอาจารย์และนักศึกษาเพื่อสอบถามและรับหนังสือร้องเรียน โดยรับปากว่าจะนำหนังสื่อไปมอบให้กับทางผู้ว่าราชการจังหวัดเองและยังรับปากว่าเรื่องนี้จะไม่เงียบหายไปไหนอย่างแน่นอน พร้องจะดำเนินการส่งเรื่องไปยังต้นสังกัดให้เข้ามาตรวจสอบการทำงานของผู้อำนวยการสถานศึกษาว่ามีข้อเท็จจริงประการใด จากนั้นคณะอาจารย์และนักศึกษาจึงพากันเดินทางต่อไปพบนายเจริญ ศิริวงศ์ ผอ.วิทยาลัยเทคโนโลยีและการจัดการ กฟผ.แม่เมาะ และประธานอาชีวศึกษาจังหวัด เพื่อให้เป็นสื่อกลางยื่นหนังสื่อต่อไปยังเลขาธิการคณะกรรมการอาชีวศึกษาให้ดำเนินการย้ายนางพรเพ็ชรออกไปจากวิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง ภายใน 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ นายเอกพล ไชยพรหม หนึ่งในแกนนำกล่าวว่า ก่อนหน้านี้นางพรเพ็ชร ก็เคยถูกขับไล่มาจากวิทยาลัยฯ จ.สุโขทัย และ จากวิทยาลัย อาชีว จ.เชียงราย เพราะมีพฤติกรรมเดียวกันมาแล้ว
           
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามทางโทรศัพท์กับนางพรเพ็ชร ผอ.อาชีวศึกษาลำปาง ถึงเรื่องดังกล่าว ซึ่งนางพรเพ็ชร ได้กล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ตนเองแค่พูดประกาศขึ้นมาเท่านั้นยังไม่ได้มีการลงมือทำอะไรทั้งสิ้น ทั้งเรื่องของการย้ายห้องพยาบาล ซึ่งปัจจุบันนี้เรามีนักศึกษาอยู่เกือบจะ 4,000 แล้ว แต่เรามีเตรียงพยาบาลอยู่ 4-5 เตียงเท่านั้น ซึ่งมันไม่เพียงพอต่อความต้องหากมีเด็กเจ็บป่วยพร้อมๆกันขึ้นมาหลายคน ส่วนเรื่องที่ว่าตนเองไปปรับเปลี่ยนให้ครู อาจารย์ที่จะเกษียณอายุ ในอีกไม่ช้านี้ไปทำหน้าที่อื่นแทนการมานั่งในตำแหน่งที่มีงานหนักมากๆนั้นก็ เป็นเพราะความหวังดีเท่านั้นไม่ต้องการครู อาจารย์ ที่ใกล้เกษียณทำงานหนักมากเกินไป ตนไม่คิดที่จะหมิ่นเกียรติใดๆทั้งสิ้น ส่วนเรื่องที่ถูกกล่าวหาว่าตนผลาญงบประมาณของทางราชการนั้นก็มีไม่เป็นความ จริง เพราะตนเองเป็นข้าราชการจะไปผลาญงบประมาณได้อย่างไร  

จากนั้นวันที่  24  มี.ค. 58  กลุ่มอาจารย์ และนักศึกษาวิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง จำนวนกว่า 100 คน ได้แต่งชุดดำ พร้อมถือป้ายประท้วงการทำงาน และขับไล่ นางพรเพ็ชร พรรณวงค์  ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง ที่ด้านหน้าประตูทางเข้า วิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง โดยมีการทำป้ายข้อความห้ามนางพรเพ็ชร เข้ามาในวิทยาลัย และมีการนำพวงหรีดเขียนไว้อาลัยให้กับ นางพรเพ็ชร ผู้อำนวยการโรงเรียนด้วย หลังจากเมื่อวันที่ 23 มี.ค.ได้มีการยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดไปแล้ว  ทาง ด้านนายนายวีระเดช สมวรรณ ปลัดจังหวัดลำปาง ได้มีการประชุมเรียกประชุมหารือเพื่อแก้ไขปัญหาในเรื่องดังกล่าว แต่ไม่เป็นผลเนื่องจากคณะครูยังยืนยันคำเดิมว่าขอให้ย้าย ผอ.ออกจากโรงเรียน ซึ่งทางปลัดจังหวัดได้มีการนัดประชุมพูดคุยกันอีกครั้งในวันที่ 29 มี.ค.58 โดยจะเชิญนางพรเพ็ชร พรรณวงค์  ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง เข้าร่วมชี้แจงด้วย ขณะที่คณะครูกล่าวว่าจะไม่ขอเข้าร่วมประชุมดังกล่าว เนื่องจากยังยึดมติเดิม และได้พากันลุกเดินออกจากห้องประชุมทันที ก่อนจะพากันมาชุมนุมถือป้ายประท้วงด้านหน้าวิทยาลัย เพื่อกดดันให้ย้ายผู้อำนวยการคนดังกล่าวออกไป 

ต่อมา วันที่ 25 มี.ค.58   เวลาประมาณ 10.00 น.  ได้มีกลุ่มอาจารย์และนักศึกษา จากวิทยาลัยเทคโนโลยีและการจัดการ กฟผ.แม่เมาะ ลำปาง รวมตัวกันประมาณ 60 คน เดินทางมาที่ศาลากลางจังหวัดลำปาง ยื่นหนังสือต่อทางผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง เพื่อไม่ต้องการให้ นายเจริญ ศิริวงศ์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคโนโลยีและการจัดการ กฟผ.แม่เมาะ  บริหารงานในตำแหน่งต่อไป โดยกล่าวอ้างว่าผู้บริหารคนดังกล่าวขาดวิสัยทัศน์ ไม่โปร่งใส ขาดธรรมภิบาล ทำให้องค์การแตกแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย  โดยมีนายวีระเดช สมวรรณ ปลัดจังหวัดลำปางออกมารับหนังสือแทน

ตัวแทนนักศึกษาคนหนึ่ง กล่าวว่า นายเจริญ ศิริวงศ์  ผอ.วิทยาลัยเทคโนโลยีและการจัดการ กฟผ.แม่เมาะ ไม่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาผู้เรียน ไม่สนับสนุนวิชาการ การจัดกิจกรรมการแข่งขันกีฬาต่างๆ โดยอ้างว่าไม่มีงบประมาณ แต่ไปเน้นเรื่องหน้าตาและภาพลักษณ์ของสถานที่มากเกินไป ที่ผ่านมาได้ใช้งบประมาณในการปรับภูมิทัศน์ อาคารสถานที่เกินความจำเป็น

