หลังจากเมื่อเดือนกุมภาพันธ์
67
ที่ผ่านมา ได้เกิดปัญหาใหญ่กรณีแพนักท่องเที่ยวติดอยู่กลางอ่างเก็บน้ำเขื่อนกิ่วลมไม่สามารถออกมาได้
เพราะโดนวัชพืชน้ำ ทั้งจอกหูหนู จอกแหน ผักตบชวา ปิดล้อมอัดแน่นทั่วบริเวณ ซึ่งทางชลประทานได้ชี้แจงว่า ปกติโครงการกส่งน้ำและบำรุงรักษากิ่วลม-กิ่วคอหมา
มีมาตรการติดตั้งทุ่นลอยเพื่อล้อมวัชพืชให้อยู่ในวงจำกัด แต่เนื่องจากสภาพแวดล้อม
และสภาพอากาศที่ไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้เกิดลมพายุพัดรุนแรงจนทุ่นลอยที่กั้นไว้เสียหายขาดออก
จึงทำให้จอกแหนมาอัดแน่นตามภาพที่ปรากฎในข่าว
หลังเกิดเหตุทางชลประทานได้เร่งแก้ปัญหาโดยการนำเครื่องจักรเครื่องมือต่างๆ
มากำจัดวัชพืชต่อเนื่อง ซึ่งโครงการฯ มีแผนกำจัดวัชพืชอยู่แล้ว
ซึ่งดำเนินการไปแล้ว 50 เปอร์เซ็นต์ จากปริมาณวัชพืชในพื้นที่ 1,400 ไร่ กำจัดไปแล้ว 350 ไร่ จากแผน 728 ไร่
ต่อมาทาง
กรมชลประทานได้นำทุ่นกั้นเป็นแนวล้อมวัชพืชควบคุมทิศทางไม่ให้แผ่ขยายเป็นวงกว้าง
พร้อมระดมเครื่องจักรกลและเรือกำจัดวัชพืชเร่งจัดเก็บอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภายในช่วง 2 สัปดาห์ สามารถกำจัดจอกแหนและวัชพืชได้ประมาณ
150 ไร่ และจะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จทั้งหมดตามแผนที่วางไว้ภายในปีนี้
เพื่อยับยั้งและป้องกันการแพร่ระบาดของจอกแหนที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต
ทั้งนี้
เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567 นายนิพลน์ ศรีวิลัย
หัวหน้าฝ่ายจัดสรรน้ำและปรับปรุงระบบชลประทาน และเจ้าหน้าที่ ลงพื้นที่ร่วมกับนางอุไร
เพ่งพิศ ผู้อำนวยการส่วนวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม
พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สำนักวิจัยและพัฒนา
กรมชลประทานใช้เทคโนโลยีเครื่องบินโดรนฉีดพ่นสารกำจัดวัชพืชในเขื่อนกิ่วลม
เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาวัชพืชในเขื่อนกิ่วลมด้วยอีกทางหนึ่ง
ล่าสุด
โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษากิ่วลม-กิ่วคอหมาได้ดำเนินการกำจัดวัชพืชในเขื่อนกิ่วลมตามแผนงานในปี
2567 ไปแล้ว จำนวน 489.81 ไร่ 39,185 ตัน คิดเป็น 67.28 %
และยังมีวัชพืชบริเวณท่าแพสำเภาทองที่ต้องเร่งกำจัดให้แล้วเสร็จอีก จำนวน 238.19
ไร่ เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนและผู้ประกอบการเรือแพเขื่อนกิ่วลม-สำเภาทอง
ให้สามารถประกอบอาชีพ
สำหรับปัญหาจอกแหนในเขื่อนกิ่วลมนั้น
ลานนาโพสต์ได้นำเสนอเรื่องนี้
ตั้งแต่เดือน ธันวาคม 2556 ต่อมาช่วงต้นปี 2558
ทีมข่าวได้ลงพื้นที่สำรวจจอกหูหนูอีกครั้ง
และพบว่าจนกระทั่งจอกหูหนูยังคงลอยละล่องทั่วผืนน้ำ ไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่ทางชลประทานนำไม้ไผ่มากั้นไว้ จนมีการรวมตัวเป็น “กองทัพจอกหูหนู”
ที่อัดแน่นทุกตารางนิ้วจนดูเหมือนสนามฟุตบอล ในครั้งนั้นทางหน่วยงานราชการ เช่น
อำเภอแจ้ห่ม เกษตรอำเภอแจ้ห่ม พร้อมกับชาวบ้าน
ได้ทำการทดลองฉีดสารเคมีเพื่อหวังจะทำให้จอกหูหนูแห้งตาย
แต่สารเคมีไม่สามารถยับยั้งการแพร่พันธุ์ของจอกหูหนูได้
ขณะที่โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษากิ่วลม-กิ่วคอหมา ผู้ดูแลรับผิดชอบเขื่อนกิ่วลม
ยังคงตั้งหน้าตักจอกหูหนูอย่างต่อเนื่อง
กระทั่งช่วงปลายปี 58 ได้ประสบวิกฤตน้ำแล้ง
น้ำในเขื่อนลดปริมาณลงอย่างมาก ทำให้จอกหูหนูเริ่มแห้งตายไปกับผิวดิน ตักขึ้นได้รวดเร็ว และหายไปจากเขื่อนกิ่วลม แต่เมื่อถึงหน้าฝนที่ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น จอกหูหนูที่แห้งเกาะติดอยู่ตามซอกหิน
กลับเจริญเติบโตขึ้นมาอีกครั้ง และแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว
จนถึงขณะนี้ผ่านมา 10 ปี ย่างเข้าสู่ปีที่ 11 ปัญหาจอกแหนเหล่านี้ก็ยังไม่สามารถแก้ไขได้จบสิ้นเสียที ขณะที่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าทำได้เพียงการตักออกเท่านั้น แม้จะหายไปบ้างในบางปีที่แห้งแล้ง แต่บอกได้เลยว่า “จอกหูหนูไม่เคยจะหมดไปจากอ่างเก็บน้ำเขื่อนกิ่วลม”
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
https://www.lannapost.net/2014/01/blog-post_9009.html
https://www.lannapost.net/2014/03/blog-post_9829.html
https://www.lannapost.net/2014/09/1.html
https://www.lannapost.net/2015/01/blog-post_54.html
https://www.lannapost.net/2020/02/blog-post_13.html
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น