ส่วนกลุ่มอาจารย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ยังมีเรื่องการรับเจ้าหน้าที่โดยไม่มีผ่านกระบวนการสอบคัดเลือก การเปลี่ยนเอาข้าราชการคนสนิทเข้าทำหน้าที่สำคัญในการบริหารงบประมาณ  ปรับลดเงินเดือนครูพิเศษจาก 15,000 บาท เหลือ 8,360 บาท ซึ่งไม่เพียงพอต่อรายจ่าย มีครู 5 คนลาออกไปจากปัญหาดังกล่าว และไม่มีการรับครูเข้ามาแทน  อีกทั้งยังปรับลดเงินเดือนของ รปภ.  และไม่ดำเนินการสอบตามประกาศรับสมัครพนักงานราชการสาขาวิชาเครื่องกล  โดยได้ประกาศรับสมัครและมีผู้มายื่นไปสมัครแล้ว แต่ยังไปเปิดรับสมัครใหม่โดยเป็นการสมัครภายใน ไม่ระบุสาขาวิชาที่ต้องการรับ อ้างว่าเปิดโอกาสให้ทุกคนได้มีโอกาสสอบคัดเลือก  และแต่งตั้งคณะกรรมการโดยไม่มีรายชื่อหัวหน้าสาขาวิชาเครื่องกลร่วมเป็นคณะกรรมการในการสอบ  โดยในเรื่องนี้ เมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมา เคยได้ยื่นร้องเรียนไปที่ศูนย์ดำรงธรรมครั้งหนึ่งแล้วแต่ไม่มีความคืบหน้า จึงได้เดินทางมายื่นหนังสืออีกครั้ง

ทั้งนี้ ปลัดจังหวัดลำปางได้รับหนังสือร้องเรียนดังกล่าว โดยจะส่งให้ศูนย์ดำรงธรรมทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว จากนั้นทางกลุ่มครูและนักศึกษาได้เดินทางไปยังค่ายสุรศักดิ์มนตรี เพื่อยื่นหนังสือถึง ผบ.มทบ.32  ในเรื่องเดียวกัน เพื่อขอให้ช่วยตรวจสอบและดำเนินการอย่างเร่งด่วน ก่อนจะเดินทางกลับอย่างสงบ

ต่อมาผู้สื่อข่าวได้ประสานไปยังนายเจริญ ศิริวงศ์  ผอ.วิทยาลัยเทคโนโลยีและการจัดการ กฟผ.แม่เมาะ กล่าวว่า ตนเองขอตอบตามประเด็นข้อร้องเรียนของผู้ที่มาประท้วงว่า ที่ผ่านมาทางวิทยาลัยไม่เคยมีการจัดกีฬาสีมาประมาณ 5 ปีแล้ว ตนเองก็จัดให้ในปีนี้ ที่ผ่านมาไม่เคยเปิดวิทยาลัยให้ผู้ปกครองหรือคนภายนอกได้เข้ามาดูกิจกรรมอะไรเลย แต่ตนเองได้เปิดประตูวิทยาลัยต้อนรับทุกท่านที่ต้องการเข้ามาสัมผัสกิจกรรมต่างๆของเรา ส่งเด็กไปแข่งทักษะทุกแผนก ซึ่งขอชี้แจงว่าผู้บริหารทุกคนดูแลเรื่องการเรียนการสอนอยู่แล้ว   ซึ่งการทำงานทุกอย่างผู้บริหารต้องยึดกฎระเบียบขั้นตอนราชการทุกอย่างในการทำงาน ตนเองยืนยันว่าไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผลประโยชน์  

ตนเองเข้ามาทำหน้าที่ ผอ.วิทยาลัยเมื่อวันที่ 2 พ.ย.2557 แต่การบริหารงานสั่งงานอะไรไปไม่เคยรุดหน้าเลย การทำงานล่าช้ามาก ไม่สามารถพัฒนาตามเวลาที่กำหนดไว้ จึงตัดสินใจใช้อำนาจที่มีเปลี่ยนแปลงหน้าที่ของบุคลากร โดยเอาข้าราชการมาเป็นหัวหน้างานยึดหลักอาวุโส ทำให้การสั่งการง่ายขึ้น เพราะที่ผ่านมาเอาคนอาวุโสน้อยกว่าและเป็นเพียงพนักงานราชการมาเป็นหัวหน้าทำให้มีปัญหาในการทำงาน  ส่วนเรื่องการลดเงินเดือนครูขอชี้แจงว่า ขณะนี้เงินอุดหนุนจากกรมที่ได้มาลดไป 2 ล้านบาท จาก 16 ล้านกว่า ครูที่จ้างมาตามระเบียบ ก.ค.ศ.วันที่ 29 มิ.ย.2554 คือ เดือนละ 8 พันกว่าบาท แต่สมัยรัฐบาลที่ผ่านมามีนโยบายให้จ้าง 1.5 หมื่น แต่ไม่มีเงินอุดหนุนมาด้วย ขณะนี้จึงต้องกลับไปใช้ระเบียบเดิมเพื่อลดค่าใช้จ่ายลง ส่วนเรื่องยามรักษาการนั้นขณะนี้วิทยาลัยจ้างเองไม่ต้องผ่านบริษัท ทำให้เงินที่ต้องจ่ายลดลงตาม ซึ่งทุกคนก็พอใจ ส่วนเรื่องการประกาศรับคนตามข้อสุดท้ายนั้นเป็นอำนาจของตนเองในฐานะผู้บริหารสามารถดำเนินการได้ เพื่อความโปร่งใสและเสมอภาคในโอกาสของครูในโรงเรียนนี้โดยผ่านคณะกรรมการบริหารของโรงเรียน

นาย เจริญ กล่าวว่า ปัญหาดูแล้วมาจากครูที่สูญเสียรายได้เงินเดือนลดลง ความไม่สบายใจจากการที่ตนเองเข้ามาบริหารเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเพื่อให้มันดี ขึ้น แล้วเอาเรื่องบางเรื่องมาขยายความกัน ที่สำคัญคือมีบางคนเสียผลประโยชน์ที่เคยมี จริงๆแล้วไม่อยากจะพูดถึง แต่เมื่อมีปัญหาแบบนี้ก็คงต้องพูด ยกตัวอย่างขณะนี้มีบัญชีรายรับรายจ่ายกว่า 10 บัญชี เช่น เงินสนับสนุนจากสมาคมแม่เมาะประมาณ 2 แสนบาท และเงินสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาไฟฟ้าอีกประมาณ 3 แสนบาท มีแต่ตัวเลข แต่เงินยังไม่โผล่มาให้เห็นเลยแล้วเงินไปอยู่ที่ไหน นายเจริญ กล่าว.

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1022  ประจำวันที่ 27   มีนาคม – 2 เมษายน  2558)
Share:

กพร.ย้ำคำสั่งศาล ไฟฟ้าฟื้นขุมเหมือง



กพร.ย้ำชัดให้ กฟผ.ทำตามคำสั่งศาลอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการนำพื้นที่ที่ต้องฟื้นฟูขุมเหมือง ไปทำเป็นสวนพฤกษชาติและสนามกอล์ฟ

หลังจากที่ นายถาวร งามกนกวรรณ  ผู้ช่วยผู้ว่าการเหมืองแม่เมาะ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน จ.ลำปาง ถึงความคืบหน้าในการปฏิบัติตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่หรือ กพร.ก็ได้นัดประชุมแล้ว 2 ครั้ง กับหน่วยราชการทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหน่วยควบคุมมลพิษ กรมป่าไม้  สผ.  อุตสาหกรรมจังหวัด รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมกับยืนยันว่าศาลไม่ได้สั่งให้รื้อหรือปิดสนามกอล์ฟแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานว่า เมื่อวันที่ 12 มี.ค.58 กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองเเร่ ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ อก 0508/1177  ส่งถึงผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เรื่องการปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย  อ้างถึง หนังสือกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองเเร่ ด่วนที่สุด ที่ อก 0508/694 ลงวันที่ 12 ก.พ.58 และ หนังสือด่วนที่สุด ที่ อก 0508/745 ลงวันที่ 13 ก.พ.58  มีใจความสำคัญว่า

กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองเเร่พิจารณาแล้ว เห็นควรให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเร่งดำเนินการ ดังนี้

1. ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยแต่งตั้งคณะทำงาน ระดับท้องถิ่นและผู้เชี่ยวชาญร่วมกันพิจารณาในการอพยพราษฎร ที่ได้รับผลกระทบที่อาจนำไปสู่อันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน และมีความประสงค์จะอพยพในการอพยพหมู่บ้านออกนอกรัศมีในผลกระทบ 5 กิโลเมตร ให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน โดยให้มีตัวแทนราษฎรที่ได้รับผลกระทบร่วมเป็นองค์ประกอบของคณะทำงานฯด้วย

2. ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยฟื้นฟูพื้นที่ขุมเหมืองให้ใกล้เคียงกับสภาพเดิมตามธรรมชาติ โกยการถมดินกลับไปในบ่อเหมืองให้มากที่สุดและให้ปลูกป่าทดแทน เฉพาะพื้นที่ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยนำพื้นที่ที่ต้องฟื้นฟูขุมเหมือง ไปทำเป็นสวนพฤกษชาติและสนามกอล์ฟ โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดอย่างเข้มงวด หากต้องมีการฟื้นฟูพื้นที่ขุมเหมืองดังกล่าว ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเสนอเเผนการฟื้นฟูที่ให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองเเร่ทราบ ภายใน 7 วัน

3. การติดตั้งม่านน้ำเพื่อเป็นการลดฝุ่นละอองในบรรยากาศ มีความยาว 800 เมตร ระหว่างที่ทิ้งดินทางทิศตะวันออกกับบ้านหัวฝาย และระหว่างที่ทิ้งดินด้านทิศตะวันตกกับหมู่บ้านทิศใต้ (ข้อ19ของมาตรการฯ)การนำพืชที่ปลูกใน wetland ไปกำจัดให้ปลูกเสริมทุกๆ18เดือน เเละทำการขุดลอกเพื่อเปลี่ยนทิศทางไหลของน้ำใน wetland (ข้อ 2.6ของมาตรการฯ) และทำการขนเปลือกดินโดยใช้ระบบสายพานที่มีการติดตั้งระบบสเปรย์น้ำตามแนวสายพาน ให้วางแผนจุดปล่อยดิน ฯลฯ (ข้อ2.7ของมาตรการฯ) ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเร่งการดำเนินการให้ครบถ้วนตามมาตรา 57 แห่ง พ... แร่ พ..2510ให้เเล้วเสร็จภายใน 35 วัน

ทั้งนี้ ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามข้อ 1-3 ให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและเหมืองแร่ทราบทุก 7 วัน หากการดำเนินการดังกล่าวข้างต้น มีปัญหาและอุปสรรคให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเร่งประสานกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เพื่อความชัดเจนในการปฏิบัติต่อไป

ขณะที่แหล่งข่าวภายใน กฟผ. อ้างว่า ผลที่ออกมาเช่นนี้ทางผู้บริหารระดับสูงค่อนข้างผิดหวังมาก เพราะบางเรื่องไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ปฏิบัติกันอยู่เหมือนไปเริ่มต้นกันใหม่

ด้านนางมะลิวรรณ นาควิโรจน์  ประธานเครือข่ายสิทธิผู้ป่วยแม่เมาะ กล่าวว่า  ยังไม่ทราบว่าการตั้งคณะทำงานตามข้อ 1 ที่ กพร.ระบุว่าให้มีตัวแทนราษฎรที่ได้รับผลกระทบร่วมเป็นองค์ประกอบของคณะทำงานฯด้วย ตนเองจะมีโอกาสเข้าไปร่วมหรือไม่ ซึ่งตนเองต้องการที่จะเข้าร่วมในส่วนนี้ด้วย เพื่อจะได้ทราบความเคลื่อนไหวและตรวจสอบได้ว่าการทำงานของ กฟผ.จะไม่มีการหมกเม็ดชาวบ้านเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งตอนนี้ก็รออยู่ว่าทาง กฟผ.จะดำเนินการอย่างไรต่อไป

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1022  ประจำวันที่ 27   มีนาคม – 2 เมษายน  2558)
Share:

โวยแพงเว่อร์ ที่งานรถไฟฯ ล็อคละ3พัน



พ่อค้าแม่ค้าลำปางโวย หลังผู้รับเหมาเก็บค่าที่งานรถไฟ-รถม้าโหด รวมตัวพบผู้ว่าฯขอความเป็นธรรม ด้านบริษัทรับปากจะจัดโซนค้าขายให้

เมื่อวันที่ 23 มี.ค. 58 ที่ศาลากลางจังหวัดลำปาง ได้มีกลุ่มพ่อค้า-แม่ค้ากว่า 20 คน รวมตัวกันมาประท้วง พร้อมชูป้ายร้องเรียนการเก็บค่าเช่าที่ค้าขายภายในงานงานรถไฟรถม้าหน้าสถานีรถไฟนครลำปาง ที่จะมีขึ้นในวันที่ 1 เมษายนนี้ โดยก่อนหน้านั้นกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าในจังหวัดลำปาง ได้รวมตัวร้องเรียนกับศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดลำปางไปครั้งหนึ่งแล้ว หลังทราบว่ามีบริษัทรับเหมาเอกชนรายหนึ่ง กำหนดค่าเช่าพื้นที่ขายของภายในงานรถไฟ-รถม้า โดยเรียกเก็บคิดเป็นพื้นที่เมตรละ 3,000 บาท

นายประเสริฐ เอียดสุวรรณ ตัวแทนกลุ่มพ่อค้าแม่ค้า กล่าวว่า ตนเองและกลุ่มพ่อค้า-แม่ค้าในจังหวัดลำปาง ทราบว่า มีบริษัทรับเหมาเอกชนรายหนึ่ง ซึ่งมีข้าราชการบางคนที่ได้รับผลประโยชน์รู้เห็นเรื่องนี้ ได้เข้ามาดำเนินการรับเหมาการตั้งร้านขายของภายในงานรถไฟ - รถม้า ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 1 - 5 เมษายนนี้ โดยจะนำร้านค้าที่เป็นพรรคพวกของตนเองมาลงขาย ส่วนมากเป็นคนนอกพื้นที่ทั้งนั้น  ส่วนคนในพื้นที่และพ่อค้า-แม่ค้าชาวลำปาง หากจะนำของมาขาย จะต้องจ่ายค่าเช่าที่ตกตารางเมตรละ 3,000 บาท ซึ่งตนคิดว่ามันแพงเกินไป

นายประเสริฐ ยังกล่าวอีกว่า ปัญหานี้เหมือนเป็นปัญหาเรื้อรังที่เกิดขึ้นทุกปี ไม่ว่าจะเป็นงานรถไฟ-รถม้า งานสลุงหลวง งานฤดูหนาว หรืองานใหญ่ๆที่ทางจังหวัดเป็นคนจัด ก็จะมีบรรดาผู้รับเหมาเข้ามาดำเนินการเรื่องเก็บหัวคิวค่าเช่าที่ตลอด ซึ่งทำให้พ่อค้า-แม่ค้าในจังหวัดลำปางนั้นเดือดร้อนมาก โดยวอนให้จังหวัดรีบจัดการโดยด่วน   

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้รับเรื่องร้องเรียนผ่านศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดลำปาง เพื่อเสนอถึงผู้ว่าราชการจังหวัด และได้เรียกกลุ่มผู้ค้าและบริษัทรับเหมาะจัดงานเข้ามาพูดคุยกัน เมื่อวันที่ 26 มี.ค.58  สรุปได้ว่า ทางบริษัทจะจัดโซนให้ผู้ค้ากลุ่มนี้ต่างหาก บนถนนเส้นทางบ้านพักรถไฟ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแล้ว แต่ทำเลอยู่ที่ว่าจะหาลงตรงจุดไหนได้บ้าง เนื่องจากมีเจ้าของบ้านพักที่จับจองพื้นที่หน้าบ้านตัวเองค้าขายอยู่ก่อนแล้ว  ซึ่งทางกลุ่มผู้ค้าก็พอใจในระดับหนึ่ง เพราะต้องการได้พื้นที่ขายของอยู่แล้ว
 

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1022  ประจำวันที่ 27   มีนาคม – 2 เมษายน  2558)

Share:

สุดสลดสามเณร ตกประตูโขง หัวโหม่งพื้น




สามเณรปีนขึ้นไปทาสีบนยอดซุ้มประตูโขง ตกจากด้านบนหัวฟาดพื้น คาดใช้มือเกาะปูนแกะสลักลายกนก แต่เณรตัวใหญ่รับน้ำหนักไม่ไหวจึงพลัดตกลงมาเสียชีวิต

เมื่อเวลา 09.40น.วันที่ 21 มี.ค.58 พ.ต.ต.ประภากร ทะชมพู พงส. สภ.เมืองลำปาง รับแจ้งมีสามเณรพลัดตกจากที่สูงลงมามรณภาพ ที่วัดม่อนจำศีล เลขที่ 211 ถนนเรียบคันคลองชลประทาน ม.5 ต.พระบาท อ.เมืองลำปาง จึงออกไปทำการสอบสวนร่วมกับเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.เมืองฯ แพทย์เวรโรงพยาบาลลำปาง และเจ้าหน้าที่กู้ภัยลำปาง  พบที่เกิดเหตุอยู่บริเวณขั้นบันไดหน้าซุ้มประตูโขงทางเข้าวัด มีศพของสามเณรวุฒิชัย หรือ เณรนุ จอมใจ อายุ 18 ปี พื้นเพเดิมอยู่ที่อำเภอเสริมงาม จ.ลำปาง นอนคว่ำหน้าเสียชีวิตอยู่ที่ศีรษะมีบาดแผลฉกรรจ์ กะโหลกแตกแขนซ้ายหัก และขาขวาหักเลือดไหลนองขั้นบันได   ส่วนที่บนยอดซุ้มประตูโขงมีบันใดไม้ไผ่ตั้งพาดขึ้นไปด้านบนโดยมีกระป๋องสีแขวนอยู่ 1 ใบอยู่ตรงกลางปลายยอดฉัตร ซึ่งมีความสูงประมาณ 5-6 เมตร  และ มีร่องรอยของปูนปั้นลายกนกบางส่วนแตกเสียหาย หล่นตกลงมาที่ขั้นบันได เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ร่วมกับแพทย์เวรทำการชันสูจรพลิกศพเป็นการเบื้องต้น ก่อนจะนำร่างไปทำการผ่าพิสูจน์โดยละเอียดอีกครั้งที่โรงพยาบาล

จาก การสอบถามพระจรูญวิทย์ ฉันทะธมโม พระลูกวัดร่วมทั้งสามเณรอีก 4 รูป ทราบว่า สามเณรวุฒิชัย หรือเณรนุ ที่มรณภาพเป็นลูกกำพร้า พ่อแม่เสียชีวิตไปนานแล้ว และพักอาศัยอยู่ตาที่ อ.เสริมงามกระทั่งเรียนจบชั้น ป.6 ที่บ้านเกิด จึงได้มาบวชเป็นสามเณรและเรียนหนังสืออยู่ที่ โรงเรียนปริยัติ์ ซึ่งตั้งอยู่ภายในวัดม่อนจำศีลและเพิ่งจะจบการศึกษาชั้น ม.6 ได้เพียงไม่กี่วันมานี้ โดยก่อนเกิดเหตุทางพระครูพิศาล สุภัทรกิต เจ้าอาวาสวัดม่อนจำศีล ได้ของแรงพระ เณรในวัดช่วยกันทาสีองค์พระธาตุ ซุ้มประตูโขงและกำแพงวัดที่มีความเก่าแก่และมีสภาพทรุดโทรม โดยแยกย้ายกันทาสีรอบๆวัด ส่วนสามเณรวุฒิชัย รับหน้าที่ทาสีบริเวณซุ้มประตูโขงทางเข้าวัด จนกระทั้งพระจรูญวิทย์ ซึ่งทำหน้าที่คอยคุมงานอยู่เห็นเณรนุเงียบหายไปนานจึงเดินออกมาดูก็พบว่า สามเณรวุฒิชัยพลัดตกจากยอดซุ้ประตูโขงมามรณภาพเสียแล้ว 

เบื้องต้นทางพนักงานสอบสวนสันนิษฐานว่า สามเณรวุฒิชัย คงจะปีนบันได้ไม้ไผ่ขึ้นไปทาสีตรงบริเวณยอดฉัตร แต่บันไดสั้นเกินไปจึงใช้วิธีหิ้วกระป๋องสีปีนต่อขึ้นไปตามขั้นยอดฉัตรแล้วนำกระป๋องสีผูกมัดเอาไว้ก่อนลงมือทาสี โดยใช้มืออีกข้างยึดจับไว้ตรงลายกนกที่ปั้นด้วยปูน แต่มีสภาพเก่าแก่มานานกว่า 90 ปี ประกอบสามเณรวุฒิชัย มีรูปร่างอ้วนใหญ่จึงรับน้ำหนักการยึดเหนี่ยวไม่ไหว ลายกนกจึงหลุดออกมา ร่างของสามเณรเคราะห์ร้ายจึงร่วงหล่นไปกระแทกกับขั้นบันไดปูนจนมรณภาพในที่สุด 
            
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1022  ประจำวันที่ 27   มีนาคม – 2 เมษายน  2558)
Share:

กระบะตกร่อง สาวกระเด็น ร่างกระแทกดับ




เมื่อเวลาประมาณ 16.15 น. วันที่ 24 มี.ค.58 ร.ต.ท.อุดม มาเอ้ย พนักงานสอบสวน สภ.แม่ทะ ได้รับแจ้งว่า เกิดอุบัติเหตุรถยนต์กระบะเสียหลักพุ่งลงเกาะกลางถนน บริเวณถนนลำปาง-เด่นชัย กม.ที่ 444-445 ต.แม่ทะ อ.แม่ทะ จ.ลำปาง  มีผู้เสียชีวิต 1 ราย  จึงได้ประสานแพทย์เวร รพ.แม่ทะ และ หน่วยกู้ชีพ กู้ภัย แม่ทะ ลำปาง รุดตรวจสอบที่เกิดเหตุ

เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุก่อนถึงจุดกลับรถประมาณ 200 เมตร  ได้มีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่กู้ภัยแม่ทะ ได้คอยอำนวยการความสะดวกทางการจราจรเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน  เจ้าหน้าที่พบบริเวณร่องน้ำฝั่งซ้ายข้างถนน พบกันชน และเศษชิ้นส่วนของรถกระบะสีขาว หลุดออกมากระจัดกระจาย  โดยมีร่องรอยของรถกระบะตกลงร่องน้ำ ถัดไปประมาณ 10 เมตร พบร่างผู้เสียชีวิต เป็นหญิง นอนหงายอยู่กลางร่องน้ำ ในสภาพศีรษะด้านขวาแตก เนื้อตัวเปียกน้ำเปรอะเปื้อนดินโคลน มีแผลบาดเจ็บหลายแห่ง ทราบชื่อต่อมาคือ น.ส.มยุรี ธิป้อ อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 46/1 ม.3 ต.หัวเสือ อ.แม่ทะ จ.ลำปาง ถัดไปจากร่างผู้เสียชีวิต ประมาณ 70 เมตร พบรถยนต์กระบะ ยี่ห้อ มาสด้า บีที 50 โปร 4 ประตู สีขาว ทะเบียน ขม 7217 เชียงใหม่ จอดขวางอยู่เลนกลางของถนน ในสภาพ หน้ารถพังเสียหาย ล้อหน้าขวาแตก กระจกรถด้านคนขับแตก ไฟท้ายด้านหลังแตกทั้งสองข้าง และกระจกหลังแตกทั้งบาน   

จากการตรวจสอบรอบบริเวณ ไม่พบว่าเฉี่ยวชนกับรถคันอื่นแต่อย่างใด สอบถามญาติที่มาดูเหตุการณ์ ทราบเบื้องต้นว่า  น.ส.มยุรี ผู้เสียชีวิต ได้ขับรถกระบะคันดังกล่าว ไปทำธุระในเมืองลำปาง และกำลังจะขับขี่รถกลับบ้าน แต่มาเกิดอุบัติเหตุเสียก่อน ด้านเจ้าหน้าที่คาดว่า ผู้เสียชีวิต น่าจะขับรถมาด้วยความเร็ว ขณะที่ช่วงเวลาเกิดเหตุ มีฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำให้ถนนลื่น ก่อนที่จะเสียหลักลงร่องน้ำข้างทาง ทำให้รถตกกระแทกกับร่องถนน จนคนขับที่ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย กระเด็นหลุดจากตัวรถไปตกลงกลางร่องน้ำ ห่างจากจุดที่รถเสียหลักลง ประมาณ 10-15 เมตร และรถก็ได้ไหลต่อไปอีก ประมาณ 70 เมตร ไปหยุดแน่นิ่งขวางกลางถนนดังกล่าว

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1022  ประจำวันที่ 27 มีนาคม – 2 เมษายน  2558)
Share:

ลงไปเก็บขยะ น้ำดูดเข้าท่อ หนุ่มตายอนาถ




เมื่อ 07.00 น.วันที่ 25 มี.ค.58  ร.ต.ท.สุชาติ  วงค์ประกาย  พนักงานสอบสวนเวร สภ.เมืองปาน ได้รับแจ้งว่า  เกิดเหตุคนเข้าไปติดในท่อจมน้ำเสียชีวิต บริเวณโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำบ้านแม่นึง ต.ทุ่งกว๋าว อ.เมืองปาน จ.ลำปาง  จึงประสานแพทย์เวรร่วมตรวจสอบ จากนั้นจึงได้เดินทางไปที่เกิดเหตุร่วมกับ พ.ต.อ.จิตตพล วงษ์วัน  ผกก.สภ.เมืองปาน

ที่เกิดเหตุเป็นสถานที่ก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่พื้นที่ 2,000 กว่าไร่ ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในป่าในหมู่บ้าน พบว่ากลุ่มคนงานได้ช่วยกันดึงท่อพีวีซีขนาดใหญ่ขึ้นมาจากน้ำ ภายในท่อพบศพนายวรพจน์   เมฆพร้อม อายุ 19 ปี อยู่บ้านเลขที่ 139  ม.4 ต.ท่าวังดี อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์  จึงได้ช่วยกันนำร่างออกมา สภาพศพเปรอะเปื้อนดินโคลน สวมเสื้อยืดสีฟ้า และกางเกงในตัวเดียว

จากการสอบสวนทราบว่านายวรพจน์ เป็นคนงานของ บ.ทวีศักดิ์ก่อสร้าง ที่ได้เข้ามารับจ้างงานก่อสร้างอ่างเก็บน้ำดังกล่าว ได้ว่ายน้ำลงไปเก็บเศษขยะที่ปิดปากท่อระบายน้ำ จึงถูกกระแสน้ำดูดเข้าไปติดอยู่ในท่อเสียชีวิตดังกล่าว

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1022  ประจำวันที่ 27 มีนาคม – 2 เมษายน  2558)
 
Share:

คนข่าว ข้าวนอกนา



กือบ 2 ทศวรรษที่หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ได้ทำหน้าที่สื่อของคนลำปาง จากพื้นฐานเทคนิคการแพทย์ อันผิดแผกจากนักหนังสือพิมพ์ทั่วไป แต่ สุรศักดิ์ ภักดี ก็ก่อกำเนิดหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งขึ้นมาในคุณภาพไม่แพ้นักหนังสือพิมพ์ที่ร่ำเรียนมาโดยตรงในสายนิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ และแม้มิได้ถูกเคี่ยวกรำในบทบาท หน้าที่ความรับผิดชอบของสื่อที่มีต่อสังคมเหมือนหลายคนที่เรียนมาในระบบ

แต่ลานนาโพสต์ ภายใต้ร่างเงาสุรศักดิ์ ภักดี ก็ดำรงตนในฐานะสื่อมวลชนที่ดี ซื่อสัตย์ต่อคนอ่าน ยึดมั่นในหลักการพูดความจริงเป็นที่ยอมรับและเชื่อถืออย่างสูงยิ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

ตลอดเวลา ราว 4 ปี ที่ แร็ค ลานนา มารับหน้าที่สานต่อเจตนารมณ์ และจิตวิญญาณคนข่าว เป็นลานนาโพสต์รุ่นที่ 2 รุ่นต่อยอดจากรากฐานพร้อมด้วยทีมงานทุกคนที่ร่วมแรงร่วมใจที่จะสร้างสรรค์สื่อคุณภาพของคนลำปาง แม้ว่าวันนี้ แร็ค ลานนา จะยังไม่ได้เศษเสี้ยวของพ่อสุรศักดิ์ ภักดี แต่ด้วยความที่ได้ติดสอยห้อยตามตั้งแต่ยังเป็นละอ่อนน้อยผูกผมเปีย เดินตามหลังผู้ใหญ่ ทำให้ได้เห็นเบื้องหน้าและเบื้องหลังของวงการ ครั้น แร็ค ลานนา ได้เติบโตจนรู้ความได้มีโอกาสเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา พ่อก็ไม่เคยบังคับว่าต้องเรียนนิเทศศาสตร์ ไม่ได้บังคับว่าต้องสานต่องานสื่อมวลชน หากแต่ยังให้อิสระในการ เลือก  เรียนในสิ่งที่ลูกอยากจะเรียน จนสำเร็จการศึกษาในคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และดั้นด้นเรียนต่อในคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เรียกได้ว่าวิทยาศาสตร์ล้วนๆ แถมด้วยประสบการณ์ทำงานในเมืองหลวงในด้านการตลาดและการเป็นผู้ช่วยผู้บริหารที่ทำให้ได้ประสบการณ์อีกมากมาย หากแต่ประสบการณ์เหล่านั้นอาจไม่เกี่ยวข้องกับวงการสื่อสารมวลชนแม้แต่น้อย

อาจเรียกว่าเป็นคนข่าว ข้าวนอกนา แต่เป็นข้าวบนพื้นที่ข่าวที่เขียวไสว เปี่ยมด้วยคุณภาพ

เมื่อถึงคราวที่ต้องมารับบทบาทในการสานต่อภารกิจการทำหน้าที่สื่อ ยิ่งในยุคสมัยที่ต้องมีการปฏิรูปสื่ออย่างในสถานการณ์ปัจจุบัน ที่สื่อกลายเป็นอุตสาหกรรมทำให้ความน่าเชื่อถือดูจะถูกสั่นคลอนด้วยสื่อใหม่ แต่หากเรายึดจริยธรรม และทำหน้าที่บนพื้นฐานจรรยาบรรณ และยึดหลัก เสรีภาพ บนความรับผิดชอบในการนำเสนอข้อเท็จจริง ข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะแล้ว ลานนาโพสต์เชื่อว่าจะยังมีผู้ให้การสนับสนุนเราจนทำให้เรามีก้าวต่อไปที่เดินหน้าด้วยความมั่นคง แข็งแรง แม้ว่าจะเหนื่อยล้าจากการต่อสู้ในภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

จนถึงวันนี้ ลานนาโพสต์ อาจจะไม่ต้องตอบคำถามอีกว่า เราจะพ่ายแพ้ เราจะล้มเหลวไหม เมื่อผู้สร้างลานนาโพสต์ให้มีชีวิตขึ้นมา รวมทั้งบรรดาผู้ใหญ่ของลานนาโพสต์ที่เคยเป็นหลัก เป็นหลังอิงที่วางใจได้ในการทำงานต่างล่วงหน้าลาลับไปแล้วทั้งสิ้น เนื่องเพราะการส่งต่อภารกิจจากรุ่นสู่รุ่นนั้น คือการถ่ายทอดจิตวิญญาณในการต่อสู้เพื่อทำความจริงให้ปรากฎ ด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม ต่อชุมชนบ้านเกิด ซึ่งได้แสดงผลออกมาในภาพของการเปลี่ยนแปลง การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งการยกระดับการเป็นสื่อท้องถิ่น สื่อภูธรฉบับเล็กๆที่ได้รับการยอมรับในคุณภาพระดับประเทศ

เพราะ ลานนาโพสต์ไม่ได้เป็นของใคร เพราะเราไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะใช้หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ เป็นเครื่องมือในการแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์ใดๆที่ไม่ชอบธรรม หากแต่เป้าหมายสำคัญคือการทำหน้าที่สื่อที่เคารพความจริง ซื่อสัตย์ต่อคนอ่าน และความพยายามในการสร้างทัศนคติใหม่ๆให้กับสังคมเมืองที่มักมองหนังสือพิมพ์ ท้องถิ่นด้วยความดูแคลน ด้วยความรู้สึกว่าเป็นหนังสือพิมพ์บ้านนอก ที่หาสาระไม่ได้ นอกจากการเสนอข่าวฉาบฉวย หรือเป็นเพียงกระบอกเสียงของกลุ่มนักการเมือง หรือผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นเท่านั้น

ลานนาโพสต์ ไม่ได้เป็นหนังสือพิมพ์ที่นำเสนอข่าวคุณภาพของท้องถิ่น แต่ประการเดียว หากภาพของลานนาโพสต์ คือพื้นที่สาธารณะของคนในชุมชน ของปัญญาชนในชุมชม ในการสะท้อนความคิด มุมมองต่างๆ ที่มีต่อสังคมทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติด้วย กล่าวได้ว่า ลานนาโพสต์เป็นหนังสือภูมิภาค ที่มีพื้นที่ มีคอลัมน์ มีบทความ มีบทวิเคราะห์วิจารณ์ ทั้งในเรื่องราวของสังคม เศรษฐกิจและการเมืองมากที่สุดฉบับหนึ่งในประเทศนี้

ปีที่ 19 แล้ว ลานนาโพสต์ซึ่งเป็นเลือดเนื้อและจิตวิญญาณของสุรศักดิ์ ภักดี ยังคงมีชีวิตอยู่ และเป็นชีวิตที่มั่นคง แข็งแรงขึ้นเป็นลำดับ “ลานนาโพสต์” จะยังคงสืบทอดภารกิจนี้ด้วยความแน่วแน่ มั่นคง และด้วยความสำนึกในการตอบแทนคุณบ้านเกิดตลอดไป

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1021  ประจำวันที่ 20 – 26  มีนาคม 2558)
Share:

เก้าที่สิบเก้า “ลานนาโพสต์”



ลายปีมานี้ ลานนาโพสต์ มีการเปลี่ยนแปลง

เปลี่ยนแปลงในแบบที่ อาจไม่ถึงพลิกฟ้า คว่ำแผ่นดิน แต่ค่อยๆปรับ ค่อยๆเปลี่ยน โดยมีจุดมุ่งหมายให้หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ เป็นหนังสือพิมพ์คุณภาพของคนลำปาง และเป็นหนังสือพิมพ์บ้านนอกระดับชาติ ที่ทุกคนให้การยอมรับ

การเปลี่ยนเช่นนี้ได้ ก็ต้องเปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำงาน และมุ่งมั่นในการเดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางนั้นให้ได้ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และคำใหญ่ คำโต ของคนบางคน ที่ประกาศความเก๋า ในเกมสื่อหนังสือพิมพ์ ซึ่งในที่สุดก็เหมือนย่ำรอยเท้าไปบนผืนทราย

ในยามที่ ความเชื่อว่าหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นจะต้องเสนอแต่ข่าวชาวบ้าน ข่าวข่มขืน ที่ต้องบวกด้วยจินตนาการของบรรณาธิการ คล้ายอยู่ในที่เกิดเหตุ ข่าวอาชญากรรมเลือดท่วมยังดำรงอยู่ เพื่อเป็นหลักประกันความอยู่รอด  เราก็ต้องพยายามเปลี่ยนแปลงทัศนคติเหล่านั้น ด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธาที่จะไม่ทำหนังสือพิมพ์ที่ปราศจากความรับผิดชอบ หนังสือพิมพ์ที่เสนอข่าวบอกใบ้ ให้หวย ข่าวประหลาด มหัศจรรย์ ด้วยความหวังว่า สักวันหนึ่งลานนาโพสต์จะได้การตอบรับที่ดีทั้งจากคนอ่าน และผู้สนับสนุนโฆษณา

หลายปีมานี้ เรามีการเปลี่ยนแปลง..

เมื่อก้าวสู่ปีที่ 17 ไม่นานนักหลังจากคุณสุรศักดิ์ ภักดี ลมใต้ปีกของลานนาโพสต์ หยุดพักภารกิจอันเหนื่อยหนักไปในฟ้ากว้างตลอดกาล แรงส่งตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา ได้ส่งผลให้เราได้รับการประกาศนามครั้งแรกในเวทีระดับชาติ ด้วยรางวัลบทนำดีเด่น ของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ

ตาม มาด้วยบทนำชมเชยในปีถัดมา จนกระทั่งข่าวแม่น้ำวัง และจอกหูหนูรุกเขื่อนกิ่วลม ก็ได้รับมติเป็นเอกฉันท์จากคณะกรรมการให้ได้รับรางวัลชมเชยในปีที่ไม่มี รางวัลดีเด่น เอาชนะหนังสือพิมพ์ระดับชาติ ไทยรัฐ เดลินิวส์ และมติชน ในประเภทข่าวอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สองปีติดต่อกันของชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม สมาคมนักข่าว นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

เป็น 4 รางวัลเกียรติยศระดับชาติ ที่เราอาจกล่าวถึงในฐานะสื่อตัวแทนของคนลำปางได้อย่างน่าภาคภูมิ

ม้าสีหมอก แม้ไม่ได้มีเลือดเนื้อเชื้อไข หรือเป็นหน่อเนื้อกษัตริย์ลานนาโพสต์มาแต่แรก แต่เมื่อได้เห็นความมุ่งมั่นตั้งใจของทีมลานนาโพสต์ ก็คล้ายผูกพันกันมาแต่แรก และยินดีที่เป็นหนึ่งในกลไกเล็กๆขับเคลื่อนให้เรือลำนี้ กางใบแล่นออกสู่มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ท่ามกลางคลื่นลมโหมกระหน่ำ บางครั้งรุนแรง บางครั้งแผ่วเบา แต่เรือลำนี้ก็ไม่เคยถอยกลับออกจากร่องน้ำที่หมายมุ่งจะแล่นไป

น่ายินดี ที่คนลานนาโพสต์ เข้าใจและหนักแน่นที่จะยืนหยัดในแนวทางการทำหนังสือพิมพ์คุณภาพ และประกาศเจตนารมณ์ที่ชัดเจน ตรงไปตรงมาในวันนี้ว่า จะใช้เสรีภาพบนความรับผิดชอบ

และจะทำหน้าที่สื่อหนังสือพิมพ์ชุมชน อย่างเต็มกำลัง

ด้วยตระหนักถึงหน้าที่ของสื่อมวลชน โดยเฉพาะบทบาทของหนังสือพิมพ์ชุมชน หรือ community newspapers อันเป็นบทบาทสำคัญของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นจากนี้ไป เราจึงพิสูจน์ให้เห็นจากข่าวรางวัลสิ่งแวดล้อมปีล่าสุด

ลานนาโพสต์ ได้ทำการสำรวจสภาพของปัญหาจอกหูหนูในบริเวณเขื่อนกิ่วลม ตั้งแต่ปรากฏกลุ่มจอกหนาในผืนน้ำบางจุด จนกระทั่งแผ่ขยายออกไปในบริเวณกว้าง ด้วยการสังเกตการณ์ นั่งเรือฝ่าผืนจอกหนาทึบเข้าไปในลำน้ำ ถ่ายภาพ เก็บข้อมูลย้อนหลัง เฝ้าสังเกตความเปลี่ยนแปลงสภาพจอกบนผืนน้ำหลายครั้งตลอดทั้งปี

นอกจากนี้ยังได้สำรวจเอกสารวิชาการและสภาพพันธุ์พืชน้ำในเขื่อนแห่งอื่นๆ เท่าที่สืบค้นได้ อีกทั้งการสอบถาม ค้นคว้า พูดคุยกับนักวิชาการ ชาวบ้านที่ทำมาหากินและอยู่อาศัยในบริเวณเขื่อน จากนั้นได้ประมวลข้อมูล ความคิดความเห็น และสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น นำเสนอข่าวนี้อย่างต่อเนื่อง นับจากเดือนมกราคม 2557 โดยมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นเตือนให้หน่วยงานที่รับผิดชอบตื่นตัวเข้ามาแก้ไขปัญหา และสร้างจิตสำนึกให้กับชาวบ้านให้ได้ตระหนักถึงปัญหาที่พวกเขาควรมีส่วนร่วมในการหวงแหนและอนุรักษ์ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นของตัวเอง

ตั้งแต่ ฉบับเดือนมกราคม 2557 ลานนาโพสต์ ได้นำเสนอข่าว จอกหูหนูรุกเขื่อนกิ่วลม จนส่งผลกระทบต่อชาวบ้านในบริเวณเขื่อน และการท่องเที่ยว แพท่องเที่ยวต้องหยุดกิจการ จอกหูหนูระบาดแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งถึงเดือนมีนาคม 2557 กรมชลประทานได้เปิดประตูระบายน้ำ เพื่อระบายจอกหูหนูออกจากหน้าเขื่อน จากนั้นได้ใช้เครื่องจักรกลตักจอกออกจากเขื่อน การจัดการอย่างต่อเนื่องของกรมชลประทาน ซึ่งต่อมาจังหวัดลำปาง โดยผู้ว่าราชการจังหวัด ได้เดินทางมายังพื้นที่ และได้เป็นผู้นำในการสั่งการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ ทำให้ปัญหานี้คลี่คลายลงในที่สุด

ผลจากการนำเสนอโดยตระหนักถึงคุณค่าข่าว จอกหูหนูรุกเขื่อนกิ่วลม จนนำไปสู่การแก้ไขปัญหา และการตื่นตัวของชาวบ้านที่ร่วมแรงร่วมใจกันกำจัดจอกหูหนู ลานนาโพสต์ได้กลายเป็นผู้นำในการนำเสนอข่าวนี้ในระดับชาติ โดยหนังสือพิมพ์ส่วนกลางได้ตีพิมพ์ข่าวนี้ในเวลาต่อมา

ลานนาโพสต์ยังคงเกาะติดข่าว จอกหูหนูมหันตภัยเงียบ รุกเขื่อนกิ่วลมต่อไป โดยที่ยังมีความมุ่งมั่นในการนำเสนอข่าวที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การกำหนดนโยบายข่าวที่พยายามสะท้อนปัญหาท้องถิ่นไปสู่ระดับชาติ ด้วยตระหนักในหน้าที่ของ ลานนาโพสต์ ในฐานะหนังสือพิมพ์ชุมชน ที่มีส่วนรับผิดชอบชุมชนเช่นเดียวกับภาคส่วนอื่นๆอย่างไม่เปลี่ยนแปลง

และก้าวสู่ปีที่สิบเก้าปีนี้ ลานนาโพสต์ยังมีความหวังตั้งใจ ที่จะนำรางวัลเกียรติยศมาสู่คนลำปางอย่างไม่ขาดสาย เพื่อประกาศความเป็นหนึ่งเดียวของสื่อลำปาง ที่ได้รับการยอมรับในระดับชาติ


(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1021  ประจำวันที่ 20 – 26  มีนาคม 2558)
Share:

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